อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์
โดยละเว้
บทที่๕ เกาะโซน
หลังจากสองครั้งนั่นแล้วผมก็ได้เข้าป่าทางเกาะกงอีกเป็นหนที่สาม แต่คราวนี้เป็นการเข้าไปในนามของบริษัททำไม้ ยกระดับขึ้นมาหน่อย แฮ่
และเนื่องจากสองครั้งที่ว่านั่นดูจะได้ค่าแรงไม่หรือค่อยคุ้มสักเท่าไร หนนี้ผมจึงอดหวังไม่ได้ว่าคงจะดีกว่าที่ผ่านมา แต่อย่างว่านั่นแหละ ใดๆ ในโลกล้วนไม่มีอะไรแน่นอน
.
เราเดินทางไปรวมตัวกันที่สำนักงานซึ่งอยู่ในอำเภอคลองใหญ่ (ที่จริงมันคือบ้านที่เช่าไว้ให้เราได้พักก่อนขึ้นเขากันมากกว่า) ที่นี่มีหลายฅนมารอขึ้นเขาเหมือนกันกับเรา ต่างฅนต่างมาจากหลายที่ ทั้งทางเหนือและอีสานก็มี หลายฝ่ายหลายแผนก ฅนขับรถ ช่างซ่อมบำรุง หัวหน้ายันผู้จัดการ
เรารออยู่ที่นี่หลายวันเลยเหมือนกัน เรียกว่ากินนอนเที่ยวในอำเภอคลองใหญ่กันจนเบื่อ ความจริงมันคือสัญญาณบางอย่างแต่เราไม่ได้เฉลียวใจกันเท่านั้น ดีใจมากกว่าเมื่อในที่สุดก็มีคำสั่งให้เข้าป่าได้เสียที
ขบวนของเราถูกแยกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มที่มีรายชื่อเป็นพนักงานบริษัทจะนั่งรถขึ้นไปกัน ผมซึ่งตามเขามาในนาทีสุดท้ายทำให้ส่งเอกสารเพิ่มชื่อไม่ทัน จึงได้ไปทางเรืออีกเหมือนเคย แต่ก็ได้มอบเอกสารให้ทางบริษัทไปดำเนินการไว้เพื่อความสะดวกช่วงขากลับ
หนนี้เรานั่งเรือออกจากตัวจังหวัดเกาะกงไปหน่อยเดียวก็เลี้ยวซ้ายสู่เกาะโซน ตรงนี้มันจะเป็นเกาะจริง ๆ หรือแค่ชื่อก็สุดที่ผมจะบอกได้นะครับ แต่ในความรู้สึกมันจะไม่เหมือนเกาะเพราะไม่ได้อยู่กลางทะเล แต่ก็เอาแน่ไม่ได้เหมือนกัน เพราะแม้แต่เกาะกงอันเป็นที่มาของชื่อจังหวัดมันก็เป็นเกาะที่ดูไม่ค่อยจะเหมือนเกาะเพราะอยู่ไม่ห่างฝั่งมากนัก
เมื่อถึงแคมป์ที่เกาะโซนก็ได้เจอกลุ่มที่แยกมาฅนละทาง พวกเขามาถึงก่อนเรานานพอสมควร ที่นี่จะมีสภาพแบบที่พักไม้ซุงก่อนส่งขึ้นเรือนั่นแหละครับ มีกองซุง มีบ้านพัก มีเต็นท์ขนาดใหญ่สำหรับพักแรมรวมกัน เต็นท์ส่วนตัวก็มี มีโรงครัวหุงหาอาหารเลี้ยงพวกเรา และยังมีหน่วยพยาบาลด้วย ซึ่งเจ้าหน้าที่พยาบาลที่เห็นจะเป็นหญิงแขมร์สองฅน
“พยาบาลที่นี่เอะอะก็จะให้กินแต่ปลาร้า” พี่ชัยฅนขับรถซึ่งจะพาคณะของเราเดินทางต่อ (เพราะที่พักจริง ๆ ของเราต้องอยู่ในป่า) พูดขึ้นขณะรับประทานอาหารเตรียมตัวเดินทางกัน
“ปวดหัวก็ให้กินปลาร้า เป็นไข้ ก็ปลาร้า ปวดฟันปวดท้องให้กินแต่ปลาร้าหมด” แกยังคงพูดต่อขณะตักข้าวเข้าปาก
“ปลาร้านี่นะแก้ไข้” ผมถามออกไปกับความแปลกใจ แกหยิบซองยาจากกระเป๋าเสื้อออกมา
“เออ ปลาร้านี่แหละ” แกบอก ผมถึงบางอ้อ ยาพาราหรือพาราเซตามอลนั้น ฅนแขมร์จะออกเสียงว่า ‘ปารา’ ซึ่งบางครั้งมันก็ฟังเป็นปลาร้าจริง ๆ ผมอดยิ้มออกมาไม่ได้กับมุกของแก
เมื่ออิ่มหนำแล้วก็ออกเดินทางเข้าป่ากัน ต่อแรกเราลงเรือไปขึ้นที่ท่าน้ำแห่งหนึ่ง มีร้านค้าเล็ก ๆ ที่มองออกว่าเพิ่งเข้ามาตั้งขายพร้อมกับการเข้ามาของพ่อค้าไม้ ไม่ห่างกันนักมีค่ายทหาร ซึ่งเห็นมีทหารเด็กน่าจะอายุไม่เกินสิบสามขวบอยู่ที่นี่ฅนหนึ่งด้วย
แต่สิ่งพิเศษของสถานที่แห่งนี้นั้นต้องบอกว่ามันเป็นสถานที่ซึ่งผมอยากเรียกว่า ‘อันซีนแขแมร์’ กันเลยทีเดียว เพราะมันเป็นที่ซึ่งปลาทะเลกับปลาน้ำจืดสามารถจะมาทักทายกันได้ แต่จะเป็นอย่างไรอดใจไว้ก่อนครับ แฮ่... มีหลอกให้ลุ้น
.
จากท่าน้ำนี้เราเดินทางต่อด้วยรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อ มันพาเราไปตามถนนที่เพิ่งถูกตัดเข้าไปในป่า บางแห่งยังได้เห็นแบ็กโฮแทร็กเตอร์ทำงานกันอยู่ก็มี มีพลทหารสองนาย กับนายทหารซึ่งผมไม่ทราบยศอีกหนึ่งมาคอยคุ้มกันเราด้วย
รถมาส่งเราถึงที่มีสายน้ำหรือคลองเล็ก ๆ ขวางกั้นเส้นทางไว้ จากตรงนี้เราต้องเดินเท้าไปต่อกันเอง แต่ช่วงที่มาถึงนั้นเย็นมากแล้วเราจึงต้องพักที่นี่กันคืนหนึ่งก่อน เช้าค่อยว่ากันใหม่ และคราวนี้ผมก็ได้รู้จักคำว่า นอนกลางดินกินกลางทรายกันอย่างแท้จริง
ด้วยความที่คิดว่าจะพักที่นี่กันแค่หนึ่งคืนเท่านั้น เราจึงไม่ได้สร้างที่พักกัน คิดว่าอย่างไรก็นอนกันไปก่อนแค่คืนเดียวเอง
บนพื้นดินที่ไม่ต้องมีเสื่อหรือใบไม้ปูรองแต่อย่างใด นอกจากกระเป๋าใส่ผ้าที่เอามาหนุนต่างหมอน กับผ้าห่มแล้วก็ไม่มีอะไรอีก และมันไม่ใช่แค่คืนเดียวอย่างที่คิด รุ่งเช้าเราได้รับคำสั่งว่าให้รออยู่ที่นี่ก่อน ซึ่งเราก็ยังคิดกันว่าอาจจะสักวันหรือสองวันก็จะได้ไปต่อ และไม่ว่าอย่างไรก็นอนกันมาได้คืนหนึ่งแล้ว อีกคืนสองคืนจะเป็นไรไป แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้น หลายวันก็แล้วเรายังไม่ได้รับคำสั่งให้ไปต่อกันสักที ตรงนี้ความไม่ชอบมาพากลเริ่มชัดขึ้นแล้ว แต่เรายังไม่ได้เอะใจอะไรกัน
ความไม่ชอบมาพากลอีกอย่างเกิดขึ้นกับผมเช่นกัน ตอนนี้อยู่ ๆ ผมเริ่มรู้สึกเบื่ออาหารอย่างบอกไม่ถูก ผมรู้ว่ามันไม่ธรรมดาและคงได้แต่ภาวนา
.
ระหว่างที่รอคำสั่งอยู่นี้ในแต่ละวันของเราจึงมีเพียงกินกับนอน โขกหมากรุก ตีดัมมี่ บ้างหายิงนกตกปลากันไป สำหรับฅนชอบหากินทางน้ำนั้นที่นี่ดูจะเป็นสวรรค์ทีเดียว เพราะสัตว์น้ำมีชุกชุมมาก ฅนในคณะของเราฅนหนึ่งเอาเหล็กมางอทำเบ็ดตกตะพาบน้ำได้วันละตัวสองตัวเลยทีเดียว ปลาก็มีชุกชุมเช่นกัน แต่เราไม่มีเครื่องมือมาจับพวกมันจึงหาได้ไม่มากนัก พวกทหารนั้นบางทีเห็นใช้ M16 ยิงเอาก็มี
(ยิงปลาตัวเล็กอย่างปลาซิวปลาซ่า แรงอัดทำให้มันหงายท้องขึ้นมา)
และที่พอหากันได้อีกอย่างก็ดูจะเป็นกุ้ง ซึ่งจะออกหาแทงกันตอนกลางคืน แต่เรื่องนี้พูดไปก็อดเสียดายไม่หายจนป่านนี้ แม้จะหาได้มามากมาย แต่เราไม่เคยได้กินกุ้งสด ๆ กันหรอก กุ้งที่แทงได้ตั้งแต่ตอนกลางคืนนั้น กว่าจะเอามาต้มมายำทำแกงกันก็ตอนเช้า ที่เราได้กินจึงเป็นกุ้งเนื้อเละ ๆ แล้วทั้งนั้น ไอ้ครั้นที่ว่าได้มาใหม่หากรีบต้มรีบทำเก็บไว้ก็คงไม่เหลือถึงเช้า จะกลายเป็นกับแกล้มเหล้าไปเสียก่อน เราก็เลยต้องกินกุ้งเนื้อเละ ๆ กันไปอย่างที่บอก
อาหารการกินที่นี่นอกจากจะหาได้ง่ายแล้วเสบียงที่มีก็ยังเหลือเฟือ หมดเมื่อไรก็สั่งใหม่ได้เรื่อย ๆ ไม่มีอั้น งบของบริษัทอีกต่างหาก เรียกว่าแม้จะนอนกลางดินแต่ก็กินอย่างอิ่มหนำกลางทรายกันอยู่เหมือนกัน
.
กิจกรรมยามว่างอีกอย่างของเราก็คือเดินเที่ยว วันนั้นผมกับเพื่อนอีกสองฅน ข้ามคลองย้อนรอยตามทางที่เข้ามาออกไปกัน ตอนเช้ามีคณะของเรานั่งรถออกไปข้างนอกด้วย เราจึงคิดว่าหากเจอรถพวกเขากลับค่อยนั่งรถกลับพร้อมกัน เราเดินมานานมากก็ยังไม่มีวี่แววรถของพวกเขาแต่อย่างใด และเราก็เดินกันมาเรื่อย หนึ่งกิโล สองกิโล และหลายกิโลจนถึงท่าน้ำซึ่งเรานั่งเรือมาขึ้นที่นี่เมื่อหลายวันก่อน เราจึงได้เจอพวกที่มากับรถรวมกลุ่มอยู่ที่นั่น เขาต่างแปลกใจเหมือนกันที่พวกเราบ้าเดินออกมากันได้ หลังจากหาซื้อขนมจากร้านค้ากินกันเพื่อนก็ชวนไปเล่นน้ำ
“น้ำที่นี่ข้างบนเป็นน้ำจืดข้างล่างเป็นน้ำเค็มด้วยนะ” เพื่อนบอกกับผมขณะเดินนำไป มันอย่างไรกันหว่า ผมคิดในใจ เมื่อไปถึงจึงถึงบางอ้อ
ระหว่างกองหินระเกะระกะในคลองนั้น จะมีหินก้อนยาวก้อนหนึ่งเป็นเหมือนคันกั้นคลองไว้ โดยมีช่องเล็กพอระบายน้ำได้ ช่วงน้ำลงน้ำด้านล่างคันหินจะงวดลงไปถึงก้นคลอง น้ำจืดจะยังขังเต็มอยู่ด้านบนเพราะระบายลงล่างได้ทีละน้อย เมื่อน้ำขึ้นน้ำเค็มจะถูกอัดติดคันหินและน้ำจืดที่เต็มอยู่ก่อนแล้ว มันจึงเป็นสถานที่ซึ่งเราสามารถอาบน้ำทะเลและน้ำจืดได้ในเวลาเดียวกัน แค่ปีนข้ามคันหินนิดหน่อยเท่านั้นเอง
ซึ่งตรงนี้จะต่างจากน้ำตกตาไตที่ได้กล่าวถึงไปแล้วอยู่สักหน่อยนะครับ น้ำตกตาไตนั้นด้านบนจะเป็นน้ำจืดด้านล่างเป็นน้ำเค็มเหมือนที่นี่ แต่ระดับน้ำนั้นจะห่างกันมากและยังมีน้ำกร่อยคั่นด้วย ซึ่งที่นี่บางช่วงที่น้ำขึ้นท่วมคันหินนั้นมันอยู่จะอยู่ระดับเดียวกันเลย ไม่มีน้ำกร่อยกั้นกลางอีกต่างหาก ตรงนี้จึงถือได้ว่ามหัศจรรย์อย่างแท้จริง
อันซีนแขมร์ได้รับการเปิดเผยแล้ว แต่ความไม่ชอบมาพากลของบริษัทคืออะไร และสิ่งที่ผมเฝ้าภาวนายังคงรอเวลาเฉลย โปรดติดตามตอนต่อไปครับ.
อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์ (ตอนที่๕)
โดยละเว้
บทที่๕ เกาะโซน
หลังจากสองครั้งนั่นแล้วผมก็ได้เข้าป่าทางเกาะกงอีกเป็นหนที่สาม แต่คราวนี้เป็นการเข้าไปในนามของบริษัททำไม้ ยกระดับขึ้นมาหน่อย แฮ่
และเนื่องจากสองครั้งที่ว่านั่นดูจะได้ค่าแรงไม่หรือค่อยคุ้มสักเท่าไร หนนี้ผมจึงอดหวังไม่ได้ว่าคงจะดีกว่าที่ผ่านมา แต่อย่างว่านั่นแหละ ใดๆ ในโลกล้วนไม่มีอะไรแน่นอน
.
เราเดินทางไปรวมตัวกันที่สำนักงานซึ่งอยู่ในอำเภอคลองใหญ่ (ที่จริงมันคือบ้านที่เช่าไว้ให้เราได้พักก่อนขึ้นเขากันมากกว่า) ที่นี่มีหลายฅนมารอขึ้นเขาเหมือนกันกับเรา ต่างฅนต่างมาจากหลายที่ ทั้งทางเหนือและอีสานก็มี หลายฝ่ายหลายแผนก ฅนขับรถ ช่างซ่อมบำรุง หัวหน้ายันผู้จัดการ
เรารออยู่ที่นี่หลายวันเลยเหมือนกัน เรียกว่ากินนอนเที่ยวในอำเภอคลองใหญ่กันจนเบื่อ ความจริงมันคือสัญญาณบางอย่างแต่เราไม่ได้เฉลียวใจกันเท่านั้น ดีใจมากกว่าเมื่อในที่สุดก็มีคำสั่งให้เข้าป่าได้เสียที
ขบวนของเราถูกแยกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มที่มีรายชื่อเป็นพนักงานบริษัทจะนั่งรถขึ้นไปกัน ผมซึ่งตามเขามาในนาทีสุดท้ายทำให้ส่งเอกสารเพิ่มชื่อไม่ทัน จึงได้ไปทางเรืออีกเหมือนเคย แต่ก็ได้มอบเอกสารให้ทางบริษัทไปดำเนินการไว้เพื่อความสะดวกช่วงขากลับ
หนนี้เรานั่งเรือออกจากตัวจังหวัดเกาะกงไปหน่อยเดียวก็เลี้ยวซ้ายสู่เกาะโซน ตรงนี้มันจะเป็นเกาะจริง ๆ หรือแค่ชื่อก็สุดที่ผมจะบอกได้นะครับ แต่ในความรู้สึกมันจะไม่เหมือนเกาะเพราะไม่ได้อยู่กลางทะเล แต่ก็เอาแน่ไม่ได้เหมือนกัน เพราะแม้แต่เกาะกงอันเป็นที่มาของชื่อจังหวัดมันก็เป็นเกาะที่ดูไม่ค่อยจะเหมือนเกาะเพราะอยู่ไม่ห่างฝั่งมากนัก
เมื่อถึงแคมป์ที่เกาะโซนก็ได้เจอกลุ่มที่แยกมาฅนละทาง พวกเขามาถึงก่อนเรานานพอสมควร ที่นี่จะมีสภาพแบบที่พักไม้ซุงก่อนส่งขึ้นเรือนั่นแหละครับ มีกองซุง มีบ้านพัก มีเต็นท์ขนาดใหญ่สำหรับพักแรมรวมกัน เต็นท์ส่วนตัวก็มี มีโรงครัวหุงหาอาหารเลี้ยงพวกเรา และยังมีหน่วยพยาบาลด้วย ซึ่งเจ้าหน้าที่พยาบาลที่เห็นจะเป็นหญิงแขมร์สองฅน
“พยาบาลที่นี่เอะอะก็จะให้กินแต่ปลาร้า” พี่ชัยฅนขับรถซึ่งจะพาคณะของเราเดินทางต่อ (เพราะที่พักจริง ๆ ของเราต้องอยู่ในป่า) พูดขึ้นขณะรับประทานอาหารเตรียมตัวเดินทางกัน
“ปวดหัวก็ให้กินปลาร้า เป็นไข้ ก็ปลาร้า ปวดฟันปวดท้องให้กินแต่ปลาร้าหมด” แกยังคงพูดต่อขณะตักข้าวเข้าปาก
“ปลาร้านี่นะแก้ไข้” ผมถามออกไปกับความแปลกใจ แกหยิบซองยาจากกระเป๋าเสื้อออกมา
“เออ ปลาร้านี่แหละ” แกบอก ผมถึงบางอ้อ ยาพาราหรือพาราเซตามอลนั้น ฅนแขมร์จะออกเสียงว่า ‘ปารา’ ซึ่งบางครั้งมันก็ฟังเป็นปลาร้าจริง ๆ ผมอดยิ้มออกมาไม่ได้กับมุกของแก
เมื่ออิ่มหนำแล้วก็ออกเดินทางเข้าป่ากัน ต่อแรกเราลงเรือไปขึ้นที่ท่าน้ำแห่งหนึ่ง มีร้านค้าเล็ก ๆ ที่มองออกว่าเพิ่งเข้ามาตั้งขายพร้อมกับการเข้ามาของพ่อค้าไม้ ไม่ห่างกันนักมีค่ายทหาร ซึ่งเห็นมีทหารเด็กน่าจะอายุไม่เกินสิบสามขวบอยู่ที่นี่ฅนหนึ่งด้วย
แต่สิ่งพิเศษของสถานที่แห่งนี้นั้นต้องบอกว่ามันเป็นสถานที่ซึ่งผมอยากเรียกว่า ‘อันซีนแขแมร์’ กันเลยทีเดียว เพราะมันเป็นที่ซึ่งปลาทะเลกับปลาน้ำจืดสามารถจะมาทักทายกันได้ แต่จะเป็นอย่างไรอดใจไว้ก่อนครับ แฮ่... มีหลอกให้ลุ้น
.
จากท่าน้ำนี้เราเดินทางต่อด้วยรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อ มันพาเราไปตามถนนที่เพิ่งถูกตัดเข้าไปในป่า บางแห่งยังได้เห็นแบ็กโฮแทร็กเตอร์ทำงานกันอยู่ก็มี มีพลทหารสองนาย กับนายทหารซึ่งผมไม่ทราบยศอีกหนึ่งมาคอยคุ้มกันเราด้วย
รถมาส่งเราถึงที่มีสายน้ำหรือคลองเล็ก ๆ ขวางกั้นเส้นทางไว้ จากตรงนี้เราต้องเดินเท้าไปต่อกันเอง แต่ช่วงที่มาถึงนั้นเย็นมากแล้วเราจึงต้องพักที่นี่กันคืนหนึ่งก่อน เช้าค่อยว่ากันใหม่ และคราวนี้ผมก็ได้รู้จักคำว่า นอนกลางดินกินกลางทรายกันอย่างแท้จริง
ด้วยความที่คิดว่าจะพักที่นี่กันแค่หนึ่งคืนเท่านั้น เราจึงไม่ได้สร้างที่พักกัน คิดว่าอย่างไรก็นอนกันไปก่อนแค่คืนเดียวเอง
บนพื้นดินที่ไม่ต้องมีเสื่อหรือใบไม้ปูรองแต่อย่างใด นอกจากกระเป๋าใส่ผ้าที่เอามาหนุนต่างหมอน กับผ้าห่มแล้วก็ไม่มีอะไรอีก และมันไม่ใช่แค่คืนเดียวอย่างที่คิด รุ่งเช้าเราได้รับคำสั่งว่าให้รออยู่ที่นี่ก่อน ซึ่งเราก็ยังคิดกันว่าอาจจะสักวันหรือสองวันก็จะได้ไปต่อ และไม่ว่าอย่างไรก็นอนกันมาได้คืนหนึ่งแล้ว อีกคืนสองคืนจะเป็นไรไป แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้น หลายวันก็แล้วเรายังไม่ได้รับคำสั่งให้ไปต่อกันสักที ตรงนี้ความไม่ชอบมาพากลเริ่มชัดขึ้นแล้ว แต่เรายังไม่ได้เอะใจอะไรกัน
ความไม่ชอบมาพากลอีกอย่างเกิดขึ้นกับผมเช่นกัน ตอนนี้อยู่ ๆ ผมเริ่มรู้สึกเบื่ออาหารอย่างบอกไม่ถูก ผมรู้ว่ามันไม่ธรรมดาและคงได้แต่ภาวนา
.
ระหว่างที่รอคำสั่งอยู่นี้ในแต่ละวันของเราจึงมีเพียงกินกับนอน โขกหมากรุก ตีดัมมี่ บ้างหายิงนกตกปลากันไป สำหรับฅนชอบหากินทางน้ำนั้นที่นี่ดูจะเป็นสวรรค์ทีเดียว เพราะสัตว์น้ำมีชุกชุมมาก ฅนในคณะของเราฅนหนึ่งเอาเหล็กมางอทำเบ็ดตกตะพาบน้ำได้วันละตัวสองตัวเลยทีเดียว ปลาก็มีชุกชุมเช่นกัน แต่เราไม่มีเครื่องมือมาจับพวกมันจึงหาได้ไม่มากนัก พวกทหารนั้นบางทีเห็นใช้ M16 ยิงเอาก็มี
(ยิงปลาตัวเล็กอย่างปลาซิวปลาซ่า แรงอัดทำให้มันหงายท้องขึ้นมา)
และที่พอหากันได้อีกอย่างก็ดูจะเป็นกุ้ง ซึ่งจะออกหาแทงกันตอนกลางคืน แต่เรื่องนี้พูดไปก็อดเสียดายไม่หายจนป่านนี้ แม้จะหาได้มามากมาย แต่เราไม่เคยได้กินกุ้งสด ๆ กันหรอก กุ้งที่แทงได้ตั้งแต่ตอนกลางคืนนั้น กว่าจะเอามาต้มมายำทำแกงกันก็ตอนเช้า ที่เราได้กินจึงเป็นกุ้งเนื้อเละ ๆ แล้วทั้งนั้น ไอ้ครั้นที่ว่าได้มาใหม่หากรีบต้มรีบทำเก็บไว้ก็คงไม่เหลือถึงเช้า จะกลายเป็นกับแกล้มเหล้าไปเสียก่อน เราก็เลยต้องกินกุ้งเนื้อเละ ๆ กันไปอย่างที่บอก
อาหารการกินที่นี่นอกจากจะหาได้ง่ายแล้วเสบียงที่มีก็ยังเหลือเฟือ หมดเมื่อไรก็สั่งใหม่ได้เรื่อย ๆ ไม่มีอั้น งบของบริษัทอีกต่างหาก เรียกว่าแม้จะนอนกลางดินแต่ก็กินอย่างอิ่มหนำกลางทรายกันอยู่เหมือนกัน
.
กิจกรรมยามว่างอีกอย่างของเราก็คือเดินเที่ยว วันนั้นผมกับเพื่อนอีกสองฅน ข้ามคลองย้อนรอยตามทางที่เข้ามาออกไปกัน ตอนเช้ามีคณะของเรานั่งรถออกไปข้างนอกด้วย เราจึงคิดว่าหากเจอรถพวกเขากลับค่อยนั่งรถกลับพร้อมกัน เราเดินมานานมากก็ยังไม่มีวี่แววรถของพวกเขาแต่อย่างใด และเราก็เดินกันมาเรื่อย หนึ่งกิโล สองกิโล และหลายกิโลจนถึงท่าน้ำซึ่งเรานั่งเรือมาขึ้นที่นี่เมื่อหลายวันก่อน เราจึงได้เจอพวกที่มากับรถรวมกลุ่มอยู่ที่นั่น เขาต่างแปลกใจเหมือนกันที่พวกเราบ้าเดินออกมากันได้ หลังจากหาซื้อขนมจากร้านค้ากินกันเพื่อนก็ชวนไปเล่นน้ำ
“น้ำที่นี่ข้างบนเป็นน้ำจืดข้างล่างเป็นน้ำเค็มด้วยนะ” เพื่อนบอกกับผมขณะเดินนำไป มันอย่างไรกันหว่า ผมคิดในใจ เมื่อไปถึงจึงถึงบางอ้อ
ระหว่างกองหินระเกะระกะในคลองนั้น จะมีหินก้อนยาวก้อนหนึ่งเป็นเหมือนคันกั้นคลองไว้ โดยมีช่องเล็กพอระบายน้ำได้ ช่วงน้ำลงน้ำด้านล่างคันหินจะงวดลงไปถึงก้นคลอง น้ำจืดจะยังขังเต็มอยู่ด้านบนเพราะระบายลงล่างได้ทีละน้อย เมื่อน้ำขึ้นน้ำเค็มจะถูกอัดติดคันหินและน้ำจืดที่เต็มอยู่ก่อนแล้ว มันจึงเป็นสถานที่ซึ่งเราสามารถอาบน้ำทะเลและน้ำจืดได้ในเวลาเดียวกัน แค่ปีนข้ามคันหินนิดหน่อยเท่านั้นเอง
ซึ่งตรงนี้จะต่างจากน้ำตกตาไตที่ได้กล่าวถึงไปแล้วอยู่สักหน่อยนะครับ น้ำตกตาไตนั้นด้านบนจะเป็นน้ำจืดด้านล่างเป็นน้ำเค็มเหมือนที่นี่ แต่ระดับน้ำนั้นจะห่างกันมากและยังมีน้ำกร่อยคั่นด้วย ซึ่งที่นี่บางช่วงที่น้ำขึ้นท่วมคันหินนั้นมันอยู่จะอยู่ระดับเดียวกันเลย ไม่มีน้ำกร่อยกั้นกลางอีกต่างหาก ตรงนี้จึงถือได้ว่ามหัศจรรย์อย่างแท้จริง
อันซีนแขมร์ได้รับการเปิดเผยแล้ว แต่ความไม่ชอบมาพากลของบริษัทคืออะไร และสิ่งที่ผมเฝ้าภาวนายังคงรอเวลาเฉลย โปรดติดตามตอนต่อไปครับ.