เราอยากมาแชร์ประสบการณ์ ประกันสุขภาพเกือบไม่อนุมัติสินไหม
เราเสียเบี้ยประกันสุขภาพเกือบ 50,000/ปี
ปกติโรงพยาบาลประจำจะอยู่แถวสุขุมวิท ประกันใช้ได้มาตลอดไม่เคยมีปัญหาอะไรใดๆ
เกิ่นอาการที่เราเป็นและการดูแลจากโรงพยาบาล
ไม่นานมานี้เรามีอาการเหมือนกรดไหลย้อน(ซึ่งเราไม่เคยเป็นโรคเกี่ยวกับกระเพาะมาก่อนเลย)
คืนก่อนไปโรงพยาบาลเราอาเจียนหลายครั้งประมาณ 5-6 ครั้ง ตอนเช้าเลยไปโรงพยาบาลใกล้บ้านที่สุด หากเข้าสุขุมวิทรถคงติด ณ เวลานั้น + ช่วงนั้นเรามีงานที่ต้องเคลียร์เยอะมาก ไปสุขุมวิทคงไม่สะดวก
พอไปถึงโรงพยาบาล เจ้าหน้าถามเรื่องประกัน เราก็บอกไปหมดว่ามีอะไรบ้าง และบอกว่าขอใบรับรองแพทย์ด้วย
ตอนแรกคิดว่าแค่ OPD แต่พอพบคุณหมอปรากฏว่าต้อง Admit เพื่อส่องกล้อง
เจ้าหน้าที่พาเราขึ้นห้องประมาณบ่ายๆ เจาะน้ำเกลือ และแจ้งว่าต้องเคลียร์ลำไส้โดยการให้ยาระบายประมาณ 1-2 ลิตร จำปริมาณไม่ได้แน่ชัด โดยเริ่มกินตอนบ่าย 3 และต้องกินให้หมดก่อน 5โมงเย็น
พยาบาลแจ้งว่าหลังจากที่เราถ่ายให้กดเรียกพยาบาลมาถ่ายรูปอุนจิเรา ส่งให้หมอดู และต้องถ่ายจนน้ำใสเหมือนปัสสาวะ
เราถามพยาบาลว่าถ้าเราปวดท้องถ่าย เรากดเรียกพยาบาลได้ไหมให้พาเราไป เพราะตอนนั้นมีอาการเวียนหัว คลื่นไส้เล็กน้อย + เจาะสายน้ำเกลือ เรากลัวเรื่องความปลอดภัยของเรา พยาบาลบอกว่า พอปวดท้องให้กดเรียกเดี๋ยวพยาบาลจะพาไปเข้าห้องน้ำ
หลังจากเรากินยาระบายไม่เกิน 15 นาที เราปวดท้องถ่าย เรากดเรียกพยาบาล แต่อุนจิเราออกมาอัติโนมัติไม่ได้เบ่งไรเลย ตอนนั้นเราพอมีแรงรีบไปเข้าห้องน้ำทัน เลยไม่เละเทะมากนัก แต่พอถ่ายไปบ่อยๆเข้าเราเริ่มไม่ไหว ตอนนั้นทั้งอาเจียนทั้งถ่าย ทั้งเวียนหัว หลังๆมาเรากดเรียกพยาบาล แต่ตอนนี้อุนจิเราออกมาเองเลย กดเรียกแล้วแต่มาไม่ทัน
แฟนเราเข้ามาเห็นอาการเราเลยไปบอกพยาบาล จากนั้นพยาบาลเข้าใส่แพมเพิทแบบผู้ใหญ่และแผ่นรองซับน้ำ และพยาบาลก็มาช่วยทำความสะอาด
ปล. เราไม่โทษพยาบาลนะเพราะคิดว่าเค้าคงทำเต็มที่แล้วหละ
เราเคลียร์ลำไส้เพื่อส่องกล้องอีกวันตอน 9 โมงเช้า
วันต่อมาเจ้าหน้าที่พาไปส่องกล้องตามเวลา มีวางยาสลบ และพ่นยาชาที่ลำคอ ส่องกล้องทางปากและทวารหนัก
พอส่องกล้องเสร็จ เรามาพักฟื้นที่จุดพักคอย พอเราฟื้นดี คุณหมอมาหาเรา ให้เราดูรูปกระเพาะ บอกว่ากระเพาะอักเสบขั้นรุนแรง โดยปกติแล้วเราไม่กินเหล้า ไม่กินเผ็ด คือถ้ากินส้มตำเราจะไม่ใส่พริกเลย ไม่กินกาแฟ นานๆครั้งจะกินน้ำอัดลม ไม่มีพฤติกรรมที่จะเป็นโรคนี้เลย คุณหมอเลยคิดว่าอาจะเกิดจากความเครียดสะสม แต่ไม่สามารถระบุสาเหตุได้แน่ชัด ซึ่งเราเข้าใจคุณหมอนะ
คุณหมอบอกว่าเราสามารถกลับบ้านในวันนั้นเลย และจะมียาให้ไปกินเริ่มกินเย็นวันนั้นได้เลย
เจ้าหน้าที่พาเรากลับมาที่ห้อง รอเคลมประกัน รับยากลับบ้าน
ต่อมาคือเรื่องเคลมประกันไม่ผ่าน
ปกติประกันจะส่ง SMS มากบอกว่า ตอนนี้ได้รับเอกสารจากโรงพยาบาลแล้ว จะใช้เวลา 1 ชั่วโมง โรงพยาบาลประจำที่สุขุมวิทปกติจะส่งเอกสารประมาณ 2-3ครั้ง จากนั้นมี SMS มาอีกเมื่อประกันอนุมัติ ใช้เวลาไม่นาน
เวลาประมาณ บ่าย 2
เราได้รับ SMS 1 ครั้งว่าโรงพยาบาลนี้ส่งเอกสารแล้ว
เวลาประมาณ 4 โมงเย็น ได้รับ SMS ว่าประกันไม่อนุมัติ ตอนนั้นเราไม่ได้อ่านเพราะเริ่มมีอาการปวดท้องเลยนอนพัก
เจ้าหน้าที่น่าจะเป็นฝ่ายการเงินมาแจ้งเราว่าประกันไม่อนุมัติ ให้เราจ่ายเงิน เกือบ 80,000 บาท
เราบอกว่าเรามีประกันจ่ายประกันแล้วและโรงพยาบาลก็เช็คแล้วว่าประกันเรา Active
แฟนเราขอให้โรงพยาบาลส่งเอกสารครั้งที่2 เพราะ 80,000 มันเยอะมาก เราไม่ได้แพลนที่จะเสียเงินเยอะขนาดนี้
โรงพยาบาลส่งเอกสารอีกครั้ง ก็ไม่ผ่าน เราพยายามติดต่อตัวแทนที่ซื้อก็ติดต่อไม่ได้ เราเลยโทร Call Centre โอนสายไปหลายสายมาก กว่าจะได้คุยกับมนุษย์ แฟนก็ช่วยโทร ปรากฎว่าไปเจอพนักงานหนึ่งท่าน น่าจะเป็นตัวแทนประกัน เราได้ข้อมูลอันนี้คือ Keyword น้องพนักงานแจ้งว่า โรงพยาบาลนี้เคยติด Blacklist กับทางประกันเมื่อ 2-3 ปีก่อนเพราะเขียนอาการและค่ารักษาพยาบาลเกินจริง น้องพนักงานยังแจ้งว่า หากเป็นลูกค้าใหม่ของน้อง น้องจะไม่แนะนำให้มาโรงพยาบาลนี้เพราะตอนนี้มีลูกค้าที่มีปัญหาเหมือนเรา 5-6 ราย
อันนี้เราเข้าใจตัวแทน เราเก็บข้อมูลเอาไว้ คิดว่าหากพูดไป น้องคงได้รับความเสียหาย (ข้อมูลที่ 1) ขีดเส้นใต้ไว้จะมีการกล่าวถึงตอนหลัง
และทราบภายหลังว่าตัวแทนของเราเองไม่มีใครติดต่อได้มาครึ่งปีแล้ว
เวลาประมาณ 5 โมงเย็น ต่อไปนี้เราจะเรียกจนทท่านนี้ว่า "จนท A"
จนท A ยืนยันว่าเราต้องสำรองจ่าย เราบอกว่าเราไม่มี จนท Aบอกว่า ให้โทรยืมเพื่อนหรือญาติมาก่อน
เรายืนยันว่ายังไงก็ไม่มี
ระหว่างนั้นเราโทรหาแม่ แม่บอกจำได้ไหมเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้วเราผ่าไส้ติ่งที่โรงพยาบาลนี้แหละ ประกันก็ไม่จ่าย โรงพยาบาลบอกแม่ว่าต้องมีการสืบประวัติว่าเคยเป็นโรคนี้ไหม (เหตุผลเดียวกันกับที่ให้เราในวันนี้ว่าต้องมีการสืบประวัติก่อน) แม่สงสารเราอยากให้กลับบ้านเลยสำรองจ่ายไปก่อนแล้วขอทำเรื่องเคลมทีหลัง แต่แม่ก็ไม่ได้เงินคืน
ตอนนั้นเราไม่รู้เรื่องอะไร แม่ก็ไม่ได้เล่า แม่เพิ่งมาบอก เรางงมาก ไส้ติ่งคนเรามีอันเดียวจะสืบประวัติเราว่าเราผ่าไส้ติ่งมาก่อนหรอ? (ข้อมูลที่ 2) ขีดเส้นใต้ไว้จะมีการกล่าวถึงตอนหลัง
ตอนนี้เราเริ่มกังวลแล้วว่าถึงเรามีเงินสำรองจ่าย ยังไงเราคงไม่ได้เงินคืน เพราะโรงพยาบาลคงไม่พยายามส่งเรื่องให้เราแน่นอน แบบเคสแม่เราที่สำรองจ่ายไปก่อน
ปัญหากินเวลาไปเกือบ 2 ทุ่ม แฟนเรากับเราหิวข้าวและน้ำ เพราะตอนนั้นไม่มีน้ำเหลือแล้ว แม่บ้านจะมาเติมน้ำอีกทีก็ตอนเช้า จะลงไปซื้อน้ำพยาบาลแจ้งว่า ไม่ให้ลงไปหรือสามารถลงไปได้ทีละคนเท่านั้น แฟนเราก็ไม่กล้าทิ้งเราไว้คนเดียว เพราะเราเริ่มมีอาการปวดท้อง บวกกับยาชาพ่นคอมันหมดฤทธิ์ เราทั้งเจ็บที่คอและปวดท้อง
เราจำได้ว่าคุณหมอบอกมียาตอนเย็น เราเลยถามพยาบาลว่ามียาเย็นไหม พยาบาลบอกไม่มี เราก็ปล่อยผ่าน คิดว่าหรือเราอาจฟังหมอผิด เพราะตอนนั้นเพิ่งฟื้นจากยาสลบ
เวลาประมาณ 3 ทุ่ม จนท A มาหาและยืนยันว่ายังไงเราก็ต้องสำรองจ่าย เรายืนยันว่าไม่มี ขอทางออกหน่อยเพราะตอนนี้เจ็บที่คอและเริ่มปวดท้องมากขึ้น จนท Aบอกว่าจะไปปรึกษากับผู้ใหญ่
เวลาประมาณ 4 ทุ่ม จนท Aนำเอกสารมาให้เซ็น แต่หัวกระดาษเขียนว่าสัญญาค่ารักษาพยาบาลอะไรซักอย่าง จำไม่ค่อยได้เพราะปวดท้องมาก จนท A กับจนทท่านอื่น รวม 3 คนและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีก 2 คน บอกเราว่าถ้าเราเซ็นเค้าถึงจะปล่อยเรา พูดตามตรงถ้าเราเซ็นนะ เท่ากับเราจะเป็นหนี้เลย 80,000 บาท เพราะตามกฎหมายมันคือหนังสือรับสภาพหนี้ เราเลยปฏิเสธ เเละเรากับแฟนรู้สึกไม่ปลอดภัย เนื่องจากเค้าเอาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมา เราปวดท้องหนักขึ้นไม่ไหวเเล้ว เราเลยบอกจนท A ว่าขออนุญาตโทรแจ้งความ 191 เพราะอยากให้มีคนกลางไกล่เกลี่ยและเป็นพยานที่เป็นคนของประชาชนนั้นคือตำรวจ และพวกเค้าก็ออกไปบอกจะไปปรึกษาผู้ใหญ่อีกที
ประมาณ 4 ทุ่มครึ่งเราโทร 191 พร้อมแจ้งข้อมูลทั้งหมดไปรวมถึงข้อมูล ที่ 1 และ ข้อมูลที่ 2 ด้วย
ไม่นานมีตำรวจโทรมา เราถามชื่อ และแจ้งข้อมูลอาคาร ชั้นและเลขที่ห้อง รวมทั้งข้อมูลทั้งหมดอีกครั้ง
ตำรวจมาถึง โทรหาเรา แจ้งว่าสามารถลงมาด้านล่างได้ไหม เราบอกว่าเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลไม่ให้เราลงไป ระหว่างนั้นแม่โทรหา เราคุยกับแม่
ตำรวจจึงขึ้นมาพร้อมกับจนท A กับพวกอีก 2คน แต่ไม่มีรปภ.แล้ว คำแรกที่จนท A ถามเราคือโทรหาใคร.....
ตำรวจมา 2 นาย จนท A ยืนยันว่าให้เราเซ็นเอกสารรับสภาพหนี้ เรายืนยันว่าไม่ และเราก็บอกคุณตำรวจถึงสาเหตุว่าทำไมเราถึงไม่เซ็นด้วยเหตุผลที่เราคุยกันทางโทรศัพท์ จนท A จะให้เราอยู่โรงพยาบาลอีก 1 คืนเพื่อตอนเช้าจะให้คุยกับประกัน โรงพยาบาล และ เรา 3 ฝ่ายพร้อมกัน
เราคิดว่าถึงทำแบบนั้น ยังไงเราก็แพ้องค์กรใหญ่ทั้งคู่ อีกทั้งวันต่อมาเรามีงานสำคัญด้วย
เวลาเกือบเที่ยงคืนเรายืนกรานว่าเราอยากไปโรงพัก คุณตำรวจยื่นข้อเสนอ 3 ข้อ
1. นอนโรงพยาบาลตามที่จนท A กล่าว
2. เซ็นหนังสือรับสภาพหนี้
3. ไปโรงพัก
เราจึงเลือกข้อ 3 เราพักอยู่ชั้น 9 เราปวดท้องจนตัวงอ เราต้องเดินจากห้องพักลงมาข้างล่างและเดินต่อไปเพื่อขึ้นรถตู้โรงพยาบาล ไม่มีรถเข็นให้เรา
เราขึ้นรถไปกับตำรวจและผชพยาบาล และจนท A
พฤติกรรมของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล
1. รถเป็นรถตู้ธรรมดา ส่วนแฟนขับรถไปเจอกันที่โรงพัก เพราะเราต้องไปกับจนท รพ. จนท A นั่งหน้า เรา ตำรวจ 1นาย และผชพยาบาลนั่งหลัง เราพูดขอโทษผชพยาบาลว่า ขอโทษที่เค้าต้องมาเกี่ยวด้วยในเวลาดึกๆแบบนี้ (เราขอโทษจริงๆไม่ได้ประชด) เราปวดท้องมากเลยถาม ผชพยาบาลว่ามียาอะไรให้เรากินบ้าง เค้าบอกให้ไปซื้อที่ 7
2. เรานั่งตรงข้ามตรงข้ามผชพยาบาลท่านนั้นกำลังเล่นโทรศัพท์อยู่ เราตัวงอกุมท้อง ผชพยาบาลยกเท้าเหมือนจะไขว่ห้าง แต่ เท้าหยุดตรงหน้าเราก่อนประมาณ 1-2 วิแล้วค่อยไขว่ห้าง เรามองหน้าเค้า เรารู้เลยว่าจงใจ
เหตุการณ์ที่สถานีตำรวจ
-จนท Aเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ตำรวจฟัง ตำรวจยัง งง ว่าทำไมประกันไม่จ่าย แต่ก็ให้ฝั่ง รพ.แจ้งความเรา (เราก็เข้าใจตำรวจนะ เพราะกม.ไทยเป็นระบบกล่าวหา)
-ระหว่างนั้นเราคุยกับตำรวจอีกท่าน เราปวดท้องมากจนตำรวจต้องไปหายามาให้กิน ซึ่งยานั้นเป็นยาอันตรายมาทราบภายหลังจากเภสัช (เข้าใจตำรวจเค้าไม่รู้และหวังดี) ตำรวจแนะนำให้เราร้องเรียน ให้แฟนเราจดว่าต้องไปร้องเรียนที่ไหนอย่างไรบ้าง ตอนนั้นผชพยาบาลดูไม่พอใจที่ตำรวจทำเช่นนั้น
-ฝั่ง รพ. แจ้งความเสร็จก็กลับไปเลย และถึงคิวของเรา ต้องขอขอบคุณตำรวจมาก เราได้ยินตำรวจบ่นว่า รพ.นี้อีกแล้ว ขนาดตำรวจบาดเจ็บขณะปฏิบัติหน้าที่หน้าโรงพยาบาล ยังไม่รักษาให้เลย ต้องไปหาคนค้ำประกันค่ารักษาพยาบาลมาก่อน ตำรวจต้องพากันขึ้นมอไซไป รพ.ตำรวจแทน ซึ่งมันห่างกันพอควร เราปวดท้องหนักขึ้น ตำรวจก็ช่วยเราและยังเขียนเพิ่มเติมส่วนสำคัญในใบลงบันทึกประจำวัน เช่น ไม่ให้ใบรับรองอพทย์ตามสิทธิ์ที่เราควรได้
เหตุการณ์วันต่อมา
-เราซื้อยาที่ร้านขายยาบอกอาการไป เอายาที่ตำรวจให้เภสัชดูจึงรู้ว่าเป็นยาอันตรายห้ามกินเด็ดขาด ถ้าเราเป็นกระเพาะอักเสบ เภสัชแนะนำให้ไป รพ. เราเลยบอกสาเหตุที่ไปรพ.แล้วแต่ไม่มียา เราได้ข้อมูลมาอีกว่าเมื่อวานมีคนประสบเหตุเหมือนเราที่ รพ.นี้มาซื้อยา แต่คนนั้นสำรองจ่ายไป 30% และก็ไม่ได้ยา (ข้อมูลนี้เราแค่ได้ยินมาเฉยๆจากบุคคลที่ 3)
-ระหว่างวันนั้นเราได้รับ SMS ว่ารพ. พยายามส่งเอกสารให้ประกัน จนสุดท้ายเวลาประมาณ 4 โมงเย็นเราได้รับ SMS ว่าประกันอนุมัติแล้ว
เราเลยกลับไปสน. เจอคุณตำรวจท่านเดิม ท่านแจ้งว่าให้ไป รพ. เอาจนท Aมาถอนแจ้งความ
-เรากลับไปรพ. มีจนทท่านอื่นมาดูแล แต่เราต้องการเจอ จนท A เพื่อไปสน. จนท Aมาพร้อมกับยาและใบรับรองแพทย์ที่อ่านไม่รู้เรื่อง เขียนแค่ไม่กี่คำ สรุปว่าเมื่อวานเราต้องได้รับยาเย็นตามหมอบอก เราถามว่าทำไมเมื่อวานถึงไม่ให้ยาเรา จนท A แจ้งว่าเบิกยากไม่ทัน...
-เราไป สน.กับ จนท A,จนทสูทดำน่าจะเป็นบอดี้การ์ดและจนทอีกท่านหนึ่ง ตำรวจให้จนท A ถอนแจ้งความเรา และบันทึกว่าจะไม่ดำเนินคดีทั้งแพ่งและอาญา
-ส่วนของเราใบลงบันทึกประจำวัน ตำรวจแนะนำสามารถเอาใบนี้ไปร้องเรียนได้ตามสิทธื์
สุดท้ายเรามีเพื่อนเป็นหมอ ให้เค้าอ่าน เพื่อนเราบอกทำไมหมอเขียนแบบนี้ มีแต่บุคคลาการทางการแพทย์เท่านั้นที่อ่านออก และสิ่งที่เราเป็นค่อนข้างรุนแรง เราควรได้รับยาต่อเนื่องตั้งแต่เย็นวันที่เกิดเหตุวันนั้น
ขอโทษด้วยที่เขียนยาว ถ้าใครอ่านมาถึงตรงนี้เราหวังว่าเรื่องเราจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆนะคะ
แชร์ประสบการณ์นอนรพ.และประกันสุขภาพเกือบไม่อนุมัติสินไหม
เราเสียเบี้ยประกันสุขภาพเกือบ 50,000/ปี
ปกติโรงพยาบาลประจำจะอยู่แถวสุขุมวิท ประกันใช้ได้มาตลอดไม่เคยมีปัญหาอะไรใดๆ
เกิ่นอาการที่เราเป็นและการดูแลจากโรงพยาบาล
ไม่นานมานี้เรามีอาการเหมือนกรดไหลย้อน(ซึ่งเราไม่เคยเป็นโรคเกี่ยวกับกระเพาะมาก่อนเลย)
คืนก่อนไปโรงพยาบาลเราอาเจียนหลายครั้งประมาณ 5-6 ครั้ง ตอนเช้าเลยไปโรงพยาบาลใกล้บ้านที่สุด หากเข้าสุขุมวิทรถคงติด ณ เวลานั้น + ช่วงนั้นเรามีงานที่ต้องเคลียร์เยอะมาก ไปสุขุมวิทคงไม่สะดวก
พอไปถึงโรงพยาบาล เจ้าหน้าถามเรื่องประกัน เราก็บอกไปหมดว่ามีอะไรบ้าง และบอกว่าขอใบรับรองแพทย์ด้วย
ตอนแรกคิดว่าแค่ OPD แต่พอพบคุณหมอปรากฏว่าต้อง Admit เพื่อส่องกล้อง
เจ้าหน้าที่พาเราขึ้นห้องประมาณบ่ายๆ เจาะน้ำเกลือ และแจ้งว่าต้องเคลียร์ลำไส้โดยการให้ยาระบายประมาณ 1-2 ลิตร จำปริมาณไม่ได้แน่ชัด โดยเริ่มกินตอนบ่าย 3 และต้องกินให้หมดก่อน 5โมงเย็น
พยาบาลแจ้งว่าหลังจากที่เราถ่ายให้กดเรียกพยาบาลมาถ่ายรูปอุนจิเรา ส่งให้หมอดู และต้องถ่ายจนน้ำใสเหมือนปัสสาวะ
เราถามพยาบาลว่าถ้าเราปวดท้องถ่าย เรากดเรียกพยาบาลได้ไหมให้พาเราไป เพราะตอนนั้นมีอาการเวียนหัว คลื่นไส้เล็กน้อย + เจาะสายน้ำเกลือ เรากลัวเรื่องความปลอดภัยของเรา พยาบาลบอกว่า พอปวดท้องให้กดเรียกเดี๋ยวพยาบาลจะพาไปเข้าห้องน้ำ
หลังจากเรากินยาระบายไม่เกิน 15 นาที เราปวดท้องถ่าย เรากดเรียกพยาบาล แต่อุนจิเราออกมาอัติโนมัติไม่ได้เบ่งไรเลย ตอนนั้นเราพอมีแรงรีบไปเข้าห้องน้ำทัน เลยไม่เละเทะมากนัก แต่พอถ่ายไปบ่อยๆเข้าเราเริ่มไม่ไหว ตอนนั้นทั้งอาเจียนทั้งถ่าย ทั้งเวียนหัว หลังๆมาเรากดเรียกพยาบาล แต่ตอนนี้อุนจิเราออกมาเองเลย กดเรียกแล้วแต่มาไม่ทัน
แฟนเราเข้ามาเห็นอาการเราเลยไปบอกพยาบาล จากนั้นพยาบาลเข้าใส่แพมเพิทแบบผู้ใหญ่และแผ่นรองซับน้ำ และพยาบาลก็มาช่วยทำความสะอาด
ปล. เราไม่โทษพยาบาลนะเพราะคิดว่าเค้าคงทำเต็มที่แล้วหละ
เราเคลียร์ลำไส้เพื่อส่องกล้องอีกวันตอน 9 โมงเช้า
วันต่อมาเจ้าหน้าที่พาไปส่องกล้องตามเวลา มีวางยาสลบ และพ่นยาชาที่ลำคอ ส่องกล้องทางปากและทวารหนัก
พอส่องกล้องเสร็จ เรามาพักฟื้นที่จุดพักคอย พอเราฟื้นดี คุณหมอมาหาเรา ให้เราดูรูปกระเพาะ บอกว่ากระเพาะอักเสบขั้นรุนแรง โดยปกติแล้วเราไม่กินเหล้า ไม่กินเผ็ด คือถ้ากินส้มตำเราจะไม่ใส่พริกเลย ไม่กินกาแฟ นานๆครั้งจะกินน้ำอัดลม ไม่มีพฤติกรรมที่จะเป็นโรคนี้เลย คุณหมอเลยคิดว่าอาจะเกิดจากความเครียดสะสม แต่ไม่สามารถระบุสาเหตุได้แน่ชัด ซึ่งเราเข้าใจคุณหมอนะ
คุณหมอบอกว่าเราสามารถกลับบ้านในวันนั้นเลย และจะมียาให้ไปกินเริ่มกินเย็นวันนั้นได้เลย
เจ้าหน้าที่พาเรากลับมาที่ห้อง รอเคลมประกัน รับยากลับบ้าน
ต่อมาคือเรื่องเคลมประกันไม่ผ่าน
ปกติประกันจะส่ง SMS มากบอกว่า ตอนนี้ได้รับเอกสารจากโรงพยาบาลแล้ว จะใช้เวลา 1 ชั่วโมง โรงพยาบาลประจำที่สุขุมวิทปกติจะส่งเอกสารประมาณ 2-3ครั้ง จากนั้นมี SMS มาอีกเมื่อประกันอนุมัติ ใช้เวลาไม่นาน
เวลาประมาณ บ่าย 2
เราได้รับ SMS 1 ครั้งว่าโรงพยาบาลนี้ส่งเอกสารแล้ว
เวลาประมาณ 4 โมงเย็น ได้รับ SMS ว่าประกันไม่อนุมัติ ตอนนั้นเราไม่ได้อ่านเพราะเริ่มมีอาการปวดท้องเลยนอนพัก
เจ้าหน้าที่น่าจะเป็นฝ่ายการเงินมาแจ้งเราว่าประกันไม่อนุมัติ ให้เราจ่ายเงิน เกือบ 80,000 บาท
เราบอกว่าเรามีประกันจ่ายประกันแล้วและโรงพยาบาลก็เช็คแล้วว่าประกันเรา Active
แฟนเราขอให้โรงพยาบาลส่งเอกสารครั้งที่2 เพราะ 80,000 มันเยอะมาก เราไม่ได้แพลนที่จะเสียเงินเยอะขนาดนี้
โรงพยาบาลส่งเอกสารอีกครั้ง ก็ไม่ผ่าน เราพยายามติดต่อตัวแทนที่ซื้อก็ติดต่อไม่ได้ เราเลยโทร Call Centre โอนสายไปหลายสายมาก กว่าจะได้คุยกับมนุษย์ แฟนก็ช่วยโทร ปรากฎว่าไปเจอพนักงานหนึ่งท่าน น่าจะเป็นตัวแทนประกัน เราได้ข้อมูลอันนี้คือ Keyword น้องพนักงานแจ้งว่า โรงพยาบาลนี้เคยติด Blacklist กับทางประกันเมื่อ 2-3 ปีก่อนเพราะเขียนอาการและค่ารักษาพยาบาลเกินจริง น้องพนักงานยังแจ้งว่า หากเป็นลูกค้าใหม่ของน้อง น้องจะไม่แนะนำให้มาโรงพยาบาลนี้เพราะตอนนี้มีลูกค้าที่มีปัญหาเหมือนเรา 5-6 ราย
อันนี้เราเข้าใจตัวแทน เราเก็บข้อมูลเอาไว้ คิดว่าหากพูดไป น้องคงได้รับความเสียหาย (ข้อมูลที่ 1) ขีดเส้นใต้ไว้จะมีการกล่าวถึงตอนหลัง
และทราบภายหลังว่าตัวแทนของเราเองไม่มีใครติดต่อได้มาครึ่งปีแล้ว
เวลาประมาณ 5 โมงเย็น ต่อไปนี้เราจะเรียกจนทท่านนี้ว่า "จนท A"
จนท A ยืนยันว่าเราต้องสำรองจ่าย เราบอกว่าเราไม่มี จนท Aบอกว่า ให้โทรยืมเพื่อนหรือญาติมาก่อน
เรายืนยันว่ายังไงก็ไม่มี
ระหว่างนั้นเราโทรหาแม่ แม่บอกจำได้ไหมเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้วเราผ่าไส้ติ่งที่โรงพยาบาลนี้แหละ ประกันก็ไม่จ่าย โรงพยาบาลบอกแม่ว่าต้องมีการสืบประวัติว่าเคยเป็นโรคนี้ไหม (เหตุผลเดียวกันกับที่ให้เราในวันนี้ว่าต้องมีการสืบประวัติก่อน) แม่สงสารเราอยากให้กลับบ้านเลยสำรองจ่ายไปก่อนแล้วขอทำเรื่องเคลมทีหลัง แต่แม่ก็ไม่ได้เงินคืน
ตอนนั้นเราไม่รู้เรื่องอะไร แม่ก็ไม่ได้เล่า แม่เพิ่งมาบอก เรางงมาก ไส้ติ่งคนเรามีอันเดียวจะสืบประวัติเราว่าเราผ่าไส้ติ่งมาก่อนหรอ? (ข้อมูลที่ 2) ขีดเส้นใต้ไว้จะมีการกล่าวถึงตอนหลัง
ตอนนี้เราเริ่มกังวลแล้วว่าถึงเรามีเงินสำรองจ่าย ยังไงเราคงไม่ได้เงินคืน เพราะโรงพยาบาลคงไม่พยายามส่งเรื่องให้เราแน่นอน แบบเคสแม่เราที่สำรองจ่ายไปก่อน
ปัญหากินเวลาไปเกือบ 2 ทุ่ม แฟนเรากับเราหิวข้าวและน้ำ เพราะตอนนั้นไม่มีน้ำเหลือแล้ว แม่บ้านจะมาเติมน้ำอีกทีก็ตอนเช้า จะลงไปซื้อน้ำพยาบาลแจ้งว่า ไม่ให้ลงไปหรือสามารถลงไปได้ทีละคนเท่านั้น แฟนเราก็ไม่กล้าทิ้งเราไว้คนเดียว เพราะเราเริ่มมีอาการปวดท้อง บวกกับยาชาพ่นคอมันหมดฤทธิ์ เราทั้งเจ็บที่คอและปวดท้อง
เราจำได้ว่าคุณหมอบอกมียาตอนเย็น เราเลยถามพยาบาลว่ามียาเย็นไหม พยาบาลบอกไม่มี เราก็ปล่อยผ่าน คิดว่าหรือเราอาจฟังหมอผิด เพราะตอนนั้นเพิ่งฟื้นจากยาสลบ
เวลาประมาณ 3 ทุ่ม จนท A มาหาและยืนยันว่ายังไงเราก็ต้องสำรองจ่าย เรายืนยันว่าไม่มี ขอทางออกหน่อยเพราะตอนนี้เจ็บที่คอและเริ่มปวดท้องมากขึ้น จนท Aบอกว่าจะไปปรึกษากับผู้ใหญ่
เวลาประมาณ 4 ทุ่ม จนท Aนำเอกสารมาให้เซ็น แต่หัวกระดาษเขียนว่าสัญญาค่ารักษาพยาบาลอะไรซักอย่าง จำไม่ค่อยได้เพราะปวดท้องมาก จนท A กับจนทท่านอื่น รวม 3 คนและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีก 2 คน บอกเราว่าถ้าเราเซ็นเค้าถึงจะปล่อยเรา พูดตามตรงถ้าเราเซ็นนะ เท่ากับเราจะเป็นหนี้เลย 80,000 บาท เพราะตามกฎหมายมันคือหนังสือรับสภาพหนี้ เราเลยปฏิเสธ เเละเรากับแฟนรู้สึกไม่ปลอดภัย เนื่องจากเค้าเอาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมา เราปวดท้องหนักขึ้นไม่ไหวเเล้ว เราเลยบอกจนท A ว่าขออนุญาตโทรแจ้งความ 191 เพราะอยากให้มีคนกลางไกล่เกลี่ยและเป็นพยานที่เป็นคนของประชาชนนั้นคือตำรวจ และพวกเค้าก็ออกไปบอกจะไปปรึกษาผู้ใหญ่อีกที
ประมาณ 4 ทุ่มครึ่งเราโทร 191 พร้อมแจ้งข้อมูลทั้งหมดไปรวมถึงข้อมูล ที่ 1 และ ข้อมูลที่ 2 ด้วย
ไม่นานมีตำรวจโทรมา เราถามชื่อ และแจ้งข้อมูลอาคาร ชั้นและเลขที่ห้อง รวมทั้งข้อมูลทั้งหมดอีกครั้ง
ตำรวจมาถึง โทรหาเรา แจ้งว่าสามารถลงมาด้านล่างได้ไหม เราบอกว่าเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลไม่ให้เราลงไป ระหว่างนั้นแม่โทรหา เราคุยกับแม่
ตำรวจจึงขึ้นมาพร้อมกับจนท A กับพวกอีก 2คน แต่ไม่มีรปภ.แล้ว คำแรกที่จนท A ถามเราคือโทรหาใคร.....
ตำรวจมา 2 นาย จนท A ยืนยันว่าให้เราเซ็นเอกสารรับสภาพหนี้ เรายืนยันว่าไม่ และเราก็บอกคุณตำรวจถึงสาเหตุว่าทำไมเราถึงไม่เซ็นด้วยเหตุผลที่เราคุยกันทางโทรศัพท์ จนท A จะให้เราอยู่โรงพยาบาลอีก 1 คืนเพื่อตอนเช้าจะให้คุยกับประกัน โรงพยาบาล และ เรา 3 ฝ่ายพร้อมกัน
เราคิดว่าถึงทำแบบนั้น ยังไงเราก็แพ้องค์กรใหญ่ทั้งคู่ อีกทั้งวันต่อมาเรามีงานสำคัญด้วย
เวลาเกือบเที่ยงคืนเรายืนกรานว่าเราอยากไปโรงพัก คุณตำรวจยื่นข้อเสนอ 3 ข้อ
1. นอนโรงพยาบาลตามที่จนท A กล่าว
2. เซ็นหนังสือรับสภาพหนี้
3. ไปโรงพัก
เราจึงเลือกข้อ 3 เราพักอยู่ชั้น 9 เราปวดท้องจนตัวงอ เราต้องเดินจากห้องพักลงมาข้างล่างและเดินต่อไปเพื่อขึ้นรถตู้โรงพยาบาล ไม่มีรถเข็นให้เรา
เราขึ้นรถไปกับตำรวจและผชพยาบาล และจนท A
พฤติกรรมของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล
1. รถเป็นรถตู้ธรรมดา ส่วนแฟนขับรถไปเจอกันที่โรงพัก เพราะเราต้องไปกับจนท รพ. จนท A นั่งหน้า เรา ตำรวจ 1นาย และผชพยาบาลนั่งหลัง เราพูดขอโทษผชพยาบาลว่า ขอโทษที่เค้าต้องมาเกี่ยวด้วยในเวลาดึกๆแบบนี้ (เราขอโทษจริงๆไม่ได้ประชด) เราปวดท้องมากเลยถาม ผชพยาบาลว่ามียาอะไรให้เรากินบ้าง เค้าบอกให้ไปซื้อที่ 7
2. เรานั่งตรงข้ามตรงข้ามผชพยาบาลท่านนั้นกำลังเล่นโทรศัพท์อยู่ เราตัวงอกุมท้อง ผชพยาบาลยกเท้าเหมือนจะไขว่ห้าง แต่ เท้าหยุดตรงหน้าเราก่อนประมาณ 1-2 วิแล้วค่อยไขว่ห้าง เรามองหน้าเค้า เรารู้เลยว่าจงใจ
เหตุการณ์ที่สถานีตำรวจ
-จนท Aเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ตำรวจฟัง ตำรวจยัง งง ว่าทำไมประกันไม่จ่าย แต่ก็ให้ฝั่ง รพ.แจ้งความเรา (เราก็เข้าใจตำรวจนะ เพราะกม.ไทยเป็นระบบกล่าวหา)
-ระหว่างนั้นเราคุยกับตำรวจอีกท่าน เราปวดท้องมากจนตำรวจต้องไปหายามาให้กิน ซึ่งยานั้นเป็นยาอันตรายมาทราบภายหลังจากเภสัช (เข้าใจตำรวจเค้าไม่รู้และหวังดี) ตำรวจแนะนำให้เราร้องเรียน ให้แฟนเราจดว่าต้องไปร้องเรียนที่ไหนอย่างไรบ้าง ตอนนั้นผชพยาบาลดูไม่พอใจที่ตำรวจทำเช่นนั้น
-ฝั่ง รพ. แจ้งความเสร็จก็กลับไปเลย และถึงคิวของเรา ต้องขอขอบคุณตำรวจมาก เราได้ยินตำรวจบ่นว่า รพ.นี้อีกแล้ว ขนาดตำรวจบาดเจ็บขณะปฏิบัติหน้าที่หน้าโรงพยาบาล ยังไม่รักษาให้เลย ต้องไปหาคนค้ำประกันค่ารักษาพยาบาลมาก่อน ตำรวจต้องพากันขึ้นมอไซไป รพ.ตำรวจแทน ซึ่งมันห่างกันพอควร เราปวดท้องหนักขึ้น ตำรวจก็ช่วยเราและยังเขียนเพิ่มเติมส่วนสำคัญในใบลงบันทึกประจำวัน เช่น ไม่ให้ใบรับรองอพทย์ตามสิทธิ์ที่เราควรได้
เหตุการณ์วันต่อมา
-เราซื้อยาที่ร้านขายยาบอกอาการไป เอายาที่ตำรวจให้เภสัชดูจึงรู้ว่าเป็นยาอันตรายห้ามกินเด็ดขาด ถ้าเราเป็นกระเพาะอักเสบ เภสัชแนะนำให้ไป รพ. เราเลยบอกสาเหตุที่ไปรพ.แล้วแต่ไม่มียา เราได้ข้อมูลมาอีกว่าเมื่อวานมีคนประสบเหตุเหมือนเราที่ รพ.นี้มาซื้อยา แต่คนนั้นสำรองจ่ายไป 30% และก็ไม่ได้ยา (ข้อมูลนี้เราแค่ได้ยินมาเฉยๆจากบุคคลที่ 3)
-ระหว่างวันนั้นเราได้รับ SMS ว่ารพ. พยายามส่งเอกสารให้ประกัน จนสุดท้ายเวลาประมาณ 4 โมงเย็นเราได้รับ SMS ว่าประกันอนุมัติแล้ว
เราเลยกลับไปสน. เจอคุณตำรวจท่านเดิม ท่านแจ้งว่าให้ไป รพ. เอาจนท Aมาถอนแจ้งความ
-เรากลับไปรพ. มีจนทท่านอื่นมาดูแล แต่เราต้องการเจอ จนท A เพื่อไปสน. จนท Aมาพร้อมกับยาและใบรับรองแพทย์ที่อ่านไม่รู้เรื่อง เขียนแค่ไม่กี่คำ สรุปว่าเมื่อวานเราต้องได้รับยาเย็นตามหมอบอก เราถามว่าทำไมเมื่อวานถึงไม่ให้ยาเรา จนท A แจ้งว่าเบิกยากไม่ทัน...
-เราไป สน.กับ จนท A,จนทสูทดำน่าจะเป็นบอดี้การ์ดและจนทอีกท่านหนึ่ง ตำรวจให้จนท A ถอนแจ้งความเรา และบันทึกว่าจะไม่ดำเนินคดีทั้งแพ่งและอาญา
-ส่วนของเราใบลงบันทึกประจำวัน ตำรวจแนะนำสามารถเอาใบนี้ไปร้องเรียนได้ตามสิทธื์
สุดท้ายเรามีเพื่อนเป็นหมอ ให้เค้าอ่าน เพื่อนเราบอกทำไมหมอเขียนแบบนี้ มีแต่บุคคลาการทางการแพทย์เท่านั้นที่อ่านออก และสิ่งที่เราเป็นค่อนข้างรุนแรง เราควรได้รับยาต่อเนื่องตั้งแต่เย็นวันที่เกิดเหตุวันนั้น
ขอโทษด้วยที่เขียนยาว ถ้าใครอ่านมาถึงตรงนี้เราหวังว่าเรื่องเราจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆนะคะ