ออกจากงานประจำหลักหมื่นมาใช้ชีวิตหลักพันอย่างมีความสุข😄

ก่อนอื่นขณะที่เขียนกระทู้นี้จะครบรอบ 1 ปีที่ลาออกจากงานประจำมาใช้ชีวิตที่บ้านต่างจังหวัด

เราเป็นคนนึงที่มีความฝันอยากมีนู่นนี่นั่นตามสังคม
เราจึงพยายามพัฒนาตัวเองจนได้งานที่เงินเดือนเยอะๆเพื่อที่จะเอาไปต่อยอด โดยการต่อยอดของเราคือเอาเงินแต่ละเดือนไปเรียนต่อ mba และเรียนตัดผม
เพราะเราชอบการตัดผมตั้งแต่เด็กๆ

ในปี 66 ที่ผ่านมาบริษัทเราประสบปัญหาทางด้ายการเงินอย่างหนัก บริษัทเอกชน จำเป็นต้องลดค่าใช้จ่ายโดยการบีบ ปลด พนักงานที่มีฐานเงินเดือนสูงๆออก
ตอนนั้นเรารู้สึกเครียดและกดดันมากเพราะเพื่อนๆร่วมงานที่เรารู้จักเริ่มทยอยออกไปทีละคนเราเป็นคนตั้งใจทำงานให้เกิน 100 เสมอ แต่เราเป็นพวกไม่ชอบเข้าหาหัวหน้า

จนสุดท้ายเราและเพื่อนร่วมงานเราอีกคนนึงโดนเรียกคุยในคืนวันศุกร์ว่าเรา 2 คน ต้องโดนย้ายแผนกเงินเดือนจะถูกลดไปเกือบครึ่ง โอเคเรายอมรับได้ตอนนั้นคิดว่างานเอกสารน่าจะดีกว่างานทำยอด สรุปวันจันทร์หัวหน้างานบอกว่าเราต้องไปคนเดียว และเราได้รู้มาว่าเพื่อนเราอีกคนได้ใช้วาทศิลป์บอกหัวหน้างานเกี่ยวกับภาระ หนี้สิน ที่ไม่สามารถไปอยู่อีกแผนกได้ฉะนั้นหวยมาออกที่เราต้องโดนย้ายไปคนเดียวด้วยข้อหาลางานบ่อย โดยที่เราลาในปีนั้นคือ ลาบวช กับลาพาแม่ไปคีโมที่ศิริราช เดือนละ 2 ครั้ง ขนาดเป็นโควิท หัวหน้าเรายังตามให้ไปทำงานเลย เรารู้แย่มากทั้งที่เราทุ่มเทให้กับงานนี้มากมาถึง 8 ปี โดยใน 8 ปีนี้เราไม่เคยแม้จะลาพักร้อนเลยโดบเรามักจะทะเลาะกับแฟนประจำเรื่องการไปเที่ยวตจว. ขนาดเราป่วยยังฝืนไป แต่ที่เราเป็นคนพูดตรงๆเกี่ยงกับงานหัวหน้าถึงไม่ชอบเรา คำว่า Fail หัวหน้าเราอ่านเป็น ฟิล คิดเองว่าหัวเราเก่งไหม5555 ขณะวันไปเที่ยวแผนกเราไม่ไปเพราะต้องไปเรียน mba หัวหน้าบอกไม่ไปไม่ได้ว่าเรานู้นนี่ เราให้เหตุผลว่าถ้ามี test ย่อ คะแนนเราจะหายไปเลยแล้วถ้าเรา f เราต้องเรียนใหม่เสียค่าหน่วยกิจอีกเท่าไหร่ หัวหน้าเราบอกการเรียนไม่สำคัญกว่าสังคม เราหมดคำพูดเลยแต่ก็ไม่ไป(เที่ยวแผนกเก็บเงินทุกคนเราจ่ายไปแล้วเราก็มีสิทธิ์ไม่ไปได้นิ) จนเราจบ หัวหน้าเรานึกว่า mba = ป.ตรี เค้านึกว่าเราพึ่งจบ ป.ตรี 5555+ โดยเรามารู้ทีหลังว่า หัวหน้าเราจบแค่ ปวช.แต่เข้างานช่วงที่บริษัทกำลังรับคนเพิ่ทแล้วค่อยๆใช้วาทศิลป์ไต่เต้ามา555 ตอนที่แม่เราเป็นมะเร็งเราแจ้งหัวหน้าเรา หัวหน้าเราบอกว่าเป็นแค่ ก้อนซี้ดเปล่า
สมัยนี้หมอไม่ค่อยเก่ง และไม่ให้เราลาพาแม่ไปหาหมอ เราเลยวานลูกพี่ลูกน้องพาไปให้ สุดท้ายไม่รู้ว่าเวรกรรมหรือเปล่าตัวเค้าเองเป็น โรคหัวใจ เค้าเลยโทรมาคุยกะเราเรื่องหมอ เราเลยบอกว่า“พี่ตรวจดีหรือเปล่าอาจเป็นกรดไหลย้อนก็ได้หมอสมัยนี่ไม่ค่อยเก่ง”  นั่นอาจเป็นสาเหตุที่เค้าไม่ชอบเราแต่ถ้ามีงานเพิ่มจะชอบเราเป็นพิเศษ555

เราตั้งสินใจลาออกทันทีโดยเรามาเช็คค่าใช้จ่ายเราในแต่ละเดือนคือ ค่าผ่อนแหวนแต่งงานเดือนละ 3,000 อีก 11 เดือน ในระหว่างที่เรากำลังหางานใหม่เราได้คุยกะรุ่นน้อง mba เราคนนึงลาออกมาเปิดคาเฟ่มันทีประโยคที่เราจำยังวันนี้เลย “เราทำงานให้เค้าได้ขนาดนั้นทำไมเราจะลองทำธุรกิจของเราไม่ได้” นั่นคือจุดเริ่มต้น

เรานำเงินเก็บไปเรียนตัดผมเพิ่มและเปิดร้านในบ้านถึงจะไม่ค่อยมีคนรู้แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีลูกค้า อย่างน้อยค่าเช่ากับค่ากินเราก็ไม่ต้องเสีย ถึงแม้รายได้ในแต่ละเดือนเป็นหลักพันยังไม่แตะหลักหมื่นแต่ทำไมเราถึง หายจากอาการนอนไม่หลับ มีเวลาออกกำลังกาย มีเวลาไปเที่ยวกับแฟนเรา มีเวลาดูแลพ่อกะแม่เรา อีกอย่างเราได้ทำงานของเราเต็มที่ ได้เรียนรู้ทักษะอื่นๆเพิ่ม ลูกค้าเริ่มมีขาประจำ และเราไม่ต้องกลับไปทำงานแบบสังคมประจบ

สุดท้ายนี้เราอยากจะบอกว่า “งานมันไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิตถึงเงินเดือนมันจะเยอะ แต่ถ้าทุกข์เราจะทนกับทุกข์ไปทำไม”

ใช้ชีวิตให้มีความสุขทุกวันพอ
เป็นกำลังให้กับทุกคนที่กำลังสู้
“รู้ไหมจุดต่ำสุดมันดีตรงไหน ตรงที่เหลือทางไปทาฃเดียว คือไต่ขึ้น” เครดิต บัตเตอร์มูน Sing
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่