แบ่งปันประสบการณ์::บวชชีพราหมณ์ ถือศีล 8 วัดมเหยงคณ์ จ.พระนครศรีอยุธยา

สวัสดีครับเพื่อนๆชาวพันทิปทุกคน วันนี้จะขอมาแบ่งปันประสบการณ์ การไปบวชชีพราหมณ์ ถือศีล 8 เป็นครั้งแรกที่วัดมเหยงคณ์ จ.พระนครศรีอยุธยา
ตั้งใจไว้ว่าจะถือศีลเป็นเวลา 3 วันเต็มครับ เริ่มนับจากวันที่ 29 มิถุนายน 2560 และลาศีลออกมาเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2560 ครับ
ที่อยากรีวิวก็เพราะว่า หลังจากที่ตัดสินใจจะไปถือศีล ก็พยายามหาข้อมูลการเดินทาง การกิน การอยู่ การปฏิบัติธรรมที่วัดมเหยงคณ์จากในอินเตอร์เน็ต ที่เป็นประโยชน์มากเลยคือในเว็ปพันทิปนี่แหละครับ มีกัลยาณมิตรทางธรรมมารีวิวแบ่งปันประสบการณ์พอให้คลายกังวลไปบ้าง แต่มันติดอยู่ตรงที่ การปฏิบัติเนี่ย เค้าแบ่งแยกชาย-หญิง สมาชิกที่มาเล่าส่วนใหญ่ก็จะมาเล่าในวิถีปฏิบัติของอุบาสิกา ส่วนของอุบาสกนี่ไม่มีเลย เลยเป็นจุดเริ่มต้นครับว่าทำไมถึงอยากมาตั้งกระทู้เขียนเรื่องราวการปฏิบัติธรรมที่วัดมเหยงคณ์ในฝั่งของอุบาสกบ้าง เผื่อสมาชิกเพศชายท่านใดสนใจไปปฏิบัติธรรมที่นี่จะได้รู้เห็นความเป็นไปในฝั่งของผู้ชายกันบ้างนะครับ เพราะสัดส่วนของผู้ที่ไปปฏิบัติธรรมที่วัดมเหยงคณ์ ผู้ชาย:ผู้หญิง ในช่วงที่ผมไปนี่ คิดเป็น ผู้ชาย 10% ผู้หญิง 90% ถือว่าสัดส่วนของผู้ชายน้อยมากครับ เลยขอเป็นส่วนน้อย ส่วนนิด ส่วนหน่อย ที่จะมาแบ่งปันประสบการรืการถือศีลในฝั่งของอุบาสกบ้าง


เอาล่ะ มาเริ่มดีกว่าครับว่าทำไมถึงตัดสินใจไปปฏิบัติธรรมที่วัดมเหยงคณ์ ยิ้ม
โดยปกติแล้วผมเป็นคนชอบสวดมนต์ และนั่งสมาธิเป็นปกติประจำวันอยู่แล้ว โดยเฉพาะในช่วงเวลาก่อนนอนของทุกวัน เหมือนได้เป็นการเคลียร์ความวุ่นวายและสิ่งที่ต่างๆที่ผ่านเข้ามาในแต่ละวันให้มันจบลงไปแค่ในคืนนี้ พรุ่งนี้จะได้ตื่นมารับวันใหม่อย่างมีความสุข ซึ่งมันได้ผลจริงๆนะครับ เพราะแต่ก่อนผมเนี่ยจะเป็นคนฝันเป็นตุเป็นตะบ่อยมาก พูดง่ายๆคือฝันเรื่อยเปื่อย เช่น วิ่งหนีผี แต่วิ่งแบบหนืดๆวิ่งไม่ออกบ้างล่ะ หรือเตะต่อยชกตบตีกับคนนั้นคนนี้บ้าง แต่กว่าจะง้างได้แต่ละหมัดมันช่างสโลว์โมชั่นซะเหลือเกิน จะไม่สามารถควบคุมอะไรในฝันได้เลย แน่นอนในฝันยังเหนื่อยขนาดนั้น ตื่นมามันต้องเหนื่อย และทำให้ไม่สดชื่นเอาซะเลย ตั้งแต่ที่เริ่มปฏิบัติสมาธิ สวดมนต์เนี่ย รู้สึกว่าความฝันเริ่มมีสาระมากขึ้น สามารถควบคุมตัวเองในความฝันได้ง่ายขึ้น วิ่งหนีผีได้ไวขึ้น เตะต่อยมีแรงมากขึ้น 555 นั่นเป็นข้อดีส่วนหนึ่งในบางคืนเท่านั้นครับ แต่ที่ดีกว่านั้นก็คือ ไม่ค่อยฝันเลย หลับสนิท ยาว ตลอดคืน และตื่นมาด้วยความสดใสฟรุ้งฟริ้งเป็นที่สุด ชีวิตจะเป็นแบบนี้มาตั้งแต่หลังเรียนจบปริญญาตรีครับ นับมาถึงวันนี้ก็ 4 ปีได้แล้วครับ ที่รู้จักกับการนั่งสมาธิอย่างจริงจัง ส่วนการเริ่มมาสนใจการปฏิบัติสมาธิได้อย่างไร เดี๋ยววันหลังถ้ามีโอกาสจะมาตั้งกระทู้เขียนเรื่องราวแชร์ประสบการณ์ของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่อยู่ดีๆก็ระลึกชาติได้ให้ติดตามกันนะครับ วันนี้เอาเรื่องไปถือศีลก่อน ^^

กระโดดข้ามมาที่ค่ำคืนหนึ่งกลางเดือนมิถุนายน 2560 จำได้ว่าเป็นคืนวันศุกร์ หลังจากที่สวดมนต์ ปฏิบัติสมาธิเสร็จเรียบร้อยแล้ว
จึงเดินเข้าห้องนอนครับ ล้มตัวลงบนเตียง ห่มผ้าห่ม หัวกำลังจะลงถึงหมอน ก็มีเสียงของสตรีคนหนึ่งดังเข้ามาในหัว (ที่ใช้คำว่าได้ยินทางหัว คือเสียงมันเข้ามาทางหัวครับ ไม่ได้ได้ยินโดยอวัยวะที่ชื่อว่าหู แต่เป็นเสียงที่มันดังเข้ามา และใช้อวัยวะพิเศษบางอย่างในหัวเป็นเครื่องรับสัญญาณนั้น) เสียงของสตรีผู้นั้น เป็นเสียงที่เคยได้ยินมาก่อน และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกครับ เลยรู้ได้ทันทีว่าเป็นเสียงของสตรีผู้หนึ่ง ที่จะแทนตัวเองว่า "แม่" และเรียกผมว่า "ลูก"  

เสียงของสตรีผู้นั้น : ไปถือศีลสัก 3 วันนะลูก
ผม : หื้ม...อะไรนะครับ (ตอบในใจ)
เสียงของสตรีผู้นั้น : ไปเถอะ ถึงวาระแล้ว
ผม : จะให้ไปถือศีลที่ไหนครับ
เสียงของสตรีผู้นั้น : วัดมเหยงคณ์
ผม : ไม่ไปได้มั้ยแม่ ไม่เคยไป ไม่คุ้นเลย
เสียงของสตรีผู้นั้น : จะไม่ไปก็ได้ ลูกก็แค่คลาดโอกาสบางอย่าง แต่มันถึงเวลาและวาระที่ต้องไป มีอะไรบางอย่างรอลูกอยู่ที่นั่น ไปเถิด

คือต้องอธิบายก่อนว่า ผมเนี่ยเป็นคนชอบปฏิบัติธรรมก็จริง แต่ชอบปฏิบัติเอง ปฏิบัติที่บ้านนี่แหละครับ ไม่ชอบไปวุ่นวายในที่ๆคนเยอะๆ หรือที่มีพิธีการอะไรมากมาย พยายามทำให้มันง่ายและซิมเปิ้ลที่สุด อย่างที่พระพุทธองค์ทรงทำไว้ให้พวกเราดูเป็นตัวอย่าง เราชาวพุทธมีตัวอย่างที่ดีให้ดูแล้ว เราก็แค่ต้องทำตาม ไม่ยากเลยครับ อยู่กับตัวเอง ทำความรู้จักกับตัวเองให้มากๆ ตามความคิด ตามสติของตัวเราเองให้ทัน สติมาปัญญาเกิด ปัญหาต่างๆที่เข้ามาในชีวิตจะเป็นเรื่องชิวๆไปเลยครับ เพราะฉะนั้นการที่อยู่ดีๆ จะไปปฏิบัติธรรมในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเนี่ยไม่มีทาง แล้วยิ่งเป็นเสียงที่ได้ยินทางหัวแล้วเนี่ย ไม่ใช่ว่าผมเชื่อเลย 100% นะครับ ต้องเอามาชั่งน้ำหนัก พิจารณาตามหลักความเป็นจริง และความเป็นไปได้เสียก่อนถึงค่อยเชื่อหรือทำตาม ไม่งั้นถ้าเสียงในหัวบอกว่าให้ไปกระโดดตึกตาย ผมก็เชื่อเสียงนั้นเหรอครับ 55555 สุดท้ายผมเลยใช้วิธีต่อรองแบบนี้ครับ

ผม : เอางี้ได้มั้ยครับ ถ้าแม่อยากให้ลูกไปจริงๆ ลูกขอเงินสักก้อนมาประเดิมเก็บไว้ให้อุ่นใจก่อนจะไปถือศีล คิดเสียว่าไม่ได้ทำงาน 3 วัน แต่ก็ยังได้เงิน (มีความเจ้าเล่ห์เล็กน้อย 555)
เสียงของสตรีผู้นั้น : ....
ผม : เงียบ..ไม่ตอบ งั้นนอน

เป็นเรื่องปกติครับที่ผมจะต้องต่อรองกับสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะ 1.มันหาข้อพิสูจน์ไม่ได้นี่นา มันอาจจะเป็นสิ่งที่เราคิดขึ้นมาเองก็ได้ อย่าเพิ่งรีบเชื่อ 2.มวลพลังงานเหล่านั้น เค้าต้องแสดงให้เราเห็นเป็นรูปธรรมให้ได้ ว่าสิ่งที่เค้าพยายามจะสื่อนั้นเป็นเรื่องจริง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

เช้ามาเป็นวันเสาร์ ก็ตื่นนอนปกติ ไม่ได้ทำอะไร จนตอนเที่ยงก็มีโทรศัพท์เข้ามา พอรับสายก็พบว่าเป็นลูกค้าเจ้าบ่าวและเจ้าสาวโทรมาติดต่อเรื่องงาน จะขอเข้ามาลองชุดแต่งงานตอนบ่าย ซึ่งลูกค้าก็บอกว่าขอเข้ามาลองชุดดูก่อน แต่จะยังไม่ตัดสินใจ พอดีวันนั้นไม่ได้มีธุระอะไรอยู่แล้ว เลยนัดเวลาให้ลูกค้าเข้ามาตอนเย็น พอลูกค้ามาถึง คุยกันถูกคอมาก มากๆๆๆ แถมยังคุยเพลินไปถึงเรื่องการปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ การเดินสายทำบุญต่างๆ ซึ่งการมาเวดดิ้งสตูดิโอของเจ้าบ่าวเจ้าสาว ไม่น่าจะมาจบที้เรื่องการปฏิบัติธรรมได้ 555 แต่ผมก็ไม่ได้เล่าเรื่องเสียงในหัวเมื่อคืนให้ลูกค้าฟังนะครับ มันคนละส่วนกัน แต่สรุปว่าวันนั้นลูกค้าก็ตกลงวางมัดจำจองคิวชุดแต่งงานทันทีครับ แถมยังฝากเงินมาทำบุญสร้างพระเจดีย์ชัยยะมงคล ที่ จ.ลำพูน กับผมด้วย (มีความเป็นมาอย่างไร เดี๋ยวมีโอกาสจะขอมาเล่าให้ฟังคราวหลังนะครับ) ก็เลยอนุโมทนาสาธุกับเจ้าบ่าวเจ้าสาวคู่นั้นไป

เสร็จจากการคุยงานกับลูกค้า มานึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนเราเพิ่งมีประเด็นกับเสียงในหัวไปนี่หว่า แล้ววันนี้อยู่ดีๆก็ได้เงินมาก้อนนึงจริงๆด้วย ตายแล้ววววว เอาละหว่าาาา ต้องไปถือศีลแล้วล่ะ แล้วตอนแรกลูกค้าก็บอกเองว่าจะขอเข้ามาลองเฉยๆ ยังไม่ตัดสินใจ ไปๆมาๆก็วางเงินเลย ให้เหตุผลว่าชอบชุดแต่งงานของที่นี่ โอเคที่สุดแล้ว จากที่เคยไปลองมา ลืมบอกไป ขอโฆษณานิดนึงละกันโนะะะะ หุหุ ผมทำสตูดิโอชุดไทยโบราณครับ แต่ไม่เชิงเวดดิ้งสตูดิโอ 100% นะครับ เป็นแค่ห้องทำงานเล็กๆ เริ่มจากการสะสมเครื่องประดับไทยแบบโบราณตั้งแต่สมัยเรียน เรื่อยมาจนเป็นผ้านุ่ง ผ้าสไบ มีคนนั้นคนนี้มายืมชุดไปใช้
จนได้กลายมาเป็นเปิดให้เช่าไปเลย หารายได้ไปในตัว 555 (ท่านใดสนใจหลังไมค์ได้นะครับ หุหุ)

หลังจากที่รู้ว่าหนีไม่พ้น ต้องไปปฏิบัติธรรมที่วัดมเหยงคณ์แบบจริงจังแล้ว  จึงหาไลน์หาเพื่อนสนิทนางหนึ่งครับ เราจะเรียกนางว่า "หญิงอ้น" เล่าเรื่องให้นางฟัง เพื่อจะหาแนวร่วม 5555 นางก็บอกว่าช่วงนี้ยังไม่ว่าง จะว่างอีกทีช่วงปลายเดือนมิถุนา จากนั้นหญิงอ้นก็ยื่นข้อเสนอมาเป็นวันที่ 29-30 มิถุนายน ถึง 1 กรกฎาคม เราก็ตกลง เป็นอันว่าดีลวันกันเรียบร้อย จากนั้นก็เลยจุดธูปบอกกล่าวกับสตรีผู้นั้นว่า ลูกจะไปจริงๆตามสัญญาแล้วนะครับ ^^

จะขอเท้าความถึงหญิงอ้นซะหน่อย ผมกับหญิงอ้นรู้จักกันมาตั้งแต่ ม.ต้น แค่รู้จักเฉยๆแต่ไม่เคยคุยกัน จนขึ้น ม.ปลายได้มาอยู่ห้องเดียวกัน แต่มาสนิทกันจริงๆตอน ม.6 พอเข้ามหาวิทยาลัยก็แยกย้ายกันไปคนละจังหวัด ไม่ค่อยได้ติดต่อกัน นานๆที 4 ปี กลับมาเจอกันบ้างเวลางานประจำปีของโรงเรียนเก่า แต่ได้กลับมาสนิทกันอีกครั้งแบบจริงจังคือ หลังจากเรียนจบแล้ว 2 ปี หญิงอ้นมาทำงานในกรุงเทพ ผมเรียนจบก็อยู่กรุงเทพต่อ วันหนึ่งเลยได้นัดมาเจอกัน ได้กลับมาคุยสารทุกข์สุขดิบกัน แต่จะออกแนวแบบว่าหญิงอ้นจะมาบ่นเรื่องงาน ปวดหัวอย่างนั้น งานเยอะอย่างนี้ ผมจะเป็นแนวสายบุญ ชอบชวนหญิงอ้นไปเที่ยววัดนั้นวัดนี้ โบราณสถานตรงนั้น วังตรงนี้ บ้างก็ชวนกันหอบเสื่อผืนหมอนใบ แบ็คแพ็คไปต่างจังหวัดบ้าง ข้ามเกาะไปเที่ยวทะเลบ้าง ตามโอกาส หญิงอ้นนี่จะชอบมานอนค้างที่ห้องช่วงวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ โดยให้เหตุผลว่าห้องของผมกว้างกว่าห้องของนาง และได้มาบ่นเรื่องงานเพื่อระบายความเครียดไปด้วย เจริญพร บุญของนางที่มีเพื่อนประหนึ่งชักโครก เอาไว้ระบาย 5555555 ส่วนผมก็ได้ใช้งานหญิงอ้นคืนบ้าง เพื่อเป็นการตอบแทนที่มาค้างคืนที่ห้องของผม โดยการจับหญิงอ้นเป็นนางแบบลองชุดไทยแบบย้อนยุค ถ่ายรูปลงแฟนเพจ




รูปนี้หญิงอ้นมีความโบราณมาก 555

โห....เท้าความย้อนไปไกลมาก ป่านนี้ยังไม่ถึงวัดมเหยงคณ์เลย 555555
ขอเปิดหัวกระทู้ไว้เท่านี้ก่อนแล้วกันนะครับ เดี๋ยวลงไปต่อในคอมเม้นด้านล่าง จำนวนตัวอักษรใกล้จะเต็มลิมิตแล้วครับ

ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะครับ ขอบคุณมากๆครับ
ขออภัยด้วยที่เท้าความหลังไปยาวมาก แต่จะบอกว่ามันจะกลายมาเป็นเหตุเป็นผลกันแบบ Mystery สุดๆ
รออ่านนะครับ กำลังพิมพ์ต่อ ยิ้ม

*แก้ไขครั้งที่ 1 ลืมเบลอหน้าให้หญิงอ้น 555555555555555
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่