แนะนำวิธีที่ทำให้เราออกจากครอบครัวหน่อยได้ไหมคะ

อาจจะยาวหน่อยนะคะ 

ความจริงเราอยากเรียนต่อมหาลัย แต่เพราะครอบครัวไม่มีเงินเราเลยต้องมาทำงานต่างประเทศ และเพื่อให้น้องสาวได้มีเงินเรียนต่อ 

หลังจากมาทำงาน 3 ปีแรกเราส่งเงินกลับบ้านทุกเดือน มีเท่าไหร่ให้หมด ไม่เคยแบ่งไว้เก็บเลยไม่ใช้ส่วนตัวเลย 

เวลาผ่านไป 1 ปีเราได้ทำการออกรถกระบะให้ครอบครัวค่ะ ส่วนค่างวดรถจะเป็นเราจ่ายเองทั้งหมด เพราะว่าเราอยากให้ครอบครัวมีรถใช้ 

ทำงานได้ 2 ปีจะเข้าปีที่ 3 เราใกล้จะหมดสัญญา เลยคิดว่าจะกลับบ้านเพราะว่าเหนื่อยมากๆร่างกายก็เริ่มอ่อนแอขึ้นเรื่อยๆเพราะงานหนัก เลยออกรถอีกคันนึงมาเป็นรถเก๋งราคาจะไม่แพงเท่าคันแรก แต่เพราะเราคิดว่าถ้าเรากลับไปจะได้ไม่ต้องแย่งรถกับครอบครัวใช้เราก็เลยออกคันที่ 2 มา 

ในระหว่างนี้เราเคยถามครอบครัวตลอด เรื่องอยากให้สร้างบ้านใหม่ เพราะหลังที่อยู่ปัจจุบันมันเก่าและผุพังมากๆ แต่แม่ก็ยืนยันที่จะไม่สร้าง อยากให้เราเก็บเงินไว้ 

แต่พอเราออกรถครั้งที่ 2 มาได้ 1 เดือน แม่เราเริ่มสร้างบ้านหลังใหม่โดยที่เราไม่เห็นด้วยเลย เพราะว่าเราไม่ได้เตรียมใจที่จะต้องหาเงินก้อนใหญ่ให้ได้มากๆขนาดนั้น เงินที่มีส่วนหนึ่งเราก็ใช้ออกรถคันที่ 2 ไปแล้ว และอีกอย่างเราอยากกลับบ้าน 

เท่ากับว่าตอนนี้เรามีภาระงวดรถ 2 คันที่ต้องส่งทุกเดือน และต้องหาเงินก้อนใหญ่มากๆเพื่อที่จะทำบ้านหลังใหม่ 

หลังจากนั้นชีวิตของเราก็เริ่มเปลี่ยนไป ด้วยภาระที่มากขึ้น ความเครียดของเราก็มีมากขึ้น เพราะเรายังมีรายได้แค่ทางเดียว เงินก็ได้แค่เดือนละ 1 ครั้ง แต่ภาระของเรากลับเพิ่มขึ้นอีกมันเท่าตัว และเราก็ไม่สามารถกลับบ้านได้แล้ว เราต้องต่อสัญญาอีก 5 ปีเป็นอย่างต่ำ 

เราอยากกลับบ้านเพราะเราป่วยเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นค่ะ อันนี้แค่โรคแรกเท่านั้น ส่วนโลกที่ 2 เราไม่ขอลงรายละเอียด แต่มันเป็นโรคที่จำเป็นต้องกลับไปรักษาที่ประเทศไทยจริงๆ เพราะว่าต้องผ่าตัด ซึ่งอยู่ที่นี่เราทำไม่ได้แน่ๆเพราะมันจะกระทบกับงานโดยตรง  

ทำบ้านได้ 2 ปีความเครียดของเราก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราต้องประหยัดมากๆ เนื้อหมูเนื้อไก่เนื้อวัวแทบไม่ได้กิน เรากินแค่ไข่กับมาม่า เพราะเราอยากประหยัดให้ได้มากที่สุดเพื่อที่จะได้ส่งตังค์ไปทำบ้าน แต่ในทางกลับกันสุขภาพของเราก็แย่ลงเรื่อยๆ 

จนกระทั่ง 10 เดือนก่อนกลับบ้าน (เราเเพลนที่จะกลับไปพักที่ประเทศไทย 1 เดือน) ซึ่งในช่วงนั้นบ้านของเราหลังใหม่ก็เสร็จไปแล้ว 90% พอดี เราเลยคิดว่าจะหยุดบ้างไว้แค่นั้นก่อน เพราะเราต้องเก็บเงินกลับบ้านเพื่อไปรักษาตัวและเข้าผ่าตัด 

แต่มันก็ยังมีเรื่องจำเป็นที่ต้องใช้เงินสร้างบ้านต่อ ตอนนั้นเราไม่มีเงินแล้วรอตัดสินใจยืมตังค์ของพี่ที่รู้จักเพื่อส่งให้ทางบ้านก่อน ตอนแรกทางบ้านเราดูจะไม่อยากได้นะ แต่พอเราส่งไปตังค์หมดก็บอกแล้วว่าบ้านยังไม่เสร็จ ? (มันเหมือนเป็นการขอเงินเราทางอ้อม ทั้งๆที่เราต้องการจะหยุดการสร้างบ้านไว้แค่นี้ก่อน )

ปัญหาใหญ่มากๆก็เริ่มต้นขึ้นหลังจากนี้ 

หลังจากที่บ้านเสร็จได้ 90% ครอบครัวเราก็ย้ายเข้าไปอยู่ในนั้น บ้านหลังใหญ่ค่ะ เรียกได้ว่าเกิน 1 ล้านบาทเลย มันเกินตัวเรามากๆภาระของเราจึงหนัก แต่เพราะว่าครอบครัวเราโดนดูถูกมาทั้งชีวิต พ่อแม่เราจึงอยากได้บ้านที่ดีขึ้นจึงต้องแลกมาด้วยราคาที่แพงมหาศาล (บ้านหลังนี้ไม่ใช่เงินเราคนเดียวค่ะพ่อแม่ออกช่วยด้วย)

พอหลังจากมีบ้านหลังใหญ่และใหม่ คนที่เคยดูถูกก็เริ่มเปลี่ยนคำพูด ดูจะนับหน้าถือตาพ่อกับแม่เรามากขึ้น ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปตอนนี้ 

น้องเราบอกกับเราว่าอยากได้โทรศัพท์ iPhone ทั้งๆที่เราใช้ android ราคาแค่ไม่กี่พันตลอดเวลาที่ทำงานอยู่ที่นี่และยังไม่เคยซื้อเครื่องใหม่ 

เวลาถึงเทศกาลต่างๆหรือวันสำคัญของคนในครอบครัวเราจะส่งตังค์ไปให้คนทั้งบ้าน เพื่อให้ได้ซื้อของอร่อยๆกิน และในหลายๆครั้งก็มีญาติๆและคนแถวบ้านมากินกับครอบครัวเราด้วย (ซึ่งเราไม่โอเคเลยเพราะมันเป็นตังค์ที่เราแบ่งจากค่าใช้จ่ายของตัวเองส่งกลับไปให้คนทางบ้าน นั่นแปลว่าเราจะมีเงินสำหรับซื้ออาหารและใช้ในต่างประเทศน้อยลงด้วยซ้ำ)

ช่วงหลังๆมา เวลาเราส่งเงินให้ ที่ไม่ใช่ค่ารถและค่าบ้าน เป็นเงินที่ให้เอาไว้ซื้อของอร่อยๆกิน ในหลายๆครั้งเราไม่เคยได้รับคำขอบคุณ (เราเข้าใจว่าพ่อแม่ไม่ต้องขอบคุณลูกก็ได้ แต่บางครั้งคนที่พยายามทำงานอย่างหนักเพื่ออยากให้ครอบครัวได้กินของที่ดีๆ เราเองก็ต้องการกำลังใจเหมือนกัน ต้องการคำขอบคุณที่ทำให้รู้สึกว่าเรานั้นได้ทำประโยชน์ให้ครอบครัว )

และปัญหาก็หนักเข้าเรื่อยๆ ตอนปีใหม่เราส่งเงินไปให้ครอบครัวเลี้ยงฉลอง คนข้างบ้านหมอญาติๆก็มากินด้วย ทุกคนกินเนื้อกินหมูแทบจะเป็นอย่างนั้นตลอดที่เราส่งตังค์กลับไป แต่เราที่อยู่ที่นี่กลับไม่กล้าซื้อแบบนั้นกินด้วยซ้ำ เรากลับซื้อแค่อาหารที่ถูกๆราคาไม่แพง เพราะเราอยากเก็บตังค์ส่วนนั้นไว้ส่งให้ทางบ้าน 

แล้วในที่สุดเรากับครอบครัวก็ได้ทะเลาะกันเรื่องเงิน ตอนนี้เรากับครอบครัวห่างกันได้สักพักแล้ว แต่เราก็ยังส่งงวดรถให้ทุกเดือน วันปัจฉิมน้องเราก็ส่งตังค์ให้ วันเกิดแม่เราเราก็ส่งตังค์ให้เหมือนเดิม แค่ไม่ได้คุยกัน

แต่ตอนที่เราป่วยไม่เคยมีใครถามไทยเรื่องสุขภาพเราสักครั้ง เราทำงานจนนิ้วบวมแต่ก็ต้องฝืนไปทำงาน เพราะถ้าหยุดก็จะไม่ได้ตังค์ แต่ก็ไม่มีใครถามข่าวเราเลยสักคน เหมือนเราแค่มีหน้าที่ต้องส่งตังค์กลับไปแค่นั้น 

ในระหว่างที่เรากำลังทำบ้าน เราคิดหนักเรื่องเงินมากๆ เพราะเราหาตังค์ไม่ได้เยอะเท่าที่ต้องการ เราคิดหนักจนรู้สึกอยากจะตายให้มันจบๆ แต่สุดท้ายเราก็ยังสู้ต่อ 

จนกระทั่งมาถึงตอนนี้ที่ความสัมพันธ์กับเราและคนในครอบครัวเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ ในตอนที่เราป่วยแลัไม่สบาย ไม่เคยมีใครถามไถ่เรา แต่เรากลับหวังอยู่ตลอดว่าในทุกๆเดือนจะมี 1 ครั้งที่เราต้องส่งตังค์ให้สำหรับค่าใช้จ่ายต่างๆ หวังว่าคงมีสักครั้งที่คนทางบ้านจะถามข่าวเราบ้าง แต่ไม่มีเลย 

ความรู้สึกย่ำแย่เริ่มกัดกินจิตใจ จนเราอยากจะหนีจากปัญหานี้ไปให้พ้น เราเหนื่อยกับการมีชีวิตอยู่กับความทุกข์แบบนี้มากๆ แต่เราก็บอกตัวเองว่าเรายังไม่มีโอกาสได้มีความสุขเลย เราส่งตังค์ให้คนทางบ้านทั้งๆที่เรายังไม่เคยได้กินของอร่อยที่เราอยากกินจริงๆ เราให้คนทางบ้านมีบ้านมีรถ แต่แค่โทรศัพท์ใหม่เครื่องเดียวเรากลับไม่กล้าซื้อ มันเป็นการพยายามทำเพื่อคนอื่นจนตัวเราเองก็เริ่มหมดความอดทน 

และรถ 2 คัน กับบ้านอีก 1 หลัง ไม่มีอะไรเป็นชื่อเราเลย ทั้งที่เคยวางแผนไว้ว่าจะกลับบ้านในอีก 10 เดือนข้างหน้าก็ไม่ได้กลับแล้ว เพราะว่าได้ส่งตังค์ก้อนนึงไปทำบ้านเพิ่ม และทุกๆเดือนเรายังต้องจ่ายค่างวดรถ 

จนถึงตอนนี้เราอยากจะออกจากความทุกข์นี้ค่ะ เราอยากจะออกห่างจากครอบครัวที่ทำให้เรามีความทุกข์ เพราะเรารู้สึกว่าในฐานะลูกเราทำเต็มที่แล้ว  เขามีบ้านที่ปลอดภัยและมั่นคง เขามีรถ 2 คันที่ให้เอาไว้ใช้ทำมาหากินได้ ต่อให้เราออกมาก็คงไม่มีปัญหาเพราะเขาก็ยังมีน้องคอยดูแล แต่เราก็จะทำหน้าที่ส่งงวดรถต่อไปจนกว่าจะหมด 

เพราะถ้าให้เราทนต่อไปแบบนี้ เราไม่มั่นใจว่าเราจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน เพราะเราก็ไม่รู้ว่าวันไหนที่เราจะอยากจากไปอีกครั้งเพราะเราไม่มีความสุขเลย เรารู้สึกไม่มีความสำคัญ 

#อาจจะยาวหน่อยนะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่