วันดับสูญ บทที่ 3 เหตุแห่งการดับสูญ

กระทู้สนทนา
3. เหตุแห่งการดับสูญ
 
         ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เคยดำมืดและสงบราบเรียบเมื่อไม่ถึงชั่วโมงก่อน ถูกย้อมไปถ้วนทั่วด้วยสีแดงฉานราวกับเลือดของเมฆฝน ที่ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและไร้เค้าลาง หนาแน่นกว้างไกลออกไปจนสุดลูกหูลูกตาจนคล้ายกับว่า พวกมันได้ยึดน่านฟ้ารวมถึงโลกทั้งใบนี้ไว้จนหมดแล้ว

         แสงสว่างวาบตรงนั้นทีตรงนี้ที เส้นสายฟ้าคดเคี้ยวเกี่ยวเกาะไปทั่วชั้นบรรยากาศ เสียงกัมปนาททรงพลังขู่คำรามออกมาอย่างน่าพรั่นพรึง ให้ได้รู้สึกหวาดผวาอกสั่นขวัญหายเป็นระยะ

         สายลมกรรโชกบานหน้าต่างไม้เหวี่ยงสะบัดฟาดตี กระแทกรุนแรงกับกรอบวงกบสลับกันกับฝาผนังด้านนอก เกิดเสียงดังปึงปังติด ๆ กันจนรู้สึกเหมือนกับว่าบ้านทั้งหลังกำลังสั่นสะเทือนอย่างน่ากลัว

         และแล้วฝนห่าใหญ่ก็ทิ้งตัวถล่มลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา...

         หยาดหยดเล็กจ้อยแต่มีจำนวนมหาศาลจนเหลือประมาณ ซ้อนทับถักทอเกิดเป็นโครงข่ายกำแพงอันหนาแน่นทึมทึบ บดบังทัศนวิสัยภายนอกกรอบหน้าต่างซึ่งมีไม่มากอยู่แล้ว ให้เลวร้ายขึ้นไปอีกจนแทบกลายเป็นศูนย์

         ก่อนที่ข้าวของเครื่องใช้และสภาพภายในบ้านจะได้รับความเสียหายจากพายุฝน วิวัฒน์รีบลุกและพาตัวเองให้ไปไล่ปิดลงกลอนประตูหน้าต่างอย่างเร็ว ครบทุกบานแล้วก็ใช้สายตาไล่ตรวจสอบอีกครั้งหนึ่งว่าทุกบานแน่นหนาดี และไม่มีช่องใดของตัวบ้านที่ยังถูกเปิดทิ้งไว้

         ใช้มือปัดเช็ดละอองน้ำที่สาดเข้าใส่จนผมเผ้าและเสื้อผ้าเปียกชื้น เรียบร้อยดีแล้วจึงค่อยเดินกลับไปประจำที่ ก็พอดีกับที่นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามออกมา “คนของคุณที่อยู่ข้างล่างนั่น ให้พวกเขาขึ้นมาหลบฝนบนนี้ไหมครับ”

         “ไม่เป็นไรหรอกครับ พวกเขาจัดการตัวเองได้” ผู้ถูกถามตอบกลับทันทีแบบที่ไม่ต้องเสียเวลาคิด “เรามาว่าเรื่องของเรากันต่อดีกว่าครับ”

         ได้รับคำยืนยันแบบนั้นแล้ว การสนทนาแบบเข้าประเด็นจึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง

         “ที่เมื่อสักครู่คุณบอกว่าทุกอย่างสายเกินแก้ไปแล้ว ผมกลับเห็นว่ามันออกจะเป็นความคิดเห็นที่ดูตื่นตระหนกจนเกินเหตุไปหน่อยนะครับ ดอกเตอร์” ชายชราโต้แย้งด้วยความเห็นที่แตกต่างออกไป

         ในความคิดของโทมัส แม้ว่าอุณหภูมิของโลกในเวลานี้จะสูงขึ้นกว่ากาลก่อนมาก และยังคงค่อย ๆ สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องอย่างไม่มีทีท่าจะหยุดลง แต่อุณหภูมิเพียงแค่ที่ว่ามานี้ก็ยังห่างไกลจากค่าวิกฤติ อีกทั้งยังไม่มีสัญญาณทางธรรมชาติใด ๆ ที่บ่งบอกว่า มันจะพัฒนาและนำพาไปสู่มหันตภัยร้ายแรงอย่างที่ว่ามาได้เลย

         “การสูญสิ้นหมดพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตทั่วทั้งโลก การที่ดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงนี้จะแปรเปลี่ยน กลับกลายเป็นดวงดาวสีแดงแห่งความตายอันเดือดพล่านร้อนระอุ ถ้าจะว่ากันตามทฤษฏีแล้ว อุณหภูมิโลกขนาดที่จะก่อให้เกิดเรื่องเหล่านี้ได้ ยังต้องสูงกว่านี้อีกมาก ๆ ครับ”

         ชายชราผู้นี้รู้ ที่ทำก็เพียงแค่พูดหยั่งเชิงโดยที่รู้ทุกคำตอบอยู่แล้ว คล้ายกำลังรอดูปฏิกิริยา กำลังลองภูมิ หรือกำลังรอฟัง ต้องการอะไรบางอย่างจากคำตอบของเขา เอาเถอะ ถ้าต้องการอย่างนั้นเขาก็ยินดีจะทำให้...

         “หึ...” วิวัฒน์หัวเราะสั้น ๆ อยู่ในลำคอ รอยยิ้มเยาะผุดขึ้นตรงมุมปาก “ผมไม่รู้ว่าคุณคือใคร มาหาผมด้วยสาเหตุอะไร สนอกสนใจเรื่องนี้ทำไม และยิ่งไม่รู้ว่าคุณต้องการอะไรจากผมกันแน่”

         ชายหนุ่มที่แบ่งสมาธิส่วนหนึ่งไปเพื่ออ่านความนัยจากบทสนทนาและความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่าย ตัดสินใจว่าจะลองเต้นไปตามจังหวะที่ถูกวางไว้นั้นดู เพราะเขาเองก็เริ่มอยากรู้ขึ้นมาแล้วว่า เส้นทางที่ชายแปลกหน้าผู้นี้กำลังขีดและชี้นำ จะพาเขาไปสู่จุดใด และสุดท้ายแล้วคู่สนทนาผู้นี้ต้องการอะไรกันแน่

         “แต่คุณโทมัสครับ” เขาหยุดคิดเรียบเรียงคำพูดในหัวหน่อยหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยถามออกมา “คุณคิดว่าทุกสิ่งบนโลกใบนี้ ทุกอย่างที่ประกอบขึ้นมาเป็นดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงนี้ เกิดจากความบังเอิญอย่างนั้นหรือครับ”

         หลับตาลงแล้วปล่อยให้จินตนาการในหัววาดภาพโลกใบเล็กขึ้นมา โลกจำลองที่หมุนรอบตัวเองเร็วกว่าปกตินับร้อยนับพันเท่า สิ่งมีชีวิตต่างพากันวิวัฒนาการย้อนหลังจนกระทั่งโลกกลับคืนไปสู่ความว่างเปล่า เมื่อครั้งที่ยังไม่มีสิ่งใดถือกำเนิดขึ้นมาเลย

         “เปล่าเลยครับ ไม่มีอะไรสักอย่างที่เป็นเรื่องบังเอิญ ทั้งหมดนั้นถูกกำหนดไว้แล้วเป็นอย่างดีและมีแบบแผน”

         ชายหนุ่มลืมตาขึ้นช้า ๆ หลังจากเรียบเรียง และเปลี่ยนมโนภาพเหล่านั้นให้เป็นคำพูดเพื่ออธิบายออกมา

         “ถ้าหากสายตาและการรับรู้ของผมไม่ได้ผิดเพี้ยนจนเกินไปนัก ผมคิดว่าคุณเองก็น่าจะรู้อยู่แล้วในความจริงที่ว่า นอกจากดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานและความร้อนหลักแล้ว โลกเองก็มีแหล่งความร้อนที่มีอุณหภูมิสูงถึงห้าพันองศาเซลเซียส ที่อยู่ลึกลงไปใต้พื้นดินหกพันกิโลเมตรเช่นกัน”

         “แล้วเรื่องนั้นเกี่ยวอะไรครับ ดอกเตอร์” น้ำเสียงของโทมัสที่เอ่ยถามฟังตื่นเต้น แต่ก็ยังน้อยกว่าดวงตาที่กำลังสั่นระริกอย่างกระตือรือร้นของเขา

         ลูกโลกใบจิ๋วในจินตนาการของวิวัฒน์หมุนวนรอบตัวเองเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดมันก็เหวี่ยงส่วนประกอบทั้งสามที่ประกอบขึ้นมาเป็นโลกทั้งใบ อันได้แก่ชั้นคอร์หรือแก่นโลก ชั้นแมนเทิลหรือเนื้อโลก และชั้นครัสท์หรือเปลือกโลก ให้หลุดแยกออกจากกัน

         พิจารณาทุกองค์ประกอบภายในนั้นที่เผยออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว จึงค่อยเริ่มพูดต่อ

         “โลกมีการควบคุมสมดุลในตัวของมันเองเป็นอย่างดีครับ แก่นโลกซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ชั้นในสุดนั้นมีความร้อนสูงที่สุด แต่ความร้อนที่ว่านี้ก็สามารถปลดปล่อยออกมาจนถึงบรรยากาศได้เพียงแค่เล็กน้อยจนแทบไม่มีผลอะไรเลย เมื่อมันต้องแพร่ผ่านชั้นเนื้อโลกซึ่งมีความหนาถึงสองพันเก้าร้อยกิโลเมตรขึ้นมา”

         เขาอธิบายต่อไปอีกว่า ความร้อนปริมาณน้อยแสนน้อยที่แทบไม่มีผลอะไรเลยซึ่งแพร่ออกมาได้นี้ จะถูกทำให้ไร้พิษสงขึ้นไปอีกด้วยไอน้ำและความชื้นในบรรยากาศ ซึ่งมีปริมาณมากกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ที่ผิวโลก

         และถ้าหากความร้อนยังคงอยู่ในระดับที่มากเกินไป โลกก็จะใช้กลไกของก๊าซเรือนกระจกที่ห่อหุ้มปกคลุมมันอยู่อย่างบาง ๆ ที่ชั้นบรรยากาศ ระบายพลังงานส่วนเกินนี้ออกไปจนกระทั่งได้อุณหภูมิที่เหมาะสม

         “เช่นเดียวกับความร้อนที่โลกได้รับมาจากดวงอาทิตย์ พลังงานที่ถูกส่งมาจะต้องถูกกรองจนทุกอย่างอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยชั้นโอโซนและก๊าซเรือนกระจก จากนั้นจะถูกปรับสภาวะอีกครั้งด้วยไอน้ำในบรรยากาศ และถ้าหากยังมีความร้อนส่วนเกินหลงเหลืออยู่ มันก็จะถูกกำจัดออกไปด้วยวิธีและหลักการเดียวกับเมื่อสักครู่”

         เมื่อต้องอยู่ในห้องที่ร้อนอบอ้าวจนเกินไป เราเลือกที่จะเปิดแอร์คอนดิชันเพื่อให้ห้องมีอุณหภูมิที่เย็นสบาย และเมื่อต้องอยู่ในห้องที่หนาวเหน็บสุดทน เราก็เปิดเครื่องทำความร้อน เพื่อให้ร่างกายได้รับความอบอุ่นที่เหมาะสม

         หากเปรียบโลกทั้งใบเป็นห้อง ๆ หนึ่งแล้ว กลไกทางธรรมชาติที่ว่ามาทั้งหมดนั้น ก็คือระบบปรับอากาศและควบคุมสภาพแวดล้อมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งถูกออกแบบมาอย่างละเอียดรอบคอบและดีเยี่ยมที่สุดนั่นเอง

         “แต่กิจกรรมที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวของพวกเรา สิ่งที่มนุษย์อย่างเรา ๆ ทำลงไปทั้งหมดนั้น ทำให้สมดุลทางธรรมชาติพังพินาศลง”

         อย่างที่รู้กันอยู่แล้ว ก๊าซเรือนกระจกเป็นชื่อซึ่งพูดโดยรวมถึงกลุ่มก๊าซเจ็ดชนิดที่ทำหน้าที่รักษาอุณหภูมิโลก และดูดซับคลื่นรังสีความร้อนหรือรังสีอินฟราเรด ซึ่งก็คือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซมีเทน ก๊าซไนตรัสออกไซด์ ก๊าซไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน ก๊าซเพอร์ฟลูออโรคาร์บอน ก๊าซซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์ และสุดท้าย ก๊าซไนโตรเจนไตรฟลูออไรด์

         ก๊าซเหล่านี้ที่เพิ่มขึ้นโดยน้ำมือของมนุษย์ ส่งผลโดยตรงต่อการทำหน้าที่ของชั้นเรือนกระจก คือแทนที่มันจะดูดซับและปลดปล่อยความร้อนได้อย่างพอเหมาะ มันก็กลับปลดปล่อยรังสีความร้อนที่มันกักเก็บไว้ออกไปได้น้อยลง โลกก็จะร้อนขึ้นเรื่อย ๆ อย่างก้าวกระโดดแบบที่เป็นอยู่ในเวลานี้

         นั่นคือผลกระทบทางตรง...

         ทว่าอันตรายทางอ้อมที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตนั้นก็รุนแรงน่ากลัวไม่แพ้กันเลย เพราะก๊าซเรือนกระจกส่งผลต่อการสูญสลายและถูกทำลายของโอโซน ดังนั้นเมื่อชั้นโอโซนถูกทำลาย รังสีอัลตราไวโอเลตหรือยูวีจะผ่านลงมาสู่พื้นโลกได้มากขึ้น และทำอันตรายโดยตรงแก่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้

         “ภูเขาและธารน้ำแข็งที่แห้งเหือดหายไป ทำให้ไอน้ำในบรรยากาศสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก แต่แทนที่มันจะส่งผลในการช่วยลดอุณหภูมิของโลกได้ดีขึ้น มันก็กลับเป็นตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง”

         ไอน้ำเป็นตัวช่วยระบายความร้อน แต่หากความร้อนนั้นมากเกินกว่าจะระบายออกได้หมด มันก็จะกลับกลายเปลี่ยนเป็นตัวเก็บความร้อนดี ๆ ขึ้นมานั่นเอง

         โทมัสจินตนาการถึงตัวเองตอนกำลังนั่งอยู่ในห้องอบเซาว์น่าแล้ว ก็รู้สึกร้อนผ่าว วูบวาบขึ้นมาอย่างที่ชายหนุ่มพูดแทบจะในทันที

         “กระแสลมกระแสนน้ำคลาดเคลื่อนปั่นป่วน เปลือกโลกอ่อนนุ่มบางลง ความร้อนเพิ่มมากขึ้นเพราะหาทางออกไม่ได้เนื่องจากก๊าซเรือนกระจก คุณโทมัส คุณรู้หรือเปล่าว่าตอนนี้โลกที่เรากำลังเหยียบย่ำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเกิดอะไรขึ้น”

         วิวัฒน์จ้องสบสายตากับอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

         “มันกำลังพิโรธอย่างเกรี้ยวกราด กำลังปะทุอย่างเดือดดาล และพลังงานทั้งหมดนั้นก็กำลังถูกปลดปล่อยออกมาอย่างไรล่ะครับ”

         เป็นบทสรุปที่ไม่ว่าใครได้ฟังแล้ว ก็ต้องนึกตื่นตระหนกตกใจขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อย ทว่าชายชราคู่สนทนากลับไม่แสดงออกอย่างนั้นสักนิด เขายังคงมีสีหน้าเป็นปกติที่ไม่ได้บ่งบอกอารมณ์ใดเป็นพิเศษอย่างเคย

         แขกชรารอจนแน่ใจว่าวิวัฒน์หยุดคำ และเปิดโอกาสให้เขาได้แสดงความคิดเห็นแล้ว จึงค่อยพูดออกมาบ้าง

         “เอาล่ะ ถ้าสมมติว่าผมเชื่อ สมมติว่ามันจะเป็นอย่างที่คุณว่ามาทั้งหมดนั้นจริง ๆ นะครับดอกเตอร์ ผมก็ยังไม่เห็นว่ามีเค้าลางอะไรเหล่านั้นอยู่ดี” เขาอาศัยการตั้งคำถามแย้งอย่างที่ถนัดเช่นเคย “กระบวนการเหล่านี้ใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้อย่างปุบปับทันทีทันใด มันต้องค่อย ๆ เป็นไป เปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อย ซึ่งแน่นอนว่าด้วยระยะเวลาที่นานถึงขนาดนั้น ไม่ว่าจะอย่างไร เราก็ต้องตรวจจับสัญญาณอะไรสักอย่างได้อย่างแน่นอนไม่ใช่หรือครับ”

         “ผมรู้ว่าคุณเองก็รู้ คุณโทมัส” วิวัฒน์พูดแทรกกะทันหัน ด้วยรอยยิ้มอย่างคนรู้ทัน “คุณเองก็รู้ว่าเหลือเวลาอีกไม่นานแล้ว เพราะทีละเล็กทีละน้อยที่คุณว่า มันได้เกิดขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว”

         ทีละเล็กละน้อยที่ว่ามานั้น คืออุณหภูมิของโลกที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เป็นระยะเวลานานแสนนาน จนเวลานี้มันได้สะสมพลังงานจนมากเกินพอ ไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงใด ๆ อีกต่อไปแล้ว

         ใช่ โทมัสรู้ว่าชายหนุ่มพูดถึงเรื่องอะไร และเช่นเดียวกันที่วิวัฒน์เองก็รู้ว่าชายชรารู้เรื่องอะไร ทั้งคู่จึงเป็นคู่สนทนาที่เสมอและสมน้ำสมเนื้อไม่แตกต่างกัน

         “ตอนนี้โลกอยู่ในสถานะที่อ่อนแอและพร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อแล้ว ขาดแค่ตัวเร่งปฏิกิริยาซึ่งเป็นจิ๊กซอว์ตัวสุดท้าย แค่อะไรสักอย่างที่จะทำให้อุณหภูมิที่เป็นอยู่ในขณะนี้สูงขึ้นกว่าเดิมอีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น เพียงเท่านี้ก็จะไม่หลงเหลืออะไรอีก ทุกสิ่งทุกอย่างจะเดินทางไปสู่จุดจบโดยสมบูรณ์”

         ตัวเร่งปฏิกิริยาคืออะไร และเวลาที่พูดถึงคือเมื่อใด...ถึงแม้ไม่ได้เอ่ยถามออกมาเป็นคำพูด แต่ทุกอย่างนั้นถูกเผยมาหมดทั้งทางสีหน้าและในแววตาของชายชรา ผู้ซึ่งกำลังแสดงออกให้เห็นถึงความกระหายใคร่รู้ในคำตอบข้อนี้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่