เท่าที่เราไปฟังมาคือ ในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น เช่น อเมริกา คนที่เป็นออทิสติกจะมีหน่วยงานเฉพาะที่ดูแล ณ จุดๆนี้โดยตรงแบบชัดเจนเลย แล้วก็จะเน้นการพัฒนาให้บุคคลกลุ่มนี้สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเอง จบการศึกษาระดับสูง ใช้ชีวิต ทำงานหาเลี้ยงชีพได้เฉกเช่นคนปกติเลย แล้วส่วนใหญ่คนเป็นออทิสติกในประเทศที่เจริญๆแล้ว ถ้าดีกรีที่เป็นไม่เยอะจริงๆ ก็คือดูแทบจะไม่ออกเลยด้วยซ้ำ อาจจะแค่สื่อสารและเข้าสังคมได้ไม่เก่งเท่าคนทั่วๆไป แต่เรื่องงานและกิจวัตรประจำวันคือดูเป็นคนปกติทุกประการ ยิ่งบางคนนี่ได้รับการยอมรับในเรื่องของความสามารถยิ่งกว่าคนปกติด้วยซ้ำไป
ส่วนในประเทศไทย เรารู้สึกว่าสังคมไทยค่อนข้างที่จะปิดกั้นคนเป็นออทิสติกมากพอสมควรเลยค่ะ ส่วนใหญ่จะมองว่าเค้าเป็นคนป่วย ช่วยเหลือตัวเองได้ไม่ดี ควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยจะได้ จำเป็นที่จะต้องมีคนดูแลตลอดเวลา ยิ่งบางคนคือรังเกียจคนเป็นออทิสติกมากๆ กีดกั้นเค้าทุกอย่าง คิดว่าทำนั่นทำนี่ไม่ได้แน่นอน คือภาพจำของคนเป็นออทิสติกในสังคมไทยค่อนข้างที่จะชัดเจนในทางลบมากๆ คือ ตามร่างกายและใบหน้าจะมีร่องรอยการทำร้ายตัวเอง เนื้อตัวค่อนข้างมอมแมม ส่วนใหญ่ตัดผมสั้นเกรียนสกินเฮดเพื่อป้องกันการดึงผมตัวเอง มีบุคลิกที่แตกต่างจากคนทั่วไปโดยสิ้นเชิงคือจะดูงุ่นง่าน เก้ๆกังๆ การพูดการจาก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง ทั้งไม่ชัดและติดอ่าง ยิ่งในสังคมโรงเรียนคือแทบทุกที่จะปิดกั้นไม่ให้โอกาสเด็กออทิสติกได้แสดงความสามารถได้เลย บางที่ยังมีความคิดว่าการกลั่นแกล้ง ทำร้ายป้ายสี ทำร้ายร่างกายเด็กออทิสติกเป็นเรื่องที่ไม่ผิดเลยด้วยซ้ำ บางคนมองว่าคนเป็นออทิสติกเป็นตัวเชื้อโรค เป็นขยะสังคม อาจจะเอาเชื้อออทิสติกมาติดก็ได้ ขนาดดาราวัยรุ่นชื่อดังที่สมัยมัธยมเคยทำร้ายเด็กออทิสติกยังสามารถที่จะโชนแสงในวงการบันเทิงได้ต่อไป ไม่มีการโดนแบนใดๆ ทั้งสิ้น ทำให้เด็กออทิสติกหลายคนมีวุฒิการศึกษาที่ค่อนข้างต่ำ หลายคนต้องออกจากโรงเรียนกลางคันและมีชีวิตอยู่ไปวันๆ บางคนอาจจะมีพัฒนาการที่ถดถอยลง มีโรคซึมเศร้าและโรคต่างๆรุมเร้าเข้ามา เหตุเพราะสังคมไทยไม่ส่งเสริมศักยภาพของเด็กออทิสติกมากเท่าที่ควร มีแค่พ่อแม่เท่านั้นที่รักและเข้าใจเด็กกลุ่มนี้อย่างจริงจัง มีเด็กออทิสติกน้อยคนในประเทศไทยที่สามารถที่จะมีการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือสูงกว่านั้น แต่ก็ต้องอาการน้อยมากๆ จนคนทั่วๆไปดูไม่ออกว่าเป็น
ประเทศไทย เป็นประเทศที่ใจร้ายกับเด็กออทิสติกมากมั้ย
ส่วนในประเทศไทย เรารู้สึกว่าสังคมไทยค่อนข้างที่จะปิดกั้นคนเป็นออทิสติกมากพอสมควรเลยค่ะ ส่วนใหญ่จะมองว่าเค้าเป็นคนป่วย ช่วยเหลือตัวเองได้ไม่ดี ควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยจะได้ จำเป็นที่จะต้องมีคนดูแลตลอดเวลา ยิ่งบางคนคือรังเกียจคนเป็นออทิสติกมากๆ กีดกั้นเค้าทุกอย่าง คิดว่าทำนั่นทำนี่ไม่ได้แน่นอน คือภาพจำของคนเป็นออทิสติกในสังคมไทยค่อนข้างที่จะชัดเจนในทางลบมากๆ คือ ตามร่างกายและใบหน้าจะมีร่องรอยการทำร้ายตัวเอง เนื้อตัวค่อนข้างมอมแมม ส่วนใหญ่ตัดผมสั้นเกรียนสกินเฮดเพื่อป้องกันการดึงผมตัวเอง มีบุคลิกที่แตกต่างจากคนทั่วไปโดยสิ้นเชิงคือจะดูงุ่นง่าน เก้ๆกังๆ การพูดการจาก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง ทั้งไม่ชัดและติดอ่าง ยิ่งในสังคมโรงเรียนคือแทบทุกที่จะปิดกั้นไม่ให้โอกาสเด็กออทิสติกได้แสดงความสามารถได้เลย บางที่ยังมีความคิดว่าการกลั่นแกล้ง ทำร้ายป้ายสี ทำร้ายร่างกายเด็กออทิสติกเป็นเรื่องที่ไม่ผิดเลยด้วยซ้ำ บางคนมองว่าคนเป็นออทิสติกเป็นตัวเชื้อโรค เป็นขยะสังคม อาจจะเอาเชื้อออทิสติกมาติดก็ได้ ขนาดดาราวัยรุ่นชื่อดังที่สมัยมัธยมเคยทำร้ายเด็กออทิสติกยังสามารถที่จะโชนแสงในวงการบันเทิงได้ต่อไป ไม่มีการโดนแบนใดๆ ทั้งสิ้น ทำให้เด็กออทิสติกหลายคนมีวุฒิการศึกษาที่ค่อนข้างต่ำ หลายคนต้องออกจากโรงเรียนกลางคันและมีชีวิตอยู่ไปวันๆ บางคนอาจจะมีพัฒนาการที่ถดถอยลง มีโรคซึมเศร้าและโรคต่างๆรุมเร้าเข้ามา เหตุเพราะสังคมไทยไม่ส่งเสริมศักยภาพของเด็กออทิสติกมากเท่าที่ควร มีแค่พ่อแม่เท่านั้นที่รักและเข้าใจเด็กกลุ่มนี้อย่างจริงจัง มีเด็กออทิสติกน้อยคนในประเทศไทยที่สามารถที่จะมีการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือสูงกว่านั้น แต่ก็ต้องอาการน้อยมากๆ จนคนทั่วๆไปดูไม่ออกว่าเป็น