อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์
โดย : ละเว้
บทที่๑๙ บินเดี่ยว
อย่างที่บอกว่าพักหลังผมได้ไปแขมร์บ่อยขึ้น แต่ยังคงต้องอ้อมไปเข้าทางด่านชายแดนจันทบุรี (ทั้งที่อยู่ติดชายแดนเหมือนกัน) ซึ่งทุกครั้งที่ไปนั้นส่วนใหญ่จะไปกันเป็นกลุ่มเสียมากกว่า มีไปฅนเดียวบ้างแต่เพื่อนยังต้องมารับที่ชายแดนทุกครั้งอยู่ดี
แต่ไม่ว่าอย่างไรผมก็ได้บินเดี่ยวเข้าแขมร์แต่ผู้เดียวจนได้ และไม่ได้ไปแค่จ็อมการ์ละมุตหรือ บัตด็อมบองเพียงเท่านั้นนะครับ หากผมบินไกลไปถึง ‘นครวัด’ หรือ ‘อ็องกอร์ว็อต’ (អង្គរវត្ត) แห่ง ‘เสียมราฐ’ หรือ ‘เซียมเรียบ’ (សៀមរាប) เลยนั่นแหละ การเดินทางต่างแดนฅนเดียว ขณะที่ภาษาก็ใช่ว่าจะใช้ได้คล่องสักเท่าไรนั้น ความรู้สึกต่อประสบการณ์ที่ได้สัมผัสย่อมแตกต่างจากที่ผ่านมาแน่นอนครับ
..
ใกล้สงกรานต์เมื่อหลายปีก่อนผมอยากไปเที่ยวแขมร์อีกแล้ว คราวนี้ไม่มีใครไปด้วย ซึ่งไม่เป็นไร เพราะผมสามารถโทรศัพท์ให้เพื่อนมารับที่ด่านชายแดนได้อย่างที่บอก แต่กลับไม่ใช่อย่างที่คิด ครั้งนี้เพื่อนดันบอกว่าไม่สามารถมารับได้เพราะติดธุระเสียอีก เอาไงดีล่ะ ความดันทุรังมีพอตัว ไปก็ไปวะ รั้งไม่อยู่แล้ว ผมบอกตัวเองแล้วเก็บข้าวของข้ามแดนทันที แน่นอนว่าอดตื่นเต้นไม่ได้ จะถูกหลอกไหมนะ ไอ้ที่กลัวก็ตรงรถโดยสารนี่แหละ เพราะเป็นจุดที่เราจะได้ข่าวบ่อยครั้งถึงการต้มตุ๋นนักท่องเที่ยวในแต่ละประเทศ ของไทยนี่ลูกเล่นสารพัด เมืองแขมร์ผมไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรเหมือนกัน
รถมอเตอร์ไซค์รับจ้างร้องเรียกตั้งแต่ยังอยู่ที่ด่านตรวจฅนเข้าเมืองนั่นแล้ว แต่ผมไม่สนใจหรอก เดินข้ามแดนแค่นี้สบายมาก หลังจากสะพายกระเป๋าข้ามสะพานที่แบ่งแยกสองแผ่นดิน ไปประทับตราพาสปอร์ตยังด่านตรวจฅนเข้าเมืองฝั่งแขมร์แล้ว มอเตอร์ไซค์รับจ้างยังมาจอดดักหน้าขณะออกมาจากด่านกันอีก เอาวะ ได้เวลาใช้บริการบ้างแล้ว ด้วยทุกครั้งที่มานั้นจะมีฅนฝั่งนี้จัดรถมาคอยรับเสียทุกครั้งจึงไม่รู้ว่าท่ารถอยู่ตรงไหนนั่นแหละ
ยี่สิบบาทคือค่าโดยสารที่พาผมมาส่งในระยะทางไม่น่าเกินสิบเมตร ไม่เป็นไรซื้อประสบการณ์ คราวหลังอย่างหวังว่าจะได้แอ้ม
.
กระเป๋าเป็นอีกสิ่งที่ต้องระวัง เมื่อมาถึงท่ารถโดยสาร ตอบคำถามว่าจะไปไหนแล้ว ฅนขับให้เอากระเป๋าไปเก็บท้ายรถ ยังต้องรอจนกว่าจะมีผู้โดยสารตามจำนวน ซึ่งใกล้สงกรานต์แบบนี้อาจไม่ต้องรอกันนานสักเท่าไร ฅนขับรถยังบอกให้ไปหาอะไรกินก่อนได้ ซึ่งจะไปหรือก็ห่วงกระเป๋านั่นแหละ กลัวรถออกแล้วมาไม่ทันด้วย ความที่ยังไม่คล่องเรื่องภาษาหากเกิดอะไรขึ้นคงสื่อสารกันลำบากแน่นอน แต่ก็ตัดสินใจไปหาก๋วยเตี๋ยวกินในที่สุด เพราะเดินทางตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินอะไรมาเหมือนกัน
ระหว่างนั่งกินก๋วยเตี๋ยวไปตาก็คอยมองท้ายรถคันนั้นไป เมื่ออิ่มแล้วก็ออกมานั่งรอ ยังไม่มีผู้โดยสารมากันเลย ก็นั่งรอไป แล้วจู่ ๆ ฅนขับก็เข้าประจำที่สตาร์ตเครื่องขับรถข้ามทาง แล่นเลี้ยวเข้าซอยข้างคาสิโนหายไปเสียอย่างนั้น
คงไปรับผู้โดยสารกระมัง ผมพยายามปลอบใจตัวเอง สักพักก็ยังเงียบ จึงตัดสินใจถามพวกเขาดู ซึ่งก็ต้องใช้มือไม้ประกอบท่าทางและเดาคำพูดไปด้วยนั่นแหละ
“คันนั้นไม่ได้ไปแล้ว เดี๋ยวไปคันนี้” ผมแปลคำพูดเขาได้ประมาณนั้น เขาพูดพลางชี้ไปยังรถอีกคันซึ่งจอดอยู่ อ้าว แล้วกระเป๋าผมล่ะ
“เอาไปไว้ที่รถคันนั้นแล้ว” เขาตอบเมื่อผมถาม ผมนิ่งไปหนึ่งวินาที ขนาดคอยมองตลอดนะ ยังไม่รู้เลยว่ามันถูกโยกย้ายตั้งแต่เมื่อไร ให้มันได้อย่างนี้สิ แฮ่
.
สักพักก็เริ่มมีผู้โดยสารทยอยมากัน ผมมองหาเพื่อนคุยแล้วเพื่อความอุ่นใจ แม้ภาษาจะได้แค่งูงูปลาปลาอย่างที่บอกก็เถอะนะ
เธอมากับลูกชายสองฅน ฅนโตน่าจะสักสิบขวบหรือสิบเอ็ดขวบ ท่าทางเป็นเด็กฉลาดทีเดียว ส่วนเจ้าฅนเล็กยังเพิ่งจะอ้อแอ้อยู่ และดูท่าว่าเธอจะเป็นคนชอบพูดชอบคุยอยู่เหมือนกัน ที่สำคัญคือผมเดาได้ว่าเธอเพิ่งมาจากเมืองไทย ต้องเป็นแรงงานแขมร์ที่เดินทางกลับบ้านช่วงสงกรานต์แน่นอน แบบนี้เหมาะทีเดียว เพราะอย่างน้อยเธอก็ต้องพูดไทยได้บ้าง ซึ่งผมจะได้ถือโอกาสซักถามเรื่องการเดินทางด้วยเลย
“มาจากเมืองไทยหรือครับ ผมก็มาจากไทยนะ”
“อ๋อ จังหวัดตราดครับคุณเคยไปไหม...”
ผมเริ่มด้วยคำทักทายพื้นๆ ที่ไม่ต่างจากการแนะนำตัวในธรรมเนียมฝรั่งนัก แล้วเราก็นั่งคุยกันไป ซึ่งก็ใช้ทั้งสองภาษาไม่ว่าจะไทยหรือแขมร์นั่นแหละ โดยส่วนมากจะเป็นเธอที่มักตอบเป็นภาษาแขมร์เมื่อผมถามเป็นภาษาไทย และผมจะตอบเป็นภาษาไทยทั้งที่เธอถามเป็นภาษาแขมร์เช่นกัน
เรียกได้ว่าเรานั่งคุยกันโดยส่วนใหญ่จะใช้ฅนละภาษา ก็พูดคุยกันไปแบบนั้นโดยไม่ได้คิดอะไร กระทั่งจังหวะหนึ่งเธอก็เอ่ยถามขึ้นมา
“ไปอยู่ไทยนานหรือยังพูดแขมร์ไม่ค่อยรู้เรื่องแล้วนี่”
ขำสิครับ แต่ก็ไม่ได้แปลกใจสักเท่าไรหรอก เพราะบางทีผมอาจจะคลุกคลีอยู่กับฅนแขมร์เมืองแขมร์มากไปหน่อยจนดูคล้ายขแมร์เสียยิ่งกว่าแขมร์จริง ๆ นั่นแหละ ซึ่งตรงนี้ก็อธิบายกันไป
หลังจากนั้นเธอก็เล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ผมฟังมากขึ้น โดยเราจะใช้ภาษาไทยกันแล้วตอนนี้ เธอเล่าว่าเธอกับสามีอยู่พนมเปญ และได้ไปทำงานก่อสร้างที่จังหวัดระยอง วันนี้เธอกลับไปเยี่ยมบ้านฅนเดียวสามีไม่ได้มาด้วย
ได้เวลารถโดยสารออกเดินทางแล้วแต่เรายังนั่งคุยกันมาตลอด ในขณะที่ผู้โดยสารอื่นต่างเงียบกริบ ก็ไม่รู้ว่าจะรำคาญเราสองฅนหรือเปล่าที่พูดภาษาซึ่งเขาอาจไม่เข้าใจ แต่นั่นแหละ เราไม่ได้สนใจตรงนี้กันหรอก
เธอยังคงเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ผมฟัง พูดถึงลูกชายบอกว่าเขาสิบสองขวบแล้วแต่ตัวเล็กไปหน่อย ผมเหลือบมองไอ้หนูที่กำลังจับจ้องการสนทนาของเราเหมือนอยากมีส่วนร่วม อืม ตัวเล็กจริง ๆ นั่นแหละ เธอบอกอีกว่าลูกชายได้เรียนโรงเรียนไทยด้วย แถมเรียนเก่งและขยันทีเดียว ผมหันมองลูกชายของเธออีกครั้ง อดกระเซ้าแกไม่ได้ว่า
‘อย่างนั้นก็อยู่เมืองไทยหาเมียไทยเลยสิ’
แม่ของแกกลับชิงตอบแทนว่า
‘ไม่เอาหรอก ผู้หญิงไทยชอบเที่ยว ชอบมีกิ๊กด้วย...’
ในขณะที่ผู้เป็นแม่กำลังร่ายยาวอยู่นั้น ไอ้หนูก็ทำปากเบ้สวนอ่อย ๆ ออกมาพอได้ยินว่า...
“แม่ไม่เอาก็เรื่องของแม่สิ”
ผมอดยิ้มออกมาไม่ได้ ไอ้หนูนี่ก็คงจะอยู่ไทยนานจนกลายเป็นเด็กไทยไปหมดแล้วเหมือนกันสินะ
.
ในที่สุดผมก็มาถึงจ็อมการ์ละมุดได้โดยสวัสดิภาพ ซึ่งครั้งนี้ผมมีเสื้อลายดอกมาฝากเด็ก ๆ ที่นี่ด้วย หวังให้พวกเขาได้ใส่ฉลองสงกรานต์กัน (ส่วนตัวผมต้องกลับก่อนถึงวันฉลอง) ผิดคาดนิดหน่อย ไม่มีเด็กฅนไหนสนใจเลย เพื่อนผมบอกว่ามันไม่เคยเห็นใครใส่เสื้อแบบนี้มันไม่กล้าใส่กันหรอก เป็นอย่างนั้นไป
ต่อมาจึงได้ข่าวว่าฅนแขมร์นิยมใส่เสื้อลายดอกวันสงกรานต์จนต้องมีการออกมาต่อต้านว่าอย่าใส่เสื้อไทย
.
หลังจากอยู่ที่จ็อมการ์ละมุดได้สองวัน ความคิดหนึ่งก็แว่บเข้ามาในหัว เอ๊ะ หากเราสามารถมาถึงนี่ฅนเดียวได้ เราก็น่าจะไปที่อื่นหรือที่ไหนในเมืองแขมร์นี้ได้เช่นกันสินะ และที่ไหนที่ว่านี่ก็น่าจะรวมถึงนครวัดหรืออ็องกอร์ว็อตด้วย
ไวพอ ๆ กับความคิด ผมหันไปถามเพื่อนเรื่องการเดินทางและราคาที่พักเพื่อคำนวณเงินที่ยังพอมีในกระเป๋าทันที ในเวลาไม่นานผมก็ตัดสินใจไปสัมผัสอ็องกอร์ว็อตที่ว่านี่ดูสักครั้ง เรื่องเที่ยวไม่ต้องคิดมาก ไปกันเลยดีกว่า
.
เพื่อนพาผมมายังท่ารถบริเวณหน้าตลาดสะเดา ซึ่งผมจะต้องนั่งรถไปลงที่ตัวจังหวัดบัตด็อมบองแล้วค่อยหารถต่อไปเซียมเรียบอีกที เพื่อนพูดคุยกับฅนขับฝากฝังผมไปด้วย ในที่สุดฅนขับรถเลยยื่นข้อเสนอให้จ่ายค่ารถกับเขาเลยร้อยบาท โดยราคานี้ผมสามารถไปถึงนครวัดได้เลย ซึ่งเมื่อไปถึงบัตด็อมบองเขาจะฝากผมไปกับรถโดยสารที่นั่นอีกที ตรงนี้ผมไม่ต้องจ่ายเพิ่มแต่อย่างใด ซึ่งนับว่าถูกมาก เพราะตามปกติหากต้องไปต่อรถที่บัตด็อมบองเองนั้นผมจะต้องจ่ายค่าโดยสารตลอดระยะทางมากกว่านี้แน่นอน
ผมตกลงตามข้อเสนอนั้น เมื่อถึงบัตด็อมบองจึงได้นั่งรถสู่เซียมเรียบตามที่ได้ตกลงกันไว้
ความรู้สึกถึงความอ้างว้างนั้นมีบ้างเมื่อต้องเดินทางต่างแดนโดยลำพัง แต่ไม่เท่าไรหรอก เพราะผู้ฅนที่นี่ค่อนข้างเป็นมิตรทีเดียว ยิ่งลุงที่ฅนนั่งข้างผมนั้น พอรู้ว่าเป็นฅนไทยแกก็พยายามชวนคุยอยู่เหมือนกัน ซึ่งก็ไม่ได้คุยอะไรกันมากนักหรอกเพราะแกพูดไทยไม่ได้เลย ซึ่งผมคงได้แต่คอยตอบคำถามมากกว่า เพราะหากต้องใช้ภาษาขแมร์บางครั้งผมก็ไม่ถนัดเป็นฝ่ายเริ่มอยู่เหมือนกัน
เมื่อออกจากบัตด็อมบองมาสองข้างทางส่วนใหญ่จะมีแต่ทุ่งนาราบเรียบว่างเปล่าสุดหูสุดตา เป็นเส้นทางที่ดูแห้งแล้งกันดารและยาวไกลในความรู้สึกของผมเสียเหลือเกิน
(บันเตียเมียนเจ็ย ถ่ายขณะรถวิ่งผ่าน)
ผ่านจังหวัดบันเตียเมียนเจ็ยออกมาแล้วก็ยังอีกนานทีเดียวกว่าจะเข้าสู่เซียมเรียบ ผู้โดยสารค่อย ๆ ทยอยลงทีละฅน และทั้งคันรถก็เหลือแต่ผมฅนเดียวในที่สุด ตื่นเต้นแบบวังเวงพิกลแล้วครับตอนนี้
.
ณ ที่ซึ่งห่างไกลจากชุมชนพอดู เลยสนามหญ้าริมทางออกไปคืออาคารซึ่งมองคล้ายสถานที่ราชการ ฝั่งตรงข้ามและโดยรอบล้วนเป็นพื้นที่ว่างเปล่า บ้านเรือนที่มีอยู่ห่างออกไปแทบทั้งหมด มีมอเตอร์ไซค์รับจ้างจอดอยู่สองสามคันตรงลานหน้าสนามหญ้า ฅนขับรถพาผมไปส่งตรงนั้น บอกว่าต้องลงแล้ว จากนั้นเรียกฅนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างฅนหนึ่งเข้ามา
มันเป็นการมัดมือชกชัด ๆ เลย ผมคงทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องใช้บริการจากมอเตอร์ไซค์รับจ้างคันนี้แน่นอน ตอนแรกผมคิดว่าเขาจะส่งผมลงในย่านชุมชนตรงไหนสักแห่ง ซึ่งผมกะว่าจะเดินหาที่พักก่อนแล้วค่อยหารถไปอ็องกอร์ว็อตอีกที แต่เจอแบบนี้ก็คงไม่มีทางเลือกอย่างที่บอก
“ไปไหนครับ” ฅนขับมอเตอร์ไซค์ถามผมด้วยภาษาขแมร์เพราะพูดไทยไม่ได้
“อังกอร์วัด” ผมตอบไป แม้จะไม่ชัดนักแต่คำนี้เขาคงคาดเดาไว้แล้วจึงไม่มีปัญหาอะไร สำหรับผมนั้นเพราะไม่มีทางเลือกอย่างที่บอก จึงคิดว่าไปอ็องกอร์ว็อตก่อนแล้วค่อยกลับมาหาที่พักจะดีกว่า แต่คำถามที่เขาถามกลับมานี่สิ
“ใหญ่หรือเล็กครับ”
เฮ้ย! นครวัดมันมีใหญ่มีเล็กด้วยหรือวะ ความมึนงงเกาะหนึบติดหัวทันทีกับคำถามนั้น ตกลงมันมีกี่แห่งกันล่ะนี่ ครั้นจะสอบถามก็คงยากจะเข้าใจกันได้ ยังไม่คล่องเรื่องภาษาอย่างที่บอกนั่นแหละ
“ใหญ่” ผมตอบหลังจากอึ้งไปชั่วขณะ ใหญ่มันก็ต้องดีกว่าเล็กอยู่แล้ว ครับ นั่นเป็นตรรกะของผมที่ไม่ควรนำไปใช้อย่างที่สุด
“ค่าโดยสารเท่าไรครับ” ผมถามราคาขณะเขาพยักหน้ารับ ทั้งที่ไม่ว่าเขาจะเรียกแค่ไหนก็ต้องยอมจ่ายอยู่แล้ว เพราะไม่มีทั้งทางเลือกและข้อมูลอะไรเลย แต่ก็ต้องทำเป็นหัวหมอเรื่องมากไว้ก่อนนั่นแหละ แฮ่
เขาเรียกสองร้อยซึ่งผมคงต้องยอมอย่างที่บอก ถูกหรือแพงอย่าไปคิดมัน
เมื่อเราตกลงราคากันได้ ฅนขับรถโดยสารที่พาผมมาก็ยกมือชี้หน้าฅนขับมอเตอร์ไซค์ เป็นสัญญาณที่พอแปลได้ว่า ‘เฮ้ย เอ็งเป็นหนี้ข้าอยู่นะเว้ย’ ก่อนหันหลังขึ้นรถขับออกไป
เออ เรื่องของพวกเอ็งกันเถอะ
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
หมายเหตุ : รูปภาพทุกภาพของผมมันถูกเฟซบุ๊กลดคุณภาพไปหมดและภาพต้นฉบับก็ไม่เหลือแล้วจึงได้เท่าที่เห็นนะครับ
อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์ (ตอนที่๑๙)
โดย : ละเว้
บทที่๑๙ บินเดี่ยว
อย่างที่บอกว่าพักหลังผมได้ไปแขมร์บ่อยขึ้น แต่ยังคงต้องอ้อมไปเข้าทางด่านชายแดนจันทบุรี (ทั้งที่อยู่ติดชายแดนเหมือนกัน) ซึ่งทุกครั้งที่ไปนั้นส่วนใหญ่จะไปกันเป็นกลุ่มเสียมากกว่า มีไปฅนเดียวบ้างแต่เพื่อนยังต้องมารับที่ชายแดนทุกครั้งอยู่ดี
แต่ไม่ว่าอย่างไรผมก็ได้บินเดี่ยวเข้าแขมร์แต่ผู้เดียวจนได้ และไม่ได้ไปแค่จ็อมการ์ละมุตหรือ บัตด็อมบองเพียงเท่านั้นนะครับ หากผมบินไกลไปถึง ‘นครวัด’ หรือ ‘อ็องกอร์ว็อต’ (អង្គរវត្ត) แห่ง ‘เสียมราฐ’ หรือ ‘เซียมเรียบ’ (សៀមរាប) เลยนั่นแหละ การเดินทางต่างแดนฅนเดียว ขณะที่ภาษาก็ใช่ว่าจะใช้ได้คล่องสักเท่าไรนั้น ความรู้สึกต่อประสบการณ์ที่ได้สัมผัสย่อมแตกต่างจากที่ผ่านมาแน่นอนครับ
..
ใกล้สงกรานต์เมื่อหลายปีก่อนผมอยากไปเที่ยวแขมร์อีกแล้ว คราวนี้ไม่มีใครไปด้วย ซึ่งไม่เป็นไร เพราะผมสามารถโทรศัพท์ให้เพื่อนมารับที่ด่านชายแดนได้อย่างที่บอก แต่กลับไม่ใช่อย่างที่คิด ครั้งนี้เพื่อนดันบอกว่าไม่สามารถมารับได้เพราะติดธุระเสียอีก เอาไงดีล่ะ ความดันทุรังมีพอตัว ไปก็ไปวะ รั้งไม่อยู่แล้ว ผมบอกตัวเองแล้วเก็บข้าวของข้ามแดนทันที แน่นอนว่าอดตื่นเต้นไม่ได้ จะถูกหลอกไหมนะ ไอ้ที่กลัวก็ตรงรถโดยสารนี่แหละ เพราะเป็นจุดที่เราจะได้ข่าวบ่อยครั้งถึงการต้มตุ๋นนักท่องเที่ยวในแต่ละประเทศ ของไทยนี่ลูกเล่นสารพัด เมืองแขมร์ผมไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรเหมือนกัน
รถมอเตอร์ไซค์รับจ้างร้องเรียกตั้งแต่ยังอยู่ที่ด่านตรวจฅนเข้าเมืองนั่นแล้ว แต่ผมไม่สนใจหรอก เดินข้ามแดนแค่นี้สบายมาก หลังจากสะพายกระเป๋าข้ามสะพานที่แบ่งแยกสองแผ่นดิน ไปประทับตราพาสปอร์ตยังด่านตรวจฅนเข้าเมืองฝั่งแขมร์แล้ว มอเตอร์ไซค์รับจ้างยังมาจอดดักหน้าขณะออกมาจากด่านกันอีก เอาวะ ได้เวลาใช้บริการบ้างแล้ว ด้วยทุกครั้งที่มานั้นจะมีฅนฝั่งนี้จัดรถมาคอยรับเสียทุกครั้งจึงไม่รู้ว่าท่ารถอยู่ตรงไหนนั่นแหละ
ยี่สิบบาทคือค่าโดยสารที่พาผมมาส่งในระยะทางไม่น่าเกินสิบเมตร ไม่เป็นไรซื้อประสบการณ์ คราวหลังอย่างหวังว่าจะได้แอ้ม
.
กระเป๋าเป็นอีกสิ่งที่ต้องระวัง เมื่อมาถึงท่ารถโดยสาร ตอบคำถามว่าจะไปไหนแล้ว ฅนขับให้เอากระเป๋าไปเก็บท้ายรถ ยังต้องรอจนกว่าจะมีผู้โดยสารตามจำนวน ซึ่งใกล้สงกรานต์แบบนี้อาจไม่ต้องรอกันนานสักเท่าไร ฅนขับรถยังบอกให้ไปหาอะไรกินก่อนได้ ซึ่งจะไปหรือก็ห่วงกระเป๋านั่นแหละ กลัวรถออกแล้วมาไม่ทันด้วย ความที่ยังไม่คล่องเรื่องภาษาหากเกิดอะไรขึ้นคงสื่อสารกันลำบากแน่นอน แต่ก็ตัดสินใจไปหาก๋วยเตี๋ยวกินในที่สุด เพราะเดินทางตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินอะไรมาเหมือนกัน
ระหว่างนั่งกินก๋วยเตี๋ยวไปตาก็คอยมองท้ายรถคันนั้นไป เมื่ออิ่มแล้วก็ออกมานั่งรอ ยังไม่มีผู้โดยสารมากันเลย ก็นั่งรอไป แล้วจู่ ๆ ฅนขับก็เข้าประจำที่สตาร์ตเครื่องขับรถข้ามทาง แล่นเลี้ยวเข้าซอยข้างคาสิโนหายไปเสียอย่างนั้น
คงไปรับผู้โดยสารกระมัง ผมพยายามปลอบใจตัวเอง สักพักก็ยังเงียบ จึงตัดสินใจถามพวกเขาดู ซึ่งก็ต้องใช้มือไม้ประกอบท่าทางและเดาคำพูดไปด้วยนั่นแหละ
“คันนั้นไม่ได้ไปแล้ว เดี๋ยวไปคันนี้” ผมแปลคำพูดเขาได้ประมาณนั้น เขาพูดพลางชี้ไปยังรถอีกคันซึ่งจอดอยู่ อ้าว แล้วกระเป๋าผมล่ะ
“เอาไปไว้ที่รถคันนั้นแล้ว” เขาตอบเมื่อผมถาม ผมนิ่งไปหนึ่งวินาที ขนาดคอยมองตลอดนะ ยังไม่รู้เลยว่ามันถูกโยกย้ายตั้งแต่เมื่อไร ให้มันได้อย่างนี้สิ แฮ่
.
สักพักก็เริ่มมีผู้โดยสารทยอยมากัน ผมมองหาเพื่อนคุยแล้วเพื่อความอุ่นใจ แม้ภาษาจะได้แค่งูงูปลาปลาอย่างที่บอกก็เถอะนะ
เธอมากับลูกชายสองฅน ฅนโตน่าจะสักสิบขวบหรือสิบเอ็ดขวบ ท่าทางเป็นเด็กฉลาดทีเดียว ส่วนเจ้าฅนเล็กยังเพิ่งจะอ้อแอ้อยู่ และดูท่าว่าเธอจะเป็นคนชอบพูดชอบคุยอยู่เหมือนกัน ที่สำคัญคือผมเดาได้ว่าเธอเพิ่งมาจากเมืองไทย ต้องเป็นแรงงานแขมร์ที่เดินทางกลับบ้านช่วงสงกรานต์แน่นอน แบบนี้เหมาะทีเดียว เพราะอย่างน้อยเธอก็ต้องพูดไทยได้บ้าง ซึ่งผมจะได้ถือโอกาสซักถามเรื่องการเดินทางด้วยเลย
“มาจากเมืองไทยหรือครับ ผมก็มาจากไทยนะ”
“อ๋อ จังหวัดตราดครับคุณเคยไปไหม...”
ผมเริ่มด้วยคำทักทายพื้นๆ ที่ไม่ต่างจากการแนะนำตัวในธรรมเนียมฝรั่งนัก แล้วเราก็นั่งคุยกันไป ซึ่งก็ใช้ทั้งสองภาษาไม่ว่าจะไทยหรือแขมร์นั่นแหละ โดยส่วนมากจะเป็นเธอที่มักตอบเป็นภาษาแขมร์เมื่อผมถามเป็นภาษาไทย และผมจะตอบเป็นภาษาไทยทั้งที่เธอถามเป็นภาษาแขมร์เช่นกัน
เรียกได้ว่าเรานั่งคุยกันโดยส่วนใหญ่จะใช้ฅนละภาษา ก็พูดคุยกันไปแบบนั้นโดยไม่ได้คิดอะไร กระทั่งจังหวะหนึ่งเธอก็เอ่ยถามขึ้นมา
“ไปอยู่ไทยนานหรือยังพูดแขมร์ไม่ค่อยรู้เรื่องแล้วนี่”
ขำสิครับ แต่ก็ไม่ได้แปลกใจสักเท่าไรหรอก เพราะบางทีผมอาจจะคลุกคลีอยู่กับฅนแขมร์เมืองแขมร์มากไปหน่อยจนดูคล้ายขแมร์เสียยิ่งกว่าแขมร์จริง ๆ นั่นแหละ ซึ่งตรงนี้ก็อธิบายกันไป
หลังจากนั้นเธอก็เล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ผมฟังมากขึ้น โดยเราจะใช้ภาษาไทยกันแล้วตอนนี้ เธอเล่าว่าเธอกับสามีอยู่พนมเปญ และได้ไปทำงานก่อสร้างที่จังหวัดระยอง วันนี้เธอกลับไปเยี่ยมบ้านฅนเดียวสามีไม่ได้มาด้วย
ได้เวลารถโดยสารออกเดินทางแล้วแต่เรายังนั่งคุยกันมาตลอด ในขณะที่ผู้โดยสารอื่นต่างเงียบกริบ ก็ไม่รู้ว่าจะรำคาญเราสองฅนหรือเปล่าที่พูดภาษาซึ่งเขาอาจไม่เข้าใจ แต่นั่นแหละ เราไม่ได้สนใจตรงนี้กันหรอก
เธอยังคงเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ผมฟัง พูดถึงลูกชายบอกว่าเขาสิบสองขวบแล้วแต่ตัวเล็กไปหน่อย ผมเหลือบมองไอ้หนูที่กำลังจับจ้องการสนทนาของเราเหมือนอยากมีส่วนร่วม อืม ตัวเล็กจริง ๆ นั่นแหละ เธอบอกอีกว่าลูกชายได้เรียนโรงเรียนไทยด้วย แถมเรียนเก่งและขยันทีเดียว ผมหันมองลูกชายของเธออีกครั้ง อดกระเซ้าแกไม่ได้ว่า
‘อย่างนั้นก็อยู่เมืองไทยหาเมียไทยเลยสิ’
แม่ของแกกลับชิงตอบแทนว่า
‘ไม่เอาหรอก ผู้หญิงไทยชอบเที่ยว ชอบมีกิ๊กด้วย...’
ในขณะที่ผู้เป็นแม่กำลังร่ายยาวอยู่นั้น ไอ้หนูก็ทำปากเบ้สวนอ่อย ๆ ออกมาพอได้ยินว่า...
“แม่ไม่เอาก็เรื่องของแม่สิ”
ผมอดยิ้มออกมาไม่ได้ ไอ้หนูนี่ก็คงจะอยู่ไทยนานจนกลายเป็นเด็กไทยไปหมดแล้วเหมือนกันสินะ
.
ในที่สุดผมก็มาถึงจ็อมการ์ละมุดได้โดยสวัสดิภาพ ซึ่งครั้งนี้ผมมีเสื้อลายดอกมาฝากเด็ก ๆ ที่นี่ด้วย หวังให้พวกเขาได้ใส่ฉลองสงกรานต์กัน (ส่วนตัวผมต้องกลับก่อนถึงวันฉลอง) ผิดคาดนิดหน่อย ไม่มีเด็กฅนไหนสนใจเลย เพื่อนผมบอกว่ามันไม่เคยเห็นใครใส่เสื้อแบบนี้มันไม่กล้าใส่กันหรอก เป็นอย่างนั้นไป
ต่อมาจึงได้ข่าวว่าฅนแขมร์นิยมใส่เสื้อลายดอกวันสงกรานต์จนต้องมีการออกมาต่อต้านว่าอย่าใส่เสื้อไทย
.
หลังจากอยู่ที่จ็อมการ์ละมุดได้สองวัน ความคิดหนึ่งก็แว่บเข้ามาในหัว เอ๊ะ หากเราสามารถมาถึงนี่ฅนเดียวได้ เราก็น่าจะไปที่อื่นหรือที่ไหนในเมืองแขมร์นี้ได้เช่นกันสินะ และที่ไหนที่ว่านี่ก็น่าจะรวมถึงนครวัดหรืออ็องกอร์ว็อตด้วย
ไวพอ ๆ กับความคิด ผมหันไปถามเพื่อนเรื่องการเดินทางและราคาที่พักเพื่อคำนวณเงินที่ยังพอมีในกระเป๋าทันที ในเวลาไม่นานผมก็ตัดสินใจไปสัมผัสอ็องกอร์ว็อตที่ว่านี่ดูสักครั้ง เรื่องเที่ยวไม่ต้องคิดมาก ไปกันเลยดีกว่า
.
เพื่อนพาผมมายังท่ารถบริเวณหน้าตลาดสะเดา ซึ่งผมจะต้องนั่งรถไปลงที่ตัวจังหวัดบัตด็อมบองแล้วค่อยหารถต่อไปเซียมเรียบอีกที เพื่อนพูดคุยกับฅนขับฝากฝังผมไปด้วย ในที่สุดฅนขับรถเลยยื่นข้อเสนอให้จ่ายค่ารถกับเขาเลยร้อยบาท โดยราคานี้ผมสามารถไปถึงนครวัดได้เลย ซึ่งเมื่อไปถึงบัตด็อมบองเขาจะฝากผมไปกับรถโดยสารที่นั่นอีกที ตรงนี้ผมไม่ต้องจ่ายเพิ่มแต่อย่างใด ซึ่งนับว่าถูกมาก เพราะตามปกติหากต้องไปต่อรถที่บัตด็อมบองเองนั้นผมจะต้องจ่ายค่าโดยสารตลอดระยะทางมากกว่านี้แน่นอน
ผมตกลงตามข้อเสนอนั้น เมื่อถึงบัตด็อมบองจึงได้นั่งรถสู่เซียมเรียบตามที่ได้ตกลงกันไว้
ความรู้สึกถึงความอ้างว้างนั้นมีบ้างเมื่อต้องเดินทางต่างแดนโดยลำพัง แต่ไม่เท่าไรหรอก เพราะผู้ฅนที่นี่ค่อนข้างเป็นมิตรทีเดียว ยิ่งลุงที่ฅนนั่งข้างผมนั้น พอรู้ว่าเป็นฅนไทยแกก็พยายามชวนคุยอยู่เหมือนกัน ซึ่งก็ไม่ได้คุยอะไรกันมากนักหรอกเพราะแกพูดไทยไม่ได้เลย ซึ่งผมคงได้แต่คอยตอบคำถามมากกว่า เพราะหากต้องใช้ภาษาขแมร์บางครั้งผมก็ไม่ถนัดเป็นฝ่ายเริ่มอยู่เหมือนกัน
เมื่อออกจากบัตด็อมบองมาสองข้างทางส่วนใหญ่จะมีแต่ทุ่งนาราบเรียบว่างเปล่าสุดหูสุดตา เป็นเส้นทางที่ดูแห้งแล้งกันดารและยาวไกลในความรู้สึกของผมเสียเหลือเกิน
(บันเตียเมียนเจ็ย ถ่ายขณะรถวิ่งผ่าน)
ผ่านจังหวัดบันเตียเมียนเจ็ยออกมาแล้วก็ยังอีกนานทีเดียวกว่าจะเข้าสู่เซียมเรียบ ผู้โดยสารค่อย ๆ ทยอยลงทีละฅน และทั้งคันรถก็เหลือแต่ผมฅนเดียวในที่สุด ตื่นเต้นแบบวังเวงพิกลแล้วครับตอนนี้
.
ณ ที่ซึ่งห่างไกลจากชุมชนพอดู เลยสนามหญ้าริมทางออกไปคืออาคารซึ่งมองคล้ายสถานที่ราชการ ฝั่งตรงข้ามและโดยรอบล้วนเป็นพื้นที่ว่างเปล่า บ้านเรือนที่มีอยู่ห่างออกไปแทบทั้งหมด มีมอเตอร์ไซค์รับจ้างจอดอยู่สองสามคันตรงลานหน้าสนามหญ้า ฅนขับรถพาผมไปส่งตรงนั้น บอกว่าต้องลงแล้ว จากนั้นเรียกฅนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างฅนหนึ่งเข้ามา
มันเป็นการมัดมือชกชัด ๆ เลย ผมคงทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องใช้บริการจากมอเตอร์ไซค์รับจ้างคันนี้แน่นอน ตอนแรกผมคิดว่าเขาจะส่งผมลงในย่านชุมชนตรงไหนสักแห่ง ซึ่งผมกะว่าจะเดินหาที่พักก่อนแล้วค่อยหารถไปอ็องกอร์ว็อตอีกที แต่เจอแบบนี้ก็คงไม่มีทางเลือกอย่างที่บอก
“ไปไหนครับ” ฅนขับมอเตอร์ไซค์ถามผมด้วยภาษาขแมร์เพราะพูดไทยไม่ได้
“อังกอร์วัด” ผมตอบไป แม้จะไม่ชัดนักแต่คำนี้เขาคงคาดเดาไว้แล้วจึงไม่มีปัญหาอะไร สำหรับผมนั้นเพราะไม่มีทางเลือกอย่างที่บอก จึงคิดว่าไปอ็องกอร์ว็อตก่อนแล้วค่อยกลับมาหาที่พักจะดีกว่า แต่คำถามที่เขาถามกลับมานี่สิ
“ใหญ่หรือเล็กครับ”
เฮ้ย! นครวัดมันมีใหญ่มีเล็กด้วยหรือวะ ความมึนงงเกาะหนึบติดหัวทันทีกับคำถามนั้น ตกลงมันมีกี่แห่งกันล่ะนี่ ครั้นจะสอบถามก็คงยากจะเข้าใจกันได้ ยังไม่คล่องเรื่องภาษาอย่างที่บอกนั่นแหละ
“ใหญ่” ผมตอบหลังจากอึ้งไปชั่วขณะ ใหญ่มันก็ต้องดีกว่าเล็กอยู่แล้ว ครับ นั่นเป็นตรรกะของผมที่ไม่ควรนำไปใช้อย่างที่สุด
“ค่าโดยสารเท่าไรครับ” ผมถามราคาขณะเขาพยักหน้ารับ ทั้งที่ไม่ว่าเขาจะเรียกแค่ไหนก็ต้องยอมจ่ายอยู่แล้ว เพราะไม่มีทั้งทางเลือกและข้อมูลอะไรเลย แต่ก็ต้องทำเป็นหัวหมอเรื่องมากไว้ก่อนนั่นแหละ แฮ่
เขาเรียกสองร้อยซึ่งผมคงต้องยอมอย่างที่บอก ถูกหรือแพงอย่าไปคิดมัน
เมื่อเราตกลงราคากันได้ ฅนขับรถโดยสารที่พาผมมาก็ยกมือชี้หน้าฅนขับมอเตอร์ไซค์ เป็นสัญญาณที่พอแปลได้ว่า ‘เฮ้ย เอ็งเป็นหนี้ข้าอยู่นะเว้ย’ ก่อนหันหลังขึ้นรถขับออกไป
เออ เรื่องของพวกเอ็งกันเถอะ
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
หมายเหตุ : รูปภาพทุกภาพของผมมันถูกเฟซบุ๊กลดคุณภาพไปหมดและภาพต้นฉบับก็ไม่เหลือแล้วจึงได้เท่าที่เห็นนะครับ