อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์ (ตอนที่๑๘)

กระทู้สนทนา
อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์
โดย : ละเว้
บทที่๑๘ พาหลานลุยแขมร์

หลังจากการเดินทางไปงานแต่งของญาติภรรยาเพื่อนผมคราวนั้นแล้ว ผมก็ได้ไปแขมร์บ่อยขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการที่ได้ทำหนังสือเดินทางเป็นเรื่องเป็นราวแล้วนั่นเอง แต่ไม่ว่าอย่างไรผมขอข้ามมาเล่าถึงการเข้าแขมร์หนนี้เลยก็แล้วกันนะครับ ซึ่งหนนี้จะพิเศษหน่อยตรงที่มีหลานชาย ป. 3 ตามมาด้วยนั่นเอง

ความจริงมันเป็นหลานชายของเพื่อนผมที่ได้พูดถึงในบทก่อน ๆ แต่เราก็เป็นญาติห่าง ๆ กันนั่นแหละ และอีกอย่างคือผมหลอกพามันไปด้วยมากกว่าครับ แฮ่

(ในเรื่องก๊อบผมให้มันอายุสิบสองแต่ความจริงเก้าขวบเองนะครับ และจริง ๆ แล้วมันเรียกผมว่าตาไม่ใช่ลุงเหมือนในนิยาย)


(ภาพแรกของไอ้ก๊อบในแขมร์)

ที่พิเศษอีกอย่างก็คือหนนี้ผมได้ไปแขมร์ช่วงสงกรานต์พอดี ซึ่งผมหาโอกาสแบบนี้มานานแล้ว เพราะคิดว่าสงกรานต์เมืองแขมร์น่าจะสนุกไม่เบา

เพื่อนเอารถจักรยานยนต์มารับที่ชายแดนเหมือนเคย ผมให้หลานชายนั่งรถเข้าไปกับเพื่อนจะได้ตัดปัญหาเรื่องบัตรผ่านแดน (ให้มันเป็นเด็กแขมร์ไป) ส่วนผมไปประทับตราหนังสือเดินทางแล้วจึงตามออกมา

เมื่อประทับตราพาสปอร์ตทั้งสองฝั่งเรียบร้อยแล้วเราก็ออกเดินทางกันทันที

ช่วงก่อนจะเข้าตัวจังหวัดไปลินนั้นจะมีศาลาเป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นซึ่งผมไม่ทราบว่าเป็นใครเหมือนกัน และตรงลานหน้าศาลานั้นยังมีรูปม้าทาสีทองอยู่กลุ่มหนึ่ง พร้อมทั้งอุปกรณ์ออกกำลังกายต่าง ๆ บนลานกว้างนั่นด้วย เจ้าหลายชายเห็นก็สนใจทันที เพื่อนผมเลยจอดรถให้มันได้ลองเล่น โดยผมถือโอกาสถ่ายภาพอะไรไปด้วย 





สักพักจึงออกเดินทางกันต่อ โดยเจ้าหลานชายจะคอยถามตลอด ถึงหรือยัง ทำไมไกลนัก แต่หลังจากเข้าเขตบัตด็อมบองสักพักก็เงียบเสียง หลับสนิทม่อยกระรอกไปแล้วนั่นเอง

เมื่อถึงบ้านเพื่อนผมสิ่งที่หลานชายดูจะไม่ได้คาดคิดก็เกิดขึ้นทันที ด้วยความที่ผมจะได้ไปที่นั่นบ่อยจนฅนในหมู่บ้านต่างคุ้นเคยเป็นอย่างดีแล้ว เมื่อเห็นมีหลานมาด้วยเขาก็เลยสนใจเข้ามารุมล้อมกัน โดยเฉพาะแม่ยายของเพื่อนผมที่ดูจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ อีกอย่างก็คือเมื่อมันเป็นหลานของเพื่อนผม นั่นแสดงว่ามันต้องมีญาติอยู่ที่นี่ด้วย จึงไม่แปลกที่มันจะเป็นจุดสนใจของฅนในหมู่บ้านรวมถึงญาติพี่น้องที่มันไม่เคยรู้จัก 

.
ไอ้หลานชายของผมนี่มันก็มีข้อเสียอยู่อย่าง แม้จะดูเก่งกล้าไปสารพัดแต่ก็ดันขี้อายเสียอย่างนั้น (บุคลิกขัดกันมาก) และการที่อยู่ ๆ มันกลายเป็นจุดสนใจ มีฅนมารุมล้อมซักถามด้วยภาษาที่ฟังไม่เข้าใจอะไรแบบนี้ ทั้งความแปลกที่หรืออะไรด้วยนั่นแหละ มันจึงทำหน้าเหมือนอยากร้องไห้ออกมาเลย ซึ่งฅนที่มารุมล้อมก็คงไม่ได้สังเกตอะไรกัน จึงยังคงส่งเสียงซักถามให้ความสนใจ ผมรู้ดีว่าหากปล่อยไว้อีกหน่อยไอ้นี่มันต้องน้ำตาแตกแน่ และจะกลายเป็นสัมผัสแรกที่ไม่ประทับใจของมันไปเสียเปล่า ๆ จึงบอกเพื่อนให้พาเราสองฅนไปหาข้าวกินในตลาดกันก่อน (ต้องการดึงหลานออกมานั่นแหละ)

เมื่อหลุดออกมาได้เจ้าหลานชายก็ดูจะดีขึ้นมาหน่อย หลังจากกินข้าวกันเสร็จผมก็พาหลานเข้าตลาดเพื่อหาแลกเงินอะไรด้วย 

เมล็ดสะบ้าที่วางขายข้างทางนั้นดึงดูดความสนใจจากผมได้เป็นอย่างดี สะบ้านั้นถือว่าเป็นกีฬาประจำจังหวัดตราด แน่นอนว่าตอนเป็นเด็กผมต้องเคยเล่นเคยสัมผัสมาก่อน เมื่อโตมาป่าหมดกีฬาสะบ้าหรือการเล่นสะบ้าก็ดูจะหายไป หรือเหลือแต่น้อยเต็มที จึงคิดว่าก่อนกลับบ้านจะต้องซื้อลูกสะบ้ากลับไปด้วย จะซื้อตอนนี้ก็กลัวคำนวณเงินในกระเป๋าไม่ถูกนั่นแหละ ซื้อขากลับเงินเหลือเท่าไรมากน้อยแค่ไหนจะได้ตัดสินใจง่าย
 
แต่นั่นนับเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ของผมเลยทีเดียว…

.
เมื่อกลับมาบ้านอีกครั้ง หลานชายถึงจะยังคงเป็นจุดสนใจแต่ไม่มีการรุมล้อมอะไรแล้ว มันเองก็ดูจะปรับตัวได้แล้วเช่นกัน แค่พักเดียวก็สามารถสนุกเฮฮาไปกับลูก ๆ ของเพื่อนผมและเด็กอื่นได้โดยลืมไปเลยว่าพูดกันฅนละภาษา

การมาจ็อมการ์ละมุดหนนี้นับว่าเป็นการกะช่วงเวลาที่พลาดนิดหน่อย เพราะคิดว่าวันฉลองสงกรานต์บ้านเขาคือวันที่สิบสามเช่นกันกับเรา กลายเป็นว่าเขาเริ่มฉลองกันวันที่สิบห้าเสียอย่างนั้น เราก็เลยต้องยืดระยะการอยู่ที่นี่อีกวันสองวัน ซึ่งนั่นดูจะถูกใจเจ้าหลานชายอยู่ทีเดียว ด้วยความว่าที่นี่จะมีเด็กเยอะมาก เฉพาะลูกของเพื่อนผมก็ปาไปห้าฅนแล้ว ยังมีเด็กที่เป็นญาติ ๆ ของมัน (ที่เพิ่งได้รู้จักกัน) และเด็กบ้านใกล้เรือนเคียงนี่อีก 

กับนิสัยที่เข้าฅนง่าย (แม้จะขี้อาย) ของมัน ก็ทำให้ไอ้หลานชายมีเพื่อนกลุ่มใหญ่เลยทีเดียว นั่นแหละคือเหตุผลที่ทำให้มันสนุกจนไม่อยากกลับบ้าน



แต่เช้าวันหนึ่งไอ้หลานก็เกิดร้องอยากกลับบ้านขึ้นมาจนได้ เรื่องของเรื่องเป็นเพราะฝนที่ตกมาทั้งคืนนั่นแหละ ด้วยสภาพดินดำ ๆ ของที่นี่เวลาเปียกน้ำแล้วจะเหนียวมาก เราจึงไม่อยากที่จะออกจากบ้านกัน ซึ่งตามปกติผมจะต้องพาหลานไปกินข้าวต้มที่ตลาดทุกเช้า เนื่องจากที่บ้านของเพื่อนผมจะไม่กินข้าวเช้ากัน 

เมื่อออกจากบ้านไม่ได้ก็แปลว่าเราต้องนอนหิวอยู่กับที่ ไอ้หิวนี่คงไม่เท่าไร แต่หิวแล้วยังต้องอยู่บนที่นอนออกไปเล่นสนุกไม่ได้ด้วยนี่สิ ที่ทำให้ไอ้หลานชายถึงกับร้องอยากกลับบ้านอย่างที่บอก 

ไม่รู้จะทำอย่างไรได้ ผมก็เลยต้องพาหลานลุยดินเหนียว ๆ นั่นไปบ้านน้องสาวของยายทวดมัน ซึ่งที่นั่นเขาจะรู้ว่าเราต้องกินมื้อเช้ากัน จึงรีบหุงหาอาหารให้เลยรอดตัวไป



เพื่อนผมมีลูกห้าฅนอย่างที่บอก และจะมีฅนหนึ่งที่อายุเท่ากับหลานผมพอดี สองฅนก็เลยดูจะเข้าขากันดีมาก ดีถึงขนาดผมต้องสั่งห้ามไม่ให้พากันปั่นจักรยานออกนอกหมู่บ้าน หรือห้ามไปตลาดกันเองนั่นแหละ มาต่างถิ่นแบบนี้ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะหากเกิดอะไรขึ้นคงลำบากทีเดียว (รู้แบบนี้ก็ยังอยากพามันมาด้วยอีก)

เมื่อต้องรอให้ถึงสงกรานต์ก็เลยมีเวลาว่างออกเที่ยวกัน ไกลออกไปตามทางที่ตัดผ่านหมู่บ้านจะมีแม่น้ำชื่อว่าแม่น้ำ 'ถวาก' (อ่านว่า ถะ ว่ะ) ซึ่งถึงหน้าแล้งแม่น้ำที่ว่าจะกลายเป็นแหล่งพักผ่อนของผู้ฅนแถบนี้ วันนั้นเพื่อนพาเรานั่งรถไถติดพ่วงท้ายไปที่แม่น้ำนั้นกัน
กระบะที่รถไถลากเราไปนั้นกระแทกกระทั้นกันตลอดตามสภาพเส้นทาง ตับไตไส้พุงถูกเขย่าปั่นป่วนกันเลยทีเดียว ไอ้หลานชายยังคงทำหน้ายิ้มร่าได้ตลอดทาง

“สนุกไหมไอ้ก๊อบ” ด้วยความที่รู้นิสัยมันดีนั่นแหละ ผมเลยแกล้งถามออกไปแม้จะรู้คำตอบแล้ว

“สนุกสิ ดึ๋ง ดึ๋ง ดึ๋ง” มันรีบตอบออกมาแบบไม่ต้องคิดพร้อมหัวเราะร่า เออ เอ็งน่ะสนุก ตาเอ็งจะตายเอานี่สิ

มีฅนมาพักผ่อนบริเวณริมแม่น้ำขุ่นข้นนี้มากพอควรเมื่อเรามาถึง อีกฝั่งคือวัดถวาก บริเวณซึ่งน้ำลดจนเป็นชายหาด (ที่มีแต่หิน) นั้นมีร้านค้าตั้งตลอดแนว มีห่วงยางให้เช่า มีของเล่นมาขายกันด้วย บรรยากาศแบบชายทะเลบ้านเราอย่างไรอย่างนั้นเลย (บางฅนแต่งตัวแบบมาเที่ยวชายทะเลกันจริงๆ) 

ซึ่งบรรยากาศแบบนี้จะมีเพียงปีละครั้งช่วงสงกรานต์นี่เท่านั้น

และด้วยความเป็นเด็กซึ่งชอบคลองมากกว่าทะเลของหลานชาย เรียกว่าหากให้เลือกระหว่างไปเที่ยวทะเลกับลงคลองหาปลามันจะเลือกหาปลามากกว่า จึงทำให้มันสนุกกับน้ำขุ่น ๆ นั่นจนแทบไม่อยากกลับบ้านได้เหมือนกัน

เกิดเรื่องจนได้ เมื่อกลับถึงบ้านได้สักพักผมจึงรู้ตัวว่าได้ทำเงินหายไปจนหมด เหลือแต่เงินแขมร์ที่แลกไว้ตอนมาถึงวันแรก 

ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าเพราะอะไร ตอนหลังจึงพอเข้าใจได้ว่า ไอ้ ดึ๋ง ดึ๋ง ดึ๋ง ของไอ้ก๊อบมันนั่นแหละ ที่ทำให้เงินในกระเป๋าเสื้อผมหล่นหายไปหมด เหลือแต่เงินแขมร์พอเป็นค่ารถกลับบ้านเท่านั้น

งานนี้ฅนที่ลำบากจริง ๆ กลายเป็นเพื่อนผมเสียมากกว่า เพราะต้องดูแลเราตลอดเวลาที่อยู่ที่นั่น และลูกสะบ้าที่ผมหวังว่าจะได้ซื้อกลับบ้านก็เลยต้องแห้วไป

เมื่อถึงวันฉลองสงกรานต์ก็มีความผิดหวังกันอีกเล็กน้อย เพราะปีนี้ไม่มีการเล่นสาดน้ำกัน อันเนื่องมาจากอุบัติเหตุบ่อยครั้งในปีก่อน ๆ ทางรัฐบาลจึงสั่งห้ามเด็ดขาดเรื่องสาดน้ำ งานฉลองสงกรานต์จึงมีเพียงรำวงกับประแป้งทาหน้ากันเท่านั้น (งานกร่อยแบบคาดไม่ถึง)

แต่ไม่ว่าอย่างไร แม้เงินจะหาย แม้งานจะกร่อย แต่การได้เห็นหลานชายสนุกตลอดเวลาของการอยู่ที่นี่ ก็ดูจะเพียงพอที่สุดแล้ว โปรดติดตามตอนต่อไปครับ

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่