อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์
โดย : ละเว้
บทที่๒ เกาะลอย
ทิ้งระยะห่างพอควรกว่าผมจะได้ปีนเขาเข้าป่ากันอีกครั้ง คราวนี้ต้องไปเป็นเด็กปัดขี้เลื่อยทางจังหวัดเกาะกงของกัมปุเจีย
(ขออนุญาตข้ามตอนที่ได้ขึ้นทางคลองรถถังนะครับเพราะไม่มีอะไรมาก)
.
จังหวัดเกาะกงนั้นเคยเป็นจังหวัดหนึ่งของไทย มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปัจจันตคีรีเขต’ หรือ ‘ปัตจันตคีรีเขตร์’ (แต่เดิมทีเดียวนั้นอยู่ในราชอาณาจักรขอม)
ในสมัยรัชกาลที่ห้าถือว่าเป็นเมืองหน้าด่านชายฝั่งทะเลสำคัญเทียบเท่ากับ ‘จันทบุรี’ และ ‘ตราด’
.
แฮ่ นำมาบอกกล่าวเพื่อพอรู้ประวัติกันบ้างเล็กน้อยเท่านั้นนะครับ
เราเข้าไปกันตามช่องทางบ้านหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่ ซึ่งตอนนั้นเริ่มมีตลาดสินค้าชายแดนแล้ว (น่าจะมาจากนโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า) ทางฝั่งแขมร์ก็เริ่มมีการก่อสร้างคาสิโนแล้วเช่นกัน จากหาดเล็กนี้เราสามารถเดินทางเข้าสู่จังหวัดเกาะกงได้สองเส้นทาง
หนึ่งคือเส้นทางรถยนต์ ซึ่งจะมีรถเก๋งหรือแท็กซี่จอดรอรับผู้โดยสารบริเวณด่านทหารแขมร์เข้าไป ก่อนผ่านด่านนั้นเราต้องเสียค่าเหยียบแผ่นดินฅนละยี่สิบบาท และตามเส้นทางนี้หากจะเข้าไปยังตัวจังหวัดจะต้องนั่งเรือกันอีกต่อ (ปัจจุบันมีสะพานข้ามฝั่งแล้ว)
อีกหนึ่งคือทางน้ำ เส้นทางนี้ไม่ต้องเสียค่าผ่านทาง เพราะสมัยนั้นยังยากที่จะตรวจตรา (ปัจจุบันทางการแขมร์ได้สร้างเขื่อนกั้นเพื่อให้เรือที่จะแล่นผ่านต้องเข้ามารับการตรวจสอบทุกลำแล้วเช่นกัน)
พวกเราใช้เส้นทางน้ำในการเดินทางครั้งนี้
.
เรือที่พาเราเข้าไปคือเรือไฟเบอร์ท้องแบนลำไม่ใหญ่นัก ผมรีบพาตัวเองไปอยู่หัวเรือทันทีที่ก้าวลง ไม่ว่าอย่างไรก็ขอจองจุดชมทิวทัศน์ด้านหน้าไว้ก่อนใครจะมาแย่งนั่นแหละ แต่ผิดคาดแฮะ ดูท่าว่าจะไม่มีใครสนใจมาแย่งนั่งฝั่งหัวเรือกับผมเลย กลับดูเหมือนจะแย่งนั่งท้ายเรือกันมากกว่า โดยเฉพาะข้างฅนขับ
ผิดพลาดตรงไหนวะตู ผมชักเอะใจแล้ว ซึ่งกว่าจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อเรือเริ่มออกเดินทางแล่นไปตามผิวน้ำ กระทั่งตับไตไส้พุงของผมมันแทบพุ่งทะลักออกมาทางปากแล้วนั่นแหละ...
เป็นอะไรที่บรรยายไม่ถูกเลยทีเดียว กับการนั่งเรือท้องแบนแล่นตัดยอดคลื่น ซึ่งต้องอธิบายกันก่อนว่ามันไม่ใช่คลื่นลูกใหญ่ ๆ แบบที่เราเคยเห็นตอนไปเที่ยวทะเลนะครับ แต่จะเป็นคลื่นเล็ก ๆ พลิ้วอยู่บนผิวน้ำพอให้เรือได้สั่นสะเทือนจนผมนั่งก้นไม่ติดพื้นจริง ๆ และวิธีนั่งแบบก้นไม่ติดพื้นที่ว่าของผมนี้ก็คือ ต้องใช้ฝ่ามือวางแนบกับผิวเรือรองก้นไว้ และดันตัวดันก้นให้ลอยขึ้นมาไม่ให้สัมผัสสิ่งใด เป็นการนั่งโดยใช้ฝ่ามือรองรับน้ำหนักนั่นแหละครับ แฮ่
ฅนนั่งท้ายเรือก็จะสบายหน่อย เพราะท้องเรือส่วนท้ายจะต่ำกว่าน้ำ แรงกระแทกจึงมีน้อย ผิดกับส่วนหัวที่ถูกยกลอยรับแรงกระแทกกันแบบเต็ม ๆ และผมก็ต้องนั่งทุลักทุเลอย่างนั้นกระทั่งเรือเข้าคลอง จึงได้นั่งอย่างปกติเสียที เป็นประสบการณ์อันดีเยี่ยมจริง ๆ
.
เมื่อเรือเข้าคลองมาก็ได้ชมทิวทัศน์กับภาพที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน เรียกว่าฅนเขาอย่างผมนั้นไม่ค่อยได้รู้เห็นสภาพผู้ฅนที่อยู่ริมน้ำแบบนี้สักเท่าไร ก็อดตื่นเต้นไม่ได้นั่นแหละครับ
เรือพาเราเลยตัวจังหวัดออกมา เมื่อถึงหมู่เกาะเล็ก ๆ ซึ่งผมไม่ทราบว่าตรงนั้นมันมีชื่อว่าอะไร รู้แต่ว่ามันทำให้ผมตื่นตาตื่นใจได้อีก กับกลุ่มไม้ชายเลนที่ขึ้นเป็นเกาะเล็ก ๆ กระจายกันไป ลองนึกสภาพเมืองที่มีถนนตัดเป็นซอยเล็กซอยน้อยเชื่อมต่อกัน โดยในที่นี้ถนนก็คือสายน้ำ กำแพงตึกสองข้างทางก็คือแนวไม้ชายเลนที่ขึ้นเป็นเกาะนั่นเอง และเรือก็พาเราแล่นลัดเลาะเข้าซอยนั้นออกซอยนี้ก่อนหลุดพ้นออกมา
สายน้ำตอนนี้แม้จะแคบกว่าเดิมแต่ยังคงกว้างใหญ่อยู่ดี อย่างน้อยก็ในความรู้สึกของผม มีเรือประมงจอดอยู่ริมฝั่ง ป่าชายเลนบางแห่งเริ่มกลายเป็นนากุ้งกันบ้างแล้ว ไม่ทราบว่าปัจจุบันนี้มันจะยังเหลืออยู่เท่าไรเหมือนกัน
และแม้ว่าการมาทางเรือทำให้เราไม่ต้องจ่ายค่าผ่านทางตรงชายแดน แต่เรายังต้องจ่ายให้กับด่านระหว่างทางกันอีกอยู่ดี แต่ด่านทหารตามรายทางแบบนี้จะเก็บจากเจ้าของเรือเสียมากกว่า
.
ถึงตรงนี้หลายท่านอาจมีข้อสงสัยกันบ้างแล้วว่า การเข้ามาของเรามันดูเหมือนผิดกฎหมาย (จริง ๆ มันก็ผิดนั่นแหละ) แล้วมาเจอด่านรายทางแบบนี้เขาไม่มีการตรวจจับกันหรืออย่างไร ขอถือโอกาสอธิบายกันตรงนี้เลยนะครับว่า ในสมัยสงครามแบบนี้นั้นการตรวจสอบยังทำได้ยาก เนื่องจากเป็นสงครามที่พวกเขารบกันเอง ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร และตอนนั้นประเทศนี้ยังเหมือนสุญญากาศ หรือแผ่นดินไร้เจ้าของซึ่งถูกแบ่งแยกเป็นเสี่ยง ๆ ก็ว่าได้ อยู่ที่ว่าใครพวกมากกว่า ใครใหญ่กว่าใครมีกำลังกว่าก็ฉกฉวยกันไป แม้แต่ทหารที่ตั้งด่านอยู่เป็นระยะตลอดทางก็เถอะ บางครั้งยังยากจะตรวจสอบว่าสังกัดหน่วยไหนอย่างไร แม้แต่จะว่าเป็นทหารของแขมร์กรอฮอมหรือเสรีนั้น บางทียังตรวจสอบได้ยากเช่นกัน
สาเหตุที่ตรวจสอบได้ยากเพราะในสมัยนั้นการจัดตั้งกองกำลังดูจะเป็นเรื่องง่าย ใครหาฅนได้มีเสื้อผ้ามีอาวุธแจกก็มีกองกำลังกันได้แล้ว ส่วนเงินเดือนที่ต้องจ่ายให้พลทหารเหล่านี้ก็ไม่ต้องรองบประมาณจากไหน ได้จากพวกพ่อค้าไม้และค่าผ่านทางนั่นแหละครับ แต่ที่ว่ามานี้ท่านต้องมีพลัง (Power) พอตัวด้วยเช่นกันนะครัย
และการถูกจับกับการลักลอบเข้ามานี้ก็มีบ้างเหมือนกัน แต่จะไม่มีอะไรมาก แค่ส่งข่าวถึงลูกพี่หรือนายทุนให้นำเงินมาจ่ายค่าปรับหรือค่าไถ่ตัวกันก็จบ เรียกว่าพวกเขาต้องการแค่เงินมากกว่าจะสนใจจับเราจริงจังนั่นแหละครับ แฮ่ ไปต่อกันเลยดีกว่าครับ
.
เมื่อเรือพาเราลึกเข้ามาสองฝั่งน้ำก็ได้เห็นต้นหมากต้นมะพร้าวกันมากขึ้น สภาพแม่น้ำลำคลองแบบนี้ผมจะเคยเห็นก็แต่ในภาพถ่ายหรือในหนังเสียมากกว่า (หากสมัยนี้คงต้องบอกว่าในเฟซบุ๊ก) จึงอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อถึงเกาะกลางน้ำแห่งหนึ่ง ที่ดูเหมือนต้นหมากมะพร้าวและบ้านเรือนของผู้ฅนบนเกาะนั้น ลอยอยู่เหนือน้ำจากความราบเรียบของแผ่นดินเลยจริง ๆ ขณะเรือแล่นไปผมก็ได้แต่นั่งมอง แอบอิจฉาชาวบ้านบนเกาะนี้ไปด้วย อิจฉาที่พวกเขาได้อยู่บนแผ่นดินสวยงาม อย่างกับเกาะในความฝันจริง ๆ หากแต่สักพักเรือก็หันหัวเทียบท่า
“เราจะพักที่เกาะลอยนี่ก่อนเข้าป่ากัน” คำบอกของเพื่อนทำเอาผมแทบเก็บอาการไม่อยู่ ไม่คิดว่าจะได้ขึ้นไปสัมผัสสถานที่แบบนี้มาก่อน ไม่อยากจะเชื่ออีกเช่นกันว่าคืนนี้ผมจะได้หลับในดินแดนแห่งความฝัน
ส่วนพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไปครับ.
อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์ (ตอนที่๒)
โดย : ละเว้
บทที่๒ เกาะลอย
ทิ้งระยะห่างพอควรกว่าผมจะได้ปีนเขาเข้าป่ากันอีกครั้ง คราวนี้ต้องไปเป็นเด็กปัดขี้เลื่อยทางจังหวัดเกาะกงของกัมปุเจีย
(ขออนุญาตข้ามตอนที่ได้ขึ้นทางคลองรถถังนะครับเพราะไม่มีอะไรมาก)
.
จังหวัดเกาะกงนั้นเคยเป็นจังหวัดหนึ่งของไทย มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปัจจันตคีรีเขต’ หรือ ‘ปัตจันตคีรีเขตร์’ (แต่เดิมทีเดียวนั้นอยู่ในราชอาณาจักรขอม)
ในสมัยรัชกาลที่ห้าถือว่าเป็นเมืองหน้าด่านชายฝั่งทะเลสำคัญเทียบเท่ากับ ‘จันทบุรี’ และ ‘ตราด’
.
แฮ่ นำมาบอกกล่าวเพื่อพอรู้ประวัติกันบ้างเล็กน้อยเท่านั้นนะครับ
เราเข้าไปกันตามช่องทางบ้านหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่ ซึ่งตอนนั้นเริ่มมีตลาดสินค้าชายแดนแล้ว (น่าจะมาจากนโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า) ทางฝั่งแขมร์ก็เริ่มมีการก่อสร้างคาสิโนแล้วเช่นกัน จากหาดเล็กนี้เราสามารถเดินทางเข้าสู่จังหวัดเกาะกงได้สองเส้นทาง
หนึ่งคือเส้นทางรถยนต์ ซึ่งจะมีรถเก๋งหรือแท็กซี่จอดรอรับผู้โดยสารบริเวณด่านทหารแขมร์เข้าไป ก่อนผ่านด่านนั้นเราต้องเสียค่าเหยียบแผ่นดินฅนละยี่สิบบาท และตามเส้นทางนี้หากจะเข้าไปยังตัวจังหวัดจะต้องนั่งเรือกันอีกต่อ (ปัจจุบันมีสะพานข้ามฝั่งแล้ว)
อีกหนึ่งคือทางน้ำ เส้นทางนี้ไม่ต้องเสียค่าผ่านทาง เพราะสมัยนั้นยังยากที่จะตรวจตรา (ปัจจุบันทางการแขมร์ได้สร้างเขื่อนกั้นเพื่อให้เรือที่จะแล่นผ่านต้องเข้ามารับการตรวจสอบทุกลำแล้วเช่นกัน)
พวกเราใช้เส้นทางน้ำในการเดินทางครั้งนี้
.
เรือที่พาเราเข้าไปคือเรือไฟเบอร์ท้องแบนลำไม่ใหญ่นัก ผมรีบพาตัวเองไปอยู่หัวเรือทันทีที่ก้าวลง ไม่ว่าอย่างไรก็ขอจองจุดชมทิวทัศน์ด้านหน้าไว้ก่อนใครจะมาแย่งนั่นแหละ แต่ผิดคาดแฮะ ดูท่าว่าจะไม่มีใครสนใจมาแย่งนั่งฝั่งหัวเรือกับผมเลย กลับดูเหมือนจะแย่งนั่งท้ายเรือกันมากกว่า โดยเฉพาะข้างฅนขับ
ผิดพลาดตรงไหนวะตู ผมชักเอะใจแล้ว ซึ่งกว่าจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อเรือเริ่มออกเดินทางแล่นไปตามผิวน้ำ กระทั่งตับไตไส้พุงของผมมันแทบพุ่งทะลักออกมาทางปากแล้วนั่นแหละ...
เป็นอะไรที่บรรยายไม่ถูกเลยทีเดียว กับการนั่งเรือท้องแบนแล่นตัดยอดคลื่น ซึ่งต้องอธิบายกันก่อนว่ามันไม่ใช่คลื่นลูกใหญ่ ๆ แบบที่เราเคยเห็นตอนไปเที่ยวทะเลนะครับ แต่จะเป็นคลื่นเล็ก ๆ พลิ้วอยู่บนผิวน้ำพอให้เรือได้สั่นสะเทือนจนผมนั่งก้นไม่ติดพื้นจริง ๆ และวิธีนั่งแบบก้นไม่ติดพื้นที่ว่าของผมนี้ก็คือ ต้องใช้ฝ่ามือวางแนบกับผิวเรือรองก้นไว้ และดันตัวดันก้นให้ลอยขึ้นมาไม่ให้สัมผัสสิ่งใด เป็นการนั่งโดยใช้ฝ่ามือรองรับน้ำหนักนั่นแหละครับ แฮ่
ฅนนั่งท้ายเรือก็จะสบายหน่อย เพราะท้องเรือส่วนท้ายจะต่ำกว่าน้ำ แรงกระแทกจึงมีน้อย ผิดกับส่วนหัวที่ถูกยกลอยรับแรงกระแทกกันแบบเต็ม ๆ และผมก็ต้องนั่งทุลักทุเลอย่างนั้นกระทั่งเรือเข้าคลอง จึงได้นั่งอย่างปกติเสียที เป็นประสบการณ์อันดีเยี่ยมจริง ๆ
.
เมื่อเรือเข้าคลองมาก็ได้ชมทิวทัศน์กับภาพที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน เรียกว่าฅนเขาอย่างผมนั้นไม่ค่อยได้รู้เห็นสภาพผู้ฅนที่อยู่ริมน้ำแบบนี้สักเท่าไร ก็อดตื่นเต้นไม่ได้นั่นแหละครับ
เรือพาเราเลยตัวจังหวัดออกมา เมื่อถึงหมู่เกาะเล็ก ๆ ซึ่งผมไม่ทราบว่าตรงนั้นมันมีชื่อว่าอะไร รู้แต่ว่ามันทำให้ผมตื่นตาตื่นใจได้อีก กับกลุ่มไม้ชายเลนที่ขึ้นเป็นเกาะเล็ก ๆ กระจายกันไป ลองนึกสภาพเมืองที่มีถนนตัดเป็นซอยเล็กซอยน้อยเชื่อมต่อกัน โดยในที่นี้ถนนก็คือสายน้ำ กำแพงตึกสองข้างทางก็คือแนวไม้ชายเลนที่ขึ้นเป็นเกาะนั่นเอง และเรือก็พาเราแล่นลัดเลาะเข้าซอยนั้นออกซอยนี้ก่อนหลุดพ้นออกมา
สายน้ำตอนนี้แม้จะแคบกว่าเดิมแต่ยังคงกว้างใหญ่อยู่ดี อย่างน้อยก็ในความรู้สึกของผม มีเรือประมงจอดอยู่ริมฝั่ง ป่าชายเลนบางแห่งเริ่มกลายเป็นนากุ้งกันบ้างแล้ว ไม่ทราบว่าปัจจุบันนี้มันจะยังเหลืออยู่เท่าไรเหมือนกัน
และแม้ว่าการมาทางเรือทำให้เราไม่ต้องจ่ายค่าผ่านทางตรงชายแดน แต่เรายังต้องจ่ายให้กับด่านระหว่างทางกันอีกอยู่ดี แต่ด่านทหารตามรายทางแบบนี้จะเก็บจากเจ้าของเรือเสียมากกว่า
.
ถึงตรงนี้หลายท่านอาจมีข้อสงสัยกันบ้างแล้วว่า การเข้ามาของเรามันดูเหมือนผิดกฎหมาย (จริง ๆ มันก็ผิดนั่นแหละ) แล้วมาเจอด่านรายทางแบบนี้เขาไม่มีการตรวจจับกันหรืออย่างไร ขอถือโอกาสอธิบายกันตรงนี้เลยนะครับว่า ในสมัยสงครามแบบนี้นั้นการตรวจสอบยังทำได้ยาก เนื่องจากเป็นสงครามที่พวกเขารบกันเอง ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร และตอนนั้นประเทศนี้ยังเหมือนสุญญากาศ หรือแผ่นดินไร้เจ้าของซึ่งถูกแบ่งแยกเป็นเสี่ยง ๆ ก็ว่าได้ อยู่ที่ว่าใครพวกมากกว่า ใครใหญ่กว่าใครมีกำลังกว่าก็ฉกฉวยกันไป แม้แต่ทหารที่ตั้งด่านอยู่เป็นระยะตลอดทางก็เถอะ บางครั้งยังยากจะตรวจสอบว่าสังกัดหน่วยไหนอย่างไร แม้แต่จะว่าเป็นทหารของแขมร์กรอฮอมหรือเสรีนั้น บางทียังตรวจสอบได้ยากเช่นกัน
สาเหตุที่ตรวจสอบได้ยากเพราะในสมัยนั้นการจัดตั้งกองกำลังดูจะเป็นเรื่องง่าย ใครหาฅนได้มีเสื้อผ้ามีอาวุธแจกก็มีกองกำลังกันได้แล้ว ส่วนเงินเดือนที่ต้องจ่ายให้พลทหารเหล่านี้ก็ไม่ต้องรองบประมาณจากไหน ได้จากพวกพ่อค้าไม้และค่าผ่านทางนั่นแหละครับ แต่ที่ว่ามานี้ท่านต้องมีพลัง (Power) พอตัวด้วยเช่นกันนะครัย
และการถูกจับกับการลักลอบเข้ามานี้ก็มีบ้างเหมือนกัน แต่จะไม่มีอะไรมาก แค่ส่งข่าวถึงลูกพี่หรือนายทุนให้นำเงินมาจ่ายค่าปรับหรือค่าไถ่ตัวกันก็จบ เรียกว่าพวกเขาต้องการแค่เงินมากกว่าจะสนใจจับเราจริงจังนั่นแหละครับ แฮ่ ไปต่อกันเลยดีกว่าครับ
.
เมื่อเรือพาเราลึกเข้ามาสองฝั่งน้ำก็ได้เห็นต้นหมากต้นมะพร้าวกันมากขึ้น สภาพแม่น้ำลำคลองแบบนี้ผมจะเคยเห็นก็แต่ในภาพถ่ายหรือในหนังเสียมากกว่า (หากสมัยนี้คงต้องบอกว่าในเฟซบุ๊ก) จึงอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อถึงเกาะกลางน้ำแห่งหนึ่ง ที่ดูเหมือนต้นหมากมะพร้าวและบ้านเรือนของผู้ฅนบนเกาะนั้น ลอยอยู่เหนือน้ำจากความราบเรียบของแผ่นดินเลยจริง ๆ ขณะเรือแล่นไปผมก็ได้แต่นั่งมอง แอบอิจฉาชาวบ้านบนเกาะนี้ไปด้วย อิจฉาที่พวกเขาได้อยู่บนแผ่นดินสวยงาม อย่างกับเกาะในความฝันจริง ๆ หากแต่สักพักเรือก็หันหัวเทียบท่า
“เราจะพักที่เกาะลอยนี่ก่อนเข้าป่ากัน” คำบอกของเพื่อนทำเอาผมแทบเก็บอาการไม่อยู่ ไม่คิดว่าจะได้ขึ้นไปสัมผัสสถานที่แบบนี้มาก่อน ไม่อยากจะเชื่ออีกเช่นกันว่าคืนนี้ผมจะได้หลับในดินแดนแห่งความฝัน
ส่วนพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไปครับ.