ประเทศไทยหยุดพัฒนาหลังจากยกเลิกการพัฒนาตามแนวทางของแผนพัฒนาฯฉบับที่ 8

กระทู้สนทนา
คุณพ่อสุขวิช รังสิตพล ได้คิดกระบวนทัศน์ใหม่ในการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์คือ ประเทศไทยต้องเป็นประเทศพัฒนาแล้วในปี2020 หรือ 25 ปีจากปี 1995 

ปี1995 คุณพ่อได้อภิวัฒน์การศึกษาไทย2538 ด้วยแผนแม่บทนโยบายปฏิรูปการศึกษายุคโลกาภิวัฒน์2538:เพื่อเตรียมพร้อมพลเมืองไทยสำหรับศตวรรษที่21

1)เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกทั้งในแง่บวกและลบ การพัฒนาประเทศในยุคโลกาภิวัฒน์ 
จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ในการเตรียมการจัดระเบียบทางเศรษฐกิจและสังคมไทยใหม่ให้เข้มแข็งพร้อมรับสถานการณ์ในอนาคต 
จึงจะสามารถช่วงชิงโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงในประชาคมโลกมาใช้เป็นแรงผลักดันในการพัฒนาประเทศไทยให้สอดคล้องกับพื้นฐานของวัฒนธรรมไทยและตรงกับความต้องการของคนไทย 

2)ทั้งนี้เพื่อให้ประเทศไทยสามารถก้าวไปสู่ความเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วภายในปี 2020 (พ.ศ. 2563) โดยเศรษฐกิจไทยจะมีขนาดเป็นลำดับ 8 ของโลก 
คนไทยมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวไม่ต่ำกว่า 300,000 บาทต่อปี หรือ ประมาณ 12,000เหรียญสหรัฐฯ ซึ่งวัด ณ ระดับราคาปี 2536 
สัดส่วนคนยากจนจะลดลงต่ำกว่าร้อยละ 5 ควบคู่กันไปกับการมีคุณภาพชีวิตดีของประชาชนส่วนใหญ่ ดังรายละเอียดซึ่งทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันกำหนดขึ้นเป็นวิสัยทัศน์สังคมไทยพึงประสงค์ในอีก 25 ปีข้างหน้า ดังนี้

3)ในปี2020 สังคมไทยจะเป็นสังคมซึ่งมีความเป็นปึกแผ่น มีความภูมิใจในความเป็นไทยและดำรงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ มีความมั่นคง สงบสุข สันติกับนานาชาติ 

ประเทศไทยได้รับการยกย่องเป็นประเทศระดับแนวหน้าในประชาคมโลก เป็นสังคมที่คนมีความสุข อยู่ในครอบครัวที่อบอุ่น ชุมชนเข้มแข็ง 
สังคมมีสมรรถภาพ มีเสถียรภาพ มีความเสมอภาค มีความยุติธรรม มีระเบียบวินัย มีความเมตตากรุณา เคารพในสิทธิมนุษยชน มีหลักธรรมของศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวในการดำรงชีวิตของคนไทย

4)ประชาชนทุกคนมีโอกาสพัฒนาศักยภาพของตนเองมากขึ้น ทั้งทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา และมีส่วนร่วมอย่างเต็มภาคภูมิในกระบวนการพัฒนาประเทศ 

เด็กไทยทุกคนจะได้รับการดูแลเอาใจใส่ด้านสุขภาพตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ได้รับสารอาหารครบถ้วนตั้งแต่ปฐมวัย รวมทั้งได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างน้อย 12 ปี และทุกคนมีโอกาสเข้าถึงบริการพื้นฐานทางสังคมที่มีคุณภาพ

5)คนไทยมีขีดความสามารถพร้อมที่จะปรับตัวเพื่อรับกับกระแสการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเกิดจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในระดับที่สามารถแข่งขันกับนานาชาติได้ 

คนไทยวัยหนุ่มสาวได้รับการศึกษาในระดับอุดมศึกษาไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของคนในกลุ่มอายุ 18 - 24 ปี 
กลุ่มคนผู้ขาดโอกาสในสังคมได้รับบริการทางการศึกษาและการมีงานทำอย่างทั่วถึงถ้วนหน้า 

คนไทยจะมีคุณภาพ มีความรู้ความสามารถ รู้จักตัวเอง รู้เท่าทันโลก และมีศักยภาพที่จะปรับตัวเองอยู่ในสังคมได้อย่างมีคุณค่าตลอดทุกช่วงวัยของชีวิต

6)เศรษฐกิจตั้งอยู่บนรากฐานของความสร้างสรรค์ ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสำคัญในภูมิภาค 
ทั้งในด้านการผลิต การคมนาคม การเงิน การท่องเที่ยว และบริการ มีระบบการค้าขายแบบเสรีที่มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม 

ทันโลกทางด้านเทคโนโลยี และนำโลกในมิติที่ประเทศไทยมีความเป็นเลิศ 

มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ โดยมีความสมดุลกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 

รวมทั้งเป็นฐานการจ้างงานและสร้างโอกาสในการกระจายรายได้อย่างเป็นธรรมทั่วหน้าทุกกลุ่มประชาชนทุกพื้นที่

7)ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในภูมิภาคและชนบทไม่แตกต่างจากคนในเมืองหลวง
 
คือได้รับบริการโครงสร้างพื้นฐานและบริการพื้นฐานทางสังคมซึ่งจำเป็นอย่างมีคุณภาพและทั่วถึง 

มีหลักประกันด้านสุขภาพอนามัย สามารถติดต่อสื่อสารกันได้อย่างสะดวกด้วยเครือข่ายระบบโทรคมนาคมและขนส่งซึ่งครอบคลุมทุกพื้นที่ อย่างเท่าเทียมทั่วถึง ทั่วประเทศไทย

มีโอกาสและทางเลือกในการประกอบอาชีพได้อย่างเสรี และใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

8)ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับการดูแลรักษา บริหารจัดการอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพของคนในปี 2538/1995
เพื่อเป็นฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืนแก่คนรุ่นหลัง(2563/2020) คนไทยมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น มีเมืองและชุมชนน่าอยู่อาศัย มีความปลอด ภัย และเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งชาติ

9)มีระบบการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ โดยมีองค์พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 
มีภาคราชการที่มีประสิทธิภาพ มีนักการเมืองและข้าราชการที่มีคุณธรรม จริยธรรม มีความรู้ความสามารถสูง ยึดผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นหลักเป็นที่พึ่งและสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง

บันทึกโดย
ลูกสาว คุณพ่อสุขวิช รังสิตพล
พันโทหญิง ฐิฏา รังสิตพล มานิตกุล - ผู้พันปราง
ผู้หญิงคนแรกในรอบ 77 ปี 
ผู้กล้าท้าชิงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนที่ 9 
โฆษกกระทรวงกลาโหมคนแรก
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งแต่ปี 2545
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่