เรื่องเล่าจากทางบ้านในตอนนี้มันก็เนิ่นนานมากกว่า 5 ปีได้น่าจะเกิดขึ้นช่วงปี 2562 เรียกว่าลืมได้แล้วก็เป็นได้ครับ แต่อย่างว่าในโลกนี้นั้นไม่มีคำว่าบังเอิญหรอกครับคือก่อนหน้านี้ ผมกับเพื่อนได้คุยกันเรื่อยเปื่อยจนเพื่อนพูดว่า เขาชอบไปปฎิบัติธรรมมากที่วัดมเหยงคณ์ บอกว่าดี สงบร่มรื่น พอเพื่อนพูดมาแบบนี้
อยู่ๆเราก็คิดถึงตอนที่เรามาที่วัดมเหยงคณ์ กับเพื่อนอีกแก๊งหนึ่งแล้วเจอเรื่องแปลกๆ แต่ก็บอกว่า ยังไม่ว่างจะเล่าเรื่องหรือเขียนเรื่องที่เจอให้ฟังได้นะ
พอดียุ่งๆอยู่ เพื่อนบอก โอเค ถ้าว่างแล้วก็อย่าลืมเขียนแล้วกัน จะรอฟังอยู่ รีบๆเขียนหน่อย
หลังจากนั้นไม่นานน่าจะ 2-3 วันได้ อยู่ๆ มีคนในเพจมามูมะ ทักเข้ามาเล่าเรื่องบังเอิญที่คงไม่บังเอิญ ดังนี้ครับ
“คือวันนี้ช่วงบ่ายๆ ไม่มีลูกค้าเรียกลูกค้ายากมาก(หนูมารับ ถ่ายรูปที่วัดไชยฯ) ก้นั่งหาข้อมูลในการบวชชีพราหมณ์ที่วัดมเหยงคณ์เพราะเห็นคนไปบวชที่นั่นก้เลยอยากบ้างไปค่ะ หาๆๆไป แล้วทักไปที่เพจวัดว่าต้องทำยัง ไงบ้างหรือต้องเตรียมตัวยังไง มีค่าใช้จ่ายเท่าไร ก็ดูๆข้อมูลไปเรื่อยๆ แล้วอยู่ๆก้มีไกด์ไม่รู้เดิน มาจากไหนเข้ามาทักว่า จะให้ไป ถ่ายรูปให้กับกรุ๊ปทัวร์คิดราคา เท่าไร ไกด์เค้าก็บอกว่าไปหา ลูกค้าที่ตรงนู้นดีกว่า ที่วัดไชยฯ ตรงนี้ช่างภาพเยอะแล้ว ซึ่งสถานที่ ที่แนะนำเป็นที่ไลอ้อนปาร์ค ติดกับวัดหลวงพ่อรวย ซึ่งเป็นวัด ที่ยังไม่เคยไปไหว้ ก็เลยมานั่งคิดว่าหรือที่เราไปจะบวชชีพราหมณ์หรือป่าวเลยทำให้มีคนแนะนำงานนี้ให้ค่ะ พรุ่งนี้จะลองเข้าไปดูตามที่ไกด์บอก หวังว่าจะได้ลูก”
หลังจากผมได้อ่านข้อความนี้จบลง ผมเลยบอกลูกเพจไปว่า เอ้ย พี่เพิ่งพูดถึง วัดมเหยงคณ์กับเพื่อนพี่อยู่เลย แนะนำเลยนะ ให้ไปบวชชีพราหมณ์ตามที่ได้ตั้งใจไว้น่าจะได้อะไรดีๆกลับมานะ พร้อมทั้งน้องได้ส่งตารางเวลามาให้ดูว่ามีวันไหนบ้างที่สามารถลงทะเบียนได้ ส่วนผมก็ขอเก็บรูปตารางวันลงทะเบียไว้พร้อมส่งต่อไปยังเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ หากพวกเขาเหล่านั้นมีเวลาและถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วคงได้ไปจริงๆครับ
สำหรับวันนี้จะเป็นการเล่าเรื่องประสบการณ์ในปีนั้นที่ผมได้เริ่มมีโอกาสไปที่วัดมเหยงคณ์ วันนั้นจำได้ว่ามีเพื่อนทักมาบอกว่า สนใจไปทริปที่อยุธยาไหม? เราดูเวลาเป็นวันเสาร์พอดิบพอดี เลยตบปากรับคำไปว่าเอาสิ ไปด้วย ไม่ค่อยได้ไปวัดเลยช่วงนี้ ขอติดรถไปด้วยแล้วกันนะ
ภาพตัดมาถึงวัดมเหยงคณ์เลยละกันครับ พอเรามาถึงเนื่องด้วยไม่เคยมาก่อน ก็มีเพื่อนคนนี้ที่เขาเคยมาบวชที่วัดมเหยงคณ์ เป็นคนแนะนำจุดต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นที่ลงทะบียน ห้องครัว ที่ทานข้าว ที่พักต่างๆ ที่ปฏิบัติธรรม จนมาถึง บริเวณจุดที่เป็นที่ตั้งของหลวงพ่อหินทราย ที่ๆเพื่อนคนนี้บอกว่า ทุกครั้งที่เธอมาวัดมเหยงคณ์นั้น ทุกๆเย็นเธอคนนี้ จะนำดอกไม้ที่เธอได้ทำไว้นั้น เดินผ่านกำแพงตรงนี้ เพื่อที่จะเดินไปยังที่ประดิษฐานขององค์หลวงพ่อหินทราย หลังจากเราเดินผ่านมาเรื่อยๆ มองขวามือจะเป็นเจดีย์ของแม่ศรีเมืองครับ เธอบอกว่าไว้ก่อนกลับ เราค่อยมาเดินแถวนี้ละกัน
เมื่อเรามาถึงที่ประดิษฐานขององค์หลวงพ่อหินทราย ผมได้ทำการจุดธูป เทียน และกล่าวคำต่างๆ มากมาย ทำจิตใจสงบอยู่สักพักหนึ่งไม่รู้อะไรดลจิตดลใจ ให้ผมมองไปบนท้องฟ้า เหนือบริเวณหลวงพ่อหินทราย ผมประหลาดใจนิ่งนักเพราะว่าผมเห็นแบบกลุ่มลำแสงสีนวล กำลังทำท่า บินไปมา แสงสีนวลนั้น ไม่ใช่แค่ลำเดียว แต่มีมากมาย หลายเส้น บินวนไปมา จนเพื่อนคนนี้หันมาแล้วพูดว่า ที่มองไปบนฟ้า เธอเห็นแสงสีนวลๆ ที่วิ่งไปมาใช่ไหม? ผมตอบไป ใช่ๆ อ้าวเธอก็เห็นด้วยหรอ เธอพยักหน้ำ พร้อมบอกว่า นึกว่าเราเห็นคนเดียวซะอีก ผมได้แต่บอกไปว่า ไม่หรอก เราก็เห็นเหมือนกัน… จากนั้นสักพักแสงสีนวลนั้นก็ค่อยๆ เลือนหายไปครับ
หลังจากนั้น เราจึงค่อยๆเดินออกมาเดินดูรอบๆ บริเวณนี้ ผมก็เดินตามเพื่อนคนนี้ไปได้สักพัก บริเวณด้านข้าง เยื้องๆกับอุโบสถที่ประดิษฐานขององค์หลวงพ่อหินทราย ก็จะมีเหล่าช้างประดับชั้นประทักษิณเจดีย์ประธานมีซุ้มกรอบหน้านาง เพื่อนๆสนใจลองเดินดูได้ครับ เพื่อนคนนี้หันกลับมาแล้วพูดขึ้นว่า
“เธอช่วยหยุดอยู่ตรงนี้ก่อนได้ไหม เดี๋ยวทางนั้นเราขอเดินไปคนเดียวก็พอ” หลังจากที่ผมได้ฟังแบบนั้นก็ทำหน้า งงๆ พร้อมบอกว่าอ้าว ขอไปดูด้วยไม่ได้หรอ
เพื่อนคนนี้กลับตอบไปว่า ไม่ได้หรอก เวลาเธอเดินกับเธอแล้ว พี่ๆ น้องๆ ของเราเขาไม่ออกมา อย่างมากก็โผล่มาแว้บๆ เพราะเธอเลย เวลาไปไหนแสงสว่างมันจ้ามาก ในตอนนั้นผมได้แต่ งงๆ แล้วบอก โอเคๆ ไม่ไปก็ไม่ไป…
ระหว่างนั้นเราแยกไปกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง ส่วนเพื่อนคนนี้เธอเดินไปรอบๆ แตะนั่น จับนี่ ตรงนั้นตรงนี้ไป เวลาน่าจะผ่านไปได้ 10-15 นาทีได้ เรามาเจอกันตรงที่ เจดีย์ของแม่ศรีเมืองครับ ผมจึงถามตรงๆไปว่า เล่าหน่อยได้ไหม ทำไมไม่ให้ไป เธอหันมาแล้วพูดว่า ทุกครั้งที่เธอมาปฎิบัติธรรมที่นี่ แล้วมักจะเดินมาบริเวณนี้ รวมถึงฝันเรื่องราวต่างๆ เธอนั้นเล่ากับผมว่า เธอสัมผัสได้ว่า เธอเคยเกิดและเติบโตอยู่ที่นี่ บริเวณนี้ รวมถึงเธอมี พี่น้อง รวมถึงเพื่อนๆ ที่อยู่ที่นี่ แต่พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้เกิดเช่นเดียวกับเธอ พวกเขาเหล่านั้น ยังคงเฝ้าคอย หรือ เฝ้าดูอะไรบางอย่าง ที่ยังอยู่ที่แห่งนี้ เวลาเธอมา พวกเขาก็มักจะมาพูดคุย มาเข้าฝัน รวมถึง ออกมาให้เห็นและส่งยิ้มให้เธอเสมอๆ เปรียบประหนึ่งว่า เธอนั้นได้กลับมา พบเจอเพื่อน และ พี่น้องของเธอ ระหว่างเล่าไปนั้น เพื่อนคนนี้ก็น้ำตาซึมๆ ออกมาเป็นระยะๆ
ผมบอกไปว่าใจเย็นๆน๊า เธอบอกไม่เป็นไรๆ เราแค่คิดถึงพวกเขาจริงๆ มันอึนๆ มันแบบคิดถึงพวกเขามากอย่างบอกไม่ถูก นี่คงเป็นเหตุผลของเธอคนนี้กระมังครับ ที่ทำให้เธอมาที่นี่บ่อยมาก เรียกว่า เป็นบ้านหลังที่ 2 ของเธอก็ว่าได้
เธอบอกว่า ที่มาที่นี่ส่วนหนึ่งเพราะอยากมาเจอหน้าพวกเขา รวมถึงมาปฎิบัติธรรมเพื่ออุทิศให้กับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ของเธอคนนี้นั่นเองครับและเรื่อง หลวงพ่อหินทรายแห่งวัดมเหยงคณ์ ในความทรงจำที่ผ่านของผมนั้นก็จบลงแต่เพียงเท่านี้ เขียนไว้เพื่อให้ยังจดจำว่า แม้จะเวลาจะผ่านไปเนินนานเพียงใด พวกเขาเหล่านี้นั้นก็ยังคงอยู่ พวกเขาคงเฝ้าดู หรือ รอคอยอะไรสักอย่าง ผมก็ยังตอบไม่ได้แน่ชัด หากใครมาที่วัดมเหยงคณ์ ก็อย่าลืมไปสักการะหลวงพ่อหินทราย รวมถึงอุทิศบุญกุศลให้พวกเขาเหล่านี้ด้วยนะครับ
แล้วพบกับเรื่องเล่าจากทางบ้านตอนใหม่ครับ ขอบคุณที่รับชมรับฟังกันครับ สวัสดีครับ
สุดท้ายอย่าลืมกด like กดแชร์ บอกเล่าเรื่องราวนี้ให้กับผู้ที่คุณเห็นว่าสมควรและเหมาะสมที่จะมาอ่านและซึมซับบรรยากาศเหล่านี้ไปด้วยกัน
ปล. สำหรับใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วอยากนำไปเล่าเพิ่มเติม หรือ อยากรู้รายละเอียดยิบย่อยมากกว่านี้ ติดต่อได้ที่เพจมามูมะครับ พร้อมให้นำไปเล่าได้ทุกท่าน ขอบคุณครับ
เรื่องเล่าจากทางบ้านตอน หลวงพ่อหินทราย วัดมเหยงคณ์
เรื่องเล่าจากทางบ้านในตอนนี้มันก็เนิ่นนานมากกว่า 5 ปีได้น่าจะเกิดขึ้นช่วงปี 2562 เรียกว่าลืมได้แล้วก็เป็นได้ครับ แต่อย่างว่าในโลกนี้นั้นไม่มีคำว่าบังเอิญหรอกครับคือก่อนหน้านี้ ผมกับเพื่อนได้คุยกันเรื่อยเปื่อยจนเพื่อนพูดว่า เขาชอบไปปฎิบัติธรรมมากที่วัดมเหยงคณ์ บอกว่าดี สงบร่มรื่น พอเพื่อนพูดมาแบบนี้
อยู่ๆเราก็คิดถึงตอนที่เรามาที่วัดมเหยงคณ์ กับเพื่อนอีกแก๊งหนึ่งแล้วเจอเรื่องแปลกๆ แต่ก็บอกว่า ยังไม่ว่างจะเล่าเรื่องหรือเขียนเรื่องที่เจอให้ฟังได้นะ
พอดียุ่งๆอยู่ เพื่อนบอก โอเค ถ้าว่างแล้วก็อย่าลืมเขียนแล้วกัน จะรอฟังอยู่ รีบๆเขียนหน่อย
หลังจากนั้นไม่นานน่าจะ 2-3 วันได้ อยู่ๆ มีคนในเพจมามูมะ ทักเข้ามาเล่าเรื่องบังเอิญที่คงไม่บังเอิญ ดังนี้ครับ
“คือวันนี้ช่วงบ่ายๆ ไม่มีลูกค้าเรียกลูกค้ายากมาก(หนูมารับ ถ่ายรูปที่วัดไชยฯ) ก้นั่งหาข้อมูลในการบวชชีพราหมณ์ที่วัดมเหยงคณ์เพราะเห็นคนไปบวชที่นั่นก้เลยอยากบ้างไปค่ะ หาๆๆไป แล้วทักไปที่เพจวัดว่าต้องทำยัง ไงบ้างหรือต้องเตรียมตัวยังไง มีค่าใช้จ่ายเท่าไร ก็ดูๆข้อมูลไปเรื่อยๆ แล้วอยู่ๆก้มีไกด์ไม่รู้เดิน มาจากไหนเข้ามาทักว่า จะให้ไป ถ่ายรูปให้กับกรุ๊ปทัวร์คิดราคา เท่าไร ไกด์เค้าก็บอกว่าไปหา ลูกค้าที่ตรงนู้นดีกว่า ที่วัดไชยฯ ตรงนี้ช่างภาพเยอะแล้ว ซึ่งสถานที่ ที่แนะนำเป็นที่ไลอ้อนปาร์ค ติดกับวัดหลวงพ่อรวย ซึ่งเป็นวัด ที่ยังไม่เคยไปไหว้ ก็เลยมานั่งคิดว่าหรือที่เราไปจะบวชชีพราหมณ์หรือป่าวเลยทำให้มีคนแนะนำงานนี้ให้ค่ะ พรุ่งนี้จะลองเข้าไปดูตามที่ไกด์บอก หวังว่าจะได้ลูก”
หลังจากผมได้อ่านข้อความนี้จบลง ผมเลยบอกลูกเพจไปว่า เอ้ย พี่เพิ่งพูดถึง วัดมเหยงคณ์กับเพื่อนพี่อยู่เลย แนะนำเลยนะ ให้ไปบวชชีพราหมณ์ตามที่ได้ตั้งใจไว้น่าจะได้อะไรดีๆกลับมานะ พร้อมทั้งน้องได้ส่งตารางเวลามาให้ดูว่ามีวันไหนบ้างที่สามารถลงทะเบียนได้ ส่วนผมก็ขอเก็บรูปตารางวันลงทะเบียไว้พร้อมส่งต่อไปยังเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ หากพวกเขาเหล่านั้นมีเวลาและถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วคงได้ไปจริงๆครับ
สำหรับวันนี้จะเป็นการเล่าเรื่องประสบการณ์ในปีนั้นที่ผมได้เริ่มมีโอกาสไปที่วัดมเหยงคณ์ วันนั้นจำได้ว่ามีเพื่อนทักมาบอกว่า สนใจไปทริปที่อยุธยาไหม? เราดูเวลาเป็นวันเสาร์พอดิบพอดี เลยตบปากรับคำไปว่าเอาสิ ไปด้วย ไม่ค่อยได้ไปวัดเลยช่วงนี้ ขอติดรถไปด้วยแล้วกันนะ
ภาพตัดมาถึงวัดมเหยงคณ์เลยละกันครับ พอเรามาถึงเนื่องด้วยไม่เคยมาก่อน ก็มีเพื่อนคนนี้ที่เขาเคยมาบวชที่วัดมเหยงคณ์ เป็นคนแนะนำจุดต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นที่ลงทะบียน ห้องครัว ที่ทานข้าว ที่พักต่างๆ ที่ปฏิบัติธรรม จนมาถึง บริเวณจุดที่เป็นที่ตั้งของหลวงพ่อหินทราย ที่ๆเพื่อนคนนี้บอกว่า ทุกครั้งที่เธอมาวัดมเหยงคณ์นั้น ทุกๆเย็นเธอคนนี้ จะนำดอกไม้ที่เธอได้ทำไว้นั้น เดินผ่านกำแพงตรงนี้ เพื่อที่จะเดินไปยังที่ประดิษฐานขององค์หลวงพ่อหินทราย หลังจากเราเดินผ่านมาเรื่อยๆ มองขวามือจะเป็นเจดีย์ของแม่ศรีเมืองครับ เธอบอกว่าไว้ก่อนกลับ เราค่อยมาเดินแถวนี้ละกัน
เมื่อเรามาถึงที่ประดิษฐานขององค์หลวงพ่อหินทราย ผมได้ทำการจุดธูป เทียน และกล่าวคำต่างๆ มากมาย ทำจิตใจสงบอยู่สักพักหนึ่งไม่รู้อะไรดลจิตดลใจ ให้ผมมองไปบนท้องฟ้า เหนือบริเวณหลวงพ่อหินทราย ผมประหลาดใจนิ่งนักเพราะว่าผมเห็นแบบกลุ่มลำแสงสีนวล กำลังทำท่า บินไปมา แสงสีนวลนั้น ไม่ใช่แค่ลำเดียว แต่มีมากมาย หลายเส้น บินวนไปมา จนเพื่อนคนนี้หันมาแล้วพูดว่า ที่มองไปบนฟ้า เธอเห็นแสงสีนวลๆ ที่วิ่งไปมาใช่ไหม? ผมตอบไป ใช่ๆ อ้าวเธอก็เห็นด้วยหรอ เธอพยักหน้ำ พร้อมบอกว่า นึกว่าเราเห็นคนเดียวซะอีก ผมได้แต่บอกไปว่า ไม่หรอก เราก็เห็นเหมือนกัน… จากนั้นสักพักแสงสีนวลนั้นก็ค่อยๆ เลือนหายไปครับ
หลังจากนั้น เราจึงค่อยๆเดินออกมาเดินดูรอบๆ บริเวณนี้ ผมก็เดินตามเพื่อนคนนี้ไปได้สักพัก บริเวณด้านข้าง เยื้องๆกับอุโบสถที่ประดิษฐานขององค์หลวงพ่อหินทราย ก็จะมีเหล่าช้างประดับชั้นประทักษิณเจดีย์ประธานมีซุ้มกรอบหน้านาง เพื่อนๆสนใจลองเดินดูได้ครับ เพื่อนคนนี้หันกลับมาแล้วพูดขึ้นว่า
“เธอช่วยหยุดอยู่ตรงนี้ก่อนได้ไหม เดี๋ยวทางนั้นเราขอเดินไปคนเดียวก็พอ” หลังจากที่ผมได้ฟังแบบนั้นก็ทำหน้า งงๆ พร้อมบอกว่าอ้าว ขอไปดูด้วยไม่ได้หรอ
เพื่อนคนนี้กลับตอบไปว่า ไม่ได้หรอก เวลาเธอเดินกับเธอแล้ว พี่ๆ น้องๆ ของเราเขาไม่ออกมา อย่างมากก็โผล่มาแว้บๆ เพราะเธอเลย เวลาไปไหนแสงสว่างมันจ้ามาก ในตอนนั้นผมได้แต่ งงๆ แล้วบอก โอเคๆ ไม่ไปก็ไม่ไป…
ระหว่างนั้นเราแยกไปกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง ส่วนเพื่อนคนนี้เธอเดินไปรอบๆ แตะนั่น จับนี่ ตรงนั้นตรงนี้ไป เวลาน่าจะผ่านไปได้ 10-15 นาทีได้ เรามาเจอกันตรงที่ เจดีย์ของแม่ศรีเมืองครับ ผมจึงถามตรงๆไปว่า เล่าหน่อยได้ไหม ทำไมไม่ให้ไป เธอหันมาแล้วพูดว่า ทุกครั้งที่เธอมาปฎิบัติธรรมที่นี่ แล้วมักจะเดินมาบริเวณนี้ รวมถึงฝันเรื่องราวต่างๆ เธอนั้นเล่ากับผมว่า เธอสัมผัสได้ว่า เธอเคยเกิดและเติบโตอยู่ที่นี่ บริเวณนี้ รวมถึงเธอมี พี่น้อง รวมถึงเพื่อนๆ ที่อยู่ที่นี่ แต่พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้เกิดเช่นเดียวกับเธอ พวกเขาเหล่านั้น ยังคงเฝ้าคอย หรือ เฝ้าดูอะไรบางอย่าง ที่ยังอยู่ที่แห่งนี้ เวลาเธอมา พวกเขาก็มักจะมาพูดคุย มาเข้าฝัน รวมถึง ออกมาให้เห็นและส่งยิ้มให้เธอเสมอๆ เปรียบประหนึ่งว่า เธอนั้นได้กลับมา พบเจอเพื่อน และ พี่น้องของเธอ ระหว่างเล่าไปนั้น เพื่อนคนนี้ก็น้ำตาซึมๆ ออกมาเป็นระยะๆ
ผมบอกไปว่าใจเย็นๆน๊า เธอบอกไม่เป็นไรๆ เราแค่คิดถึงพวกเขาจริงๆ มันอึนๆ มันแบบคิดถึงพวกเขามากอย่างบอกไม่ถูก นี่คงเป็นเหตุผลของเธอคนนี้กระมังครับ ที่ทำให้เธอมาที่นี่บ่อยมาก เรียกว่า เป็นบ้านหลังที่ 2 ของเธอก็ว่าได้
เธอบอกว่า ที่มาที่นี่ส่วนหนึ่งเพราะอยากมาเจอหน้าพวกเขา รวมถึงมาปฎิบัติธรรมเพื่ออุทิศให้กับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ของเธอคนนี้นั่นเองครับและเรื่อง หลวงพ่อหินทรายแห่งวัดมเหยงคณ์ ในความทรงจำที่ผ่านของผมนั้นก็จบลงแต่เพียงเท่านี้ เขียนไว้เพื่อให้ยังจดจำว่า แม้จะเวลาจะผ่านไปเนินนานเพียงใด พวกเขาเหล่านี้นั้นก็ยังคงอยู่ พวกเขาคงเฝ้าดู หรือ รอคอยอะไรสักอย่าง ผมก็ยังตอบไม่ได้แน่ชัด หากใครมาที่วัดมเหยงคณ์ ก็อย่าลืมไปสักการะหลวงพ่อหินทราย รวมถึงอุทิศบุญกุศลให้พวกเขาเหล่านี้ด้วยนะครับ
แล้วพบกับเรื่องเล่าจากทางบ้านตอนใหม่ครับ ขอบคุณที่รับชมรับฟังกันครับ สวัสดีครับ
สุดท้ายอย่าลืมกด like กดแชร์ บอกเล่าเรื่องราวนี้ให้กับผู้ที่คุณเห็นว่าสมควรและเหมาะสมที่จะมาอ่านและซึมซับบรรยากาศเหล่านี้ไปด้วยกัน
ปล. สำหรับใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วอยากนำไปเล่าเพิ่มเติม หรือ อยากรู้รายละเอียดยิบย่อยมากกว่านี้ ติดต่อได้ที่เพจมามูมะครับ พร้อมให้นำไปเล่าได้ทุกท่าน ขอบคุณครับ