สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 27
เป็นเรา เราก็ดูถูกในใจนะ ยังเรียนอยู่ ขอเงินพ่อแม่ใช้ แต่มามีสามีนอกสมรสซะแล้ว จะให้เราเอ็นดูเหรอ เกิดท้องไส้หรือเป็นอะไรมาก็ไม่พ้นต้องพึ่งพ่อแม่ ผู้ชายยังเอาตัวไม่รอด ริจะมีเมีย แม่ก็ต้องเบรคมั๊ย ที่ถูกต้องคือต้องจัดลูกชายตัวเองด้วย ตัดเงินไปเลย เพราะมั่นใจว่าโตแล้วมีเมียได้ ก็ต้องเลี้ยงตัวเองได้
ถามง่ายๆ คอนโดของใคร ค่ากินอยู่เงินใคร หากินเองหรือเงินพ่อแม่คะ และที่บอกทำงานหารายได้เสริมด้วยกันเงินตรงนั้นเอามากินอยู่รับผิดชอบชีวิตตัวเอง หรือแค่เงินเสริมจากที่พ่อแม่ให้เพื่อเอาไปใช้จ่ายสนุกๆของตัวเอง
แล้วลูกสาวใคร ทำไมพ่อแม่ส่งเรียนแต่มามีสามี ยิ่งถ้ารู้ว่าบ้านผู้หญิงโอเค บ้านผู้ชายที่ถือจะยิ่งมองว่าผู้หญิงมาจากบ้านแบบไหนให้ลูกสาวมาอยู่นอนค้างอ้างแรมกับผู้ชายบ่อยจนทิ้งเสื้อทิ้งผ้าไว้ ทั้งที่ยังรับผิดชอบตัวเองไม่ได้ทั้งคู่
ถ้าเรียนจบ ทำงานแล้ว สมมติจะอยู่กินกันไม่แต่งก็แล้วแต่เลย พ่อแม่ไม่ยุ่ง
สรุป คุณหัดวางตัวให้เหมาะสมก่อน ไม่ใช่ดันทุรังแต่จะให้แม่เขารับสิ่งที่คุณอยากทำ คบกันแบบแฟน วางตัวปกติ เหมาะสม มีเกียรติ พอเรียนจบถ้ายังคบกันก็เรียนรู้กันไป
คนสมัยนี้ไม่รู้จักการวางตัว เอะอะอ้างค่านิยมสมัยใหม่ ในขณะที่คนประเทศพัฒนาแล้วถ้าจะมีผัวมีเมียเขาจะรับผิดชอบตัวเองก่อน ส่งเสียตัวเองเรียน เกิดอะไรขึ้นรับผิดชอบตัวเองได้ ไม่มาวุ่นวายพ่อแม่ แต่คนไทย สักแต่จะเอาแค่สิ่งที่ตัวเองอยากทำ ปากบอกฉันโตแล้วแต่เกิดอะไรขึ้นร้องไห้หาพ่อแม่ เหมือนคนโตแค่บางส่วนของร่างกาย แล้วจะมาหวังให้คนอื่นยอมรับ ใครไม่รับคือหัวโบราณ แต่เกิดปัญหาอะไรก็รับผิดชอบเองไม่ไหว เพ้อเจ้อมาก
ถามง่ายๆ คอนโดของใคร ค่ากินอยู่เงินใคร หากินเองหรือเงินพ่อแม่คะ และที่บอกทำงานหารายได้เสริมด้วยกันเงินตรงนั้นเอามากินอยู่รับผิดชอบชีวิตตัวเอง หรือแค่เงินเสริมจากที่พ่อแม่ให้เพื่อเอาไปใช้จ่ายสนุกๆของตัวเอง
แล้วลูกสาวใคร ทำไมพ่อแม่ส่งเรียนแต่มามีสามี ยิ่งถ้ารู้ว่าบ้านผู้หญิงโอเค บ้านผู้ชายที่ถือจะยิ่งมองว่าผู้หญิงมาจากบ้านแบบไหนให้ลูกสาวมาอยู่นอนค้างอ้างแรมกับผู้ชายบ่อยจนทิ้งเสื้อทิ้งผ้าไว้ ทั้งที่ยังรับผิดชอบตัวเองไม่ได้ทั้งคู่
ถ้าเรียนจบ ทำงานแล้ว สมมติจะอยู่กินกันไม่แต่งก็แล้วแต่เลย พ่อแม่ไม่ยุ่ง
สรุป คุณหัดวางตัวให้เหมาะสมก่อน ไม่ใช่ดันทุรังแต่จะให้แม่เขารับสิ่งที่คุณอยากทำ คบกันแบบแฟน วางตัวปกติ เหมาะสม มีเกียรติ พอเรียนจบถ้ายังคบกันก็เรียนรู้กันไป
คนสมัยนี้ไม่รู้จักการวางตัว เอะอะอ้างค่านิยมสมัยใหม่ ในขณะที่คนประเทศพัฒนาแล้วถ้าจะมีผัวมีเมียเขาจะรับผิดชอบตัวเองก่อน ส่งเสียตัวเองเรียน เกิดอะไรขึ้นรับผิดชอบตัวเองได้ ไม่มาวุ่นวายพ่อแม่ แต่คนไทย สักแต่จะเอาแค่สิ่งที่ตัวเองอยากทำ ปากบอกฉันโตแล้วแต่เกิดอะไรขึ้นร้องไห้หาพ่อแม่ เหมือนคนโตแค่บางส่วนของร่างกาย แล้วจะมาหวังให้คนอื่นยอมรับ ใครไม่รับคือหัวโบราณ แต่เกิดปัญหาอะไรก็รับผิดชอบเองไม่ไหว เพ้อเจ้อมาก
ความคิดเห็นที่ 7
น้องควรจัดย่อหน้า และการเว้นบรรทัดให้อ่านง่ายค่ะ ยิ่งเนื้อหายาวๆ คนอ่านจะได้ไม่ตาลาย
ลองมองแบบคนเป็นพ่อแม่ เขาเลี้ยงลูกชายมา อาจจะเป็นความหวังของบ้าน ยิ่งลูกคนโต เขาก็อยากให้เรียนจบทำงานทำการก่อน อาจจะบวชตามธรรมเนียมก่อนค่อยมีแฟนหรือมีเมีย
มันไม่ใช่ทุกบ้านที่จะยอมรับให้ลูกมีคู่อยู่กันแบบคู่ผัวตัวเมียได้ตั้งแต่อายุยังน้อย
เขาอาจไม่รู้หรอกว่าจริงๆ แล้วน้องคบกันลึกซึ้งแค่ไหน แต่จากที่เห็นตามสื่อและทั่วไป เด็กมหาลัยหลายคนมักอยู่กันเป็นคู่ผัวตัวเมียกันเขาคงไม่ชอบ และห่วงว่าลูกเขาจะเป็นแบบนั้น กลัวจะหมกมุ่นอยู่กับแฟนมากไป
การมาเยี่ยมลูก ก็เหมือนมาตรวจดูไปด้วยในตัว แล้วยิ่งไปเจอเสื้อผู้หญิงอยู่ในห้องมันยิ่งทำให้คิดไปว่าน้องคงได้กันแล้ว และมานอนด้วยกันบ่อยๆ ขนาดทิ้งเสื้อผ้าไว้เลย
ข้อนี้น้องพลาดทำให้เขาคิดแบบนั้นเอง จะไปโกรธเขาเรื่องนี้ก็ไม่ได้
ความเห็นพี่นะ จากสมัยก่อนตอนวัยรุ่นพอจะคบใครแล้วแม่จะสอดส่องและอคติไปก่อน อาจด้วยความเป็นห่วงแหละ แต่พี่ไม่ชอบ พี่ก็คบไม่ให้เขาเห็นค่ะ เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย ทั้งแม่ ทั้งแฟน และตัวเราเอง
และอีกอย่างเราไม่รู้ว่าคนที่เราคบจะคบกันไปได้ไกลแค่ไหน แม้เราคิดว่าเราเลือกคนดีที่สุดแล้วแต่บางทีความที่เราต่างก็ยังเด็กเราก็ยังอาจจะรู้จักกันไม่ทั้งหมด ( แม้เราจะคิดว่าเรารู้จักเขาดี แต่วันข้างหน้าเราต่างก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ตามวัย สิ่งแวดล้อม และประสบการณ์ )
ถ้าเราเปิดเผยมากไปก่อนว่าเราคบใคร แล้วพอมาวันนึงเราไปกันต่อไม่ได้ก็เลิก พอคบคนใหม่ คนก็จะเห็นแต่ตอนคบกัน/เลิกกันๆ เดี๋ยวคบคนใหม่อีก ก็จะตีความกันไปก่อนว่าเราไม่ดีเป็นแบบนั้นแบบนี้ ปากคนก็พูดกันไป ตัวอย่างคนดังก็มีให้เห็น ถ้ายิ่งแม่แฟนมาได้ยินก็จะยิ่งรู้สึกลบ
ณ วันนี้น้องจะรักเขาก็รักไป แต่ให้เผื่อใจรักตัวเองด้วย
จะคบก็คบไป แต่ก็อย่าไปแสดงตัวให้แม่เขาเห็นนักค่ะ
ทำชีวิตตัวน้องให้ดี ตั้งใจเรียนจบมาเกรดดี หางานที่ดีทำ ทำชีวิตครอบครัวเดิมกับพ่อกับแม่ให้ดี โฟกัสที่สิ่งเหล่านี้ก่อน พิสูจน์ตัวเอง วันข้างหน้าเขาก็อาจยอมรับในตัวน้องค่ะ
หรือ ถ้าแม่เขาไม่ยอมรับ หรือแม้ว่าเราไม่ได้ไปต่อกับคนนี้ แต่เราก็จะมีความภาคภูมิใจในตัวเอง และมีค่าในสายตาคนอื่นด้วยค่ะ
_______________________
พี่จะเล่าเรื่องย่ากับแม่พี่
ฐานะทางบ้านพ่อดีกว่าทางแม่ แม้ปู่ย่าจะเป็นเกษตรกร
พ่อเป็นลูกคนโตเป็นหัวแก้วหัวแหวนเลย เป็นความหวังของปู่ย่า
พ่อพี่ดิ้นรนจนเรียนจบ บวช และสอบได้งานที่ดีทำ
ระหว่างนั้นก็ไปเจอแม่และชอบกันตอนไหนก็ไม่รู้
ทางบ้านแม่พี่เป็นแม่ค้าฐานะไม่ค่อยดี เพราะยายมีลูกเยอะตาก็ขี้เมา
พอย่าเขารู้ก็ไม่ชอบ กลัวว่าแม่จะมาเกาะ
แต่เขาก็จำยอมให้แต่งกันตอนที่พ่อพี่ได้งานที่ดีทำมาระยะนึง และส่งเสียปู่ย่า มาตลอดแม้แต่งงานแล้ว
ตอนพี่เด็กๆ จำได้ว่าเขาก็ไม่ค่อยชอบแม่นักนะ แต่ไม่เคยกระทบกระทั่งหรือมีปัญหากัน
คงเพราะพ่อพี่ต้องย้ายไปทำงานต่างจังหวัดด้วย แม่ย้ายตามด้วย ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันกับย่า เลยไม่ได้มีความกดดันกันนัก ปีนึงเจอย่าไม่กี่ครั้ง และแม่พี่ก็เป็นฝ่ายยอมอ่อนเข้าหาเองด้วย
ตอนพี่ยังเด็กแม่เป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกอย่างเดียว แต่แม่ก็พยายามหาอาชีพเสริมทำก๊อกๆ แก๊กๆ พอลูกโตหน่อยตัวเองก็ไปเรียนวิชาชีพเพิ่ม ตอนหลังจับพลัดจับผลูมีกิจการส่วนตัว และรายได้ดีมากกว่าพ่ออีก จนเป็นรายได้ส่วนใหญ่ของที่บ้านแทนก็เลยมีฐานะขึ้นมา
จนตอนหลังย่าก็ยอมรับแม่ รักกันเหมือนเป็นแม่เป็นลูกกันจริงๆ
คนยุคก่อนส่วนใหญ่ไม่ค่อยยอมรับเขยหรือสะใภ้ง่ายๆ กันนะคะ เป็นเรื่องปรกติ เพราะเขาก็รักก็หวงลูกเขา เลี้ยงดูฟูมฟักมา เขาก็อยากให้ชีวิตอยู่ในขอบเขตไปตามสเต็ป ไม่ค่อยอยากให้มีความรักในวัยเรียน จนพึ่งมายุคหลังสมัยใหม่นี่ที่เปิดกว้างเปิดรับกันมากขึ้น น้องเกิดมาสมัยนี้พอเจอเรื่องแบบนี้เลยมองว่ามันหนักหนา เครียด
เชื่อตามที่พี่แนะนำไปเถอะค่ะ คบกันเงียบๆ ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องเปิดตัวมาก และโฟกัสที่ตัวเอง พาตัวเองไปให้ประสบความสำเร็จ สักวันเขาจะยอมรับเอง แต่ต้องใช้เวลา
แต่น้องอย่าไปแรงใส่เขา หาทางหลบเลี่ยงไปก่อนเพื่อลดการปะทะค่ะ
ส่วนเรื่องที่ผ่านมาที่เล่ามาปล่อยผ่านเบลอไปเถอะค่ะ อย่าเก็บเอามาเป็นอารมณ์เลย
ลองมองแบบคนเป็นพ่อแม่ เขาเลี้ยงลูกชายมา อาจจะเป็นความหวังของบ้าน ยิ่งลูกคนโต เขาก็อยากให้เรียนจบทำงานทำการก่อน อาจจะบวชตามธรรมเนียมก่อนค่อยมีแฟนหรือมีเมีย
มันไม่ใช่ทุกบ้านที่จะยอมรับให้ลูกมีคู่อยู่กันแบบคู่ผัวตัวเมียได้ตั้งแต่อายุยังน้อย
เขาอาจไม่รู้หรอกว่าจริงๆ แล้วน้องคบกันลึกซึ้งแค่ไหน แต่จากที่เห็นตามสื่อและทั่วไป เด็กมหาลัยหลายคนมักอยู่กันเป็นคู่ผัวตัวเมียกันเขาคงไม่ชอบ และห่วงว่าลูกเขาจะเป็นแบบนั้น กลัวจะหมกมุ่นอยู่กับแฟนมากไป
การมาเยี่ยมลูก ก็เหมือนมาตรวจดูไปด้วยในตัว แล้วยิ่งไปเจอเสื้อผู้หญิงอยู่ในห้องมันยิ่งทำให้คิดไปว่าน้องคงได้กันแล้ว และมานอนด้วยกันบ่อยๆ ขนาดทิ้งเสื้อผ้าไว้เลย
ข้อนี้น้องพลาดทำให้เขาคิดแบบนั้นเอง จะไปโกรธเขาเรื่องนี้ก็ไม่ได้
ความเห็นพี่นะ จากสมัยก่อนตอนวัยรุ่นพอจะคบใครแล้วแม่จะสอดส่องและอคติไปก่อน อาจด้วยความเป็นห่วงแหละ แต่พี่ไม่ชอบ พี่ก็คบไม่ให้เขาเห็นค่ะ เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย ทั้งแม่ ทั้งแฟน และตัวเราเอง
และอีกอย่างเราไม่รู้ว่าคนที่เราคบจะคบกันไปได้ไกลแค่ไหน แม้เราคิดว่าเราเลือกคนดีที่สุดแล้วแต่บางทีความที่เราต่างก็ยังเด็กเราก็ยังอาจจะรู้จักกันไม่ทั้งหมด ( แม้เราจะคิดว่าเรารู้จักเขาดี แต่วันข้างหน้าเราต่างก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ตามวัย สิ่งแวดล้อม และประสบการณ์ )
ถ้าเราเปิดเผยมากไปก่อนว่าเราคบใคร แล้วพอมาวันนึงเราไปกันต่อไม่ได้ก็เลิก พอคบคนใหม่ คนก็จะเห็นแต่ตอนคบกัน/เลิกกันๆ เดี๋ยวคบคนใหม่อีก ก็จะตีความกันไปก่อนว่าเราไม่ดีเป็นแบบนั้นแบบนี้ ปากคนก็พูดกันไป ตัวอย่างคนดังก็มีให้เห็น ถ้ายิ่งแม่แฟนมาได้ยินก็จะยิ่งรู้สึกลบ
ณ วันนี้น้องจะรักเขาก็รักไป แต่ให้เผื่อใจรักตัวเองด้วย
จะคบก็คบไป แต่ก็อย่าไปแสดงตัวให้แม่เขาเห็นนักค่ะ
ทำชีวิตตัวน้องให้ดี ตั้งใจเรียนจบมาเกรดดี หางานที่ดีทำ ทำชีวิตครอบครัวเดิมกับพ่อกับแม่ให้ดี โฟกัสที่สิ่งเหล่านี้ก่อน พิสูจน์ตัวเอง วันข้างหน้าเขาก็อาจยอมรับในตัวน้องค่ะ
หรือ ถ้าแม่เขาไม่ยอมรับ หรือแม้ว่าเราไม่ได้ไปต่อกับคนนี้ แต่เราก็จะมีความภาคภูมิใจในตัวเอง และมีค่าในสายตาคนอื่นด้วยค่ะ
_______________________
พี่จะเล่าเรื่องย่ากับแม่พี่
ฐานะทางบ้านพ่อดีกว่าทางแม่ แม้ปู่ย่าจะเป็นเกษตรกร
พ่อเป็นลูกคนโตเป็นหัวแก้วหัวแหวนเลย เป็นความหวังของปู่ย่า
พ่อพี่ดิ้นรนจนเรียนจบ บวช และสอบได้งานที่ดีทำ
ระหว่างนั้นก็ไปเจอแม่และชอบกันตอนไหนก็ไม่รู้
ทางบ้านแม่พี่เป็นแม่ค้าฐานะไม่ค่อยดี เพราะยายมีลูกเยอะตาก็ขี้เมา
พอย่าเขารู้ก็ไม่ชอบ กลัวว่าแม่จะมาเกาะ
แต่เขาก็จำยอมให้แต่งกันตอนที่พ่อพี่ได้งานที่ดีทำมาระยะนึง และส่งเสียปู่ย่า มาตลอดแม้แต่งงานแล้ว
ตอนพี่เด็กๆ จำได้ว่าเขาก็ไม่ค่อยชอบแม่นักนะ แต่ไม่เคยกระทบกระทั่งหรือมีปัญหากัน
คงเพราะพ่อพี่ต้องย้ายไปทำงานต่างจังหวัดด้วย แม่ย้ายตามด้วย ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันกับย่า เลยไม่ได้มีความกดดันกันนัก ปีนึงเจอย่าไม่กี่ครั้ง และแม่พี่ก็เป็นฝ่ายยอมอ่อนเข้าหาเองด้วย
ตอนพี่ยังเด็กแม่เป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกอย่างเดียว แต่แม่ก็พยายามหาอาชีพเสริมทำก๊อกๆ แก๊กๆ พอลูกโตหน่อยตัวเองก็ไปเรียนวิชาชีพเพิ่ม ตอนหลังจับพลัดจับผลูมีกิจการส่วนตัว และรายได้ดีมากกว่าพ่ออีก จนเป็นรายได้ส่วนใหญ่ของที่บ้านแทนก็เลยมีฐานะขึ้นมา
จนตอนหลังย่าก็ยอมรับแม่ รักกันเหมือนเป็นแม่เป็นลูกกันจริงๆ
คนยุคก่อนส่วนใหญ่ไม่ค่อยยอมรับเขยหรือสะใภ้ง่ายๆ กันนะคะ เป็นเรื่องปรกติ เพราะเขาก็รักก็หวงลูกเขา เลี้ยงดูฟูมฟักมา เขาก็อยากให้ชีวิตอยู่ในขอบเขตไปตามสเต็ป ไม่ค่อยอยากให้มีความรักในวัยเรียน จนพึ่งมายุคหลังสมัยใหม่นี่ที่เปิดกว้างเปิดรับกันมากขึ้น น้องเกิดมาสมัยนี้พอเจอเรื่องแบบนี้เลยมองว่ามันหนักหนา เครียด
เชื่อตามที่พี่แนะนำไปเถอะค่ะ คบกันเงียบๆ ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องเปิดตัวมาก และโฟกัสที่ตัวเอง พาตัวเองไปให้ประสบความสำเร็จ สักวันเขาจะยอมรับเอง แต่ต้องใช้เวลา
แต่น้องอย่าไปแรงใส่เขา หาทางหลบเลี่ยงไปก่อนเพื่อลดการปะทะค่ะ
ส่วนเรื่องที่ผ่านมาที่เล่ามาปล่อยผ่านเบลอไปเถอะค่ะ อย่าเก็บเอามาเป็นอารมณ์เลย
แสดงความคิดเห็น
ปัญหาแม่แฟนกับสงครามประสาทค่ะ ขอสอบถามประกอบการตัดสินใจ !
ขอเกริ่นก่อนว่าเราอายุ 22 ปีค่ะ ตอนนี้อยู่ปี4แล้ว เรากับแฟนคบกันมาปีนี้เข้าปีที่3ค่ะ เข้าเรื่องเลยแล้วกันเพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เรื่องราวการเริ่มต้นควมปวดหัวนี้ เกิดเมื่อปีกว่าๆที่ผ่านมาและเราก็เครีนดมาจนถึงทุกวันนี้ค่ะ คือเรากับแฟนเจอกันที่มหาวิทยาลัยที่ กทม. เราทั้งคู่เป็นคนต่างจังหวัดค่ะ เวลากลับบ้านก็โทรหากันตลอด แม่กับพ่อเรารู้และสนับสนุนเราทั้งสองคนมากๆ มีบ่อยครั้งที่เราถามแฟนว่าพ่อกับแม่แฟนรู้เรื่องเราสองคนมั้ย เค้าก็บอกว่ารู้แค่ชื่อและเคยรู้จักหน้าเราผ่านรูปถ่ายในกระเป๋าตังเท่านั้นค่ะ เราก็โอเคค พอเวลาผ่านมา1ปีเศษ แม่แฟนเรามาเยี่ยมแฟนเราที่คอนโดค่ะ (เรากับแฟนอยู่คอนโดเดียวกัน ชั้นเดียวกันแต่คนละห้องค่ะ) วันนั้นเรากำลังจะออกไปเรียน แล้วไปเจอแม่แฟนเราที่หน้าลิฟต์ คุณแม่ก็มองหน้าเราและทำหน้าคัลบคล้ายคลับคลาค่ะ เราก็สองจิตสองใจควรทำยังไง แต่จังหวะนั้นเราคิดแค่ว่าเจอผู้ใหญ้ก็ควรไหว้สักหน่อย เราก็ทำการไหว้ไป1 และแนะนำตัวว่าเป็นเพื่อนAค่ะ (นามสมมติแฟนเราค่ะ) แม่ก็ อ่อค่ะ แล้วมองเราในลิฟต์สักครู่ หน้าตาไม่ค่อยเป็นมิตรมากนัก หลังจากที่เรากลับมาจากเรียนแฟนเราก็บอกว่า พอคุณแม่เจอเราที่ลิฟต์ คุณแม่ก็เข้ามาในห้องแล้วเริ่มเปิดดูที่ตู้เสื้อผ้าค่ะ แล้วคุณแม่เห็นว่ามีเสื้อของผญอยู่ แล้วแม่ถามแฟนเราว่าของใคร แฟนบอกว่าของเรา เราเอาเสื้อมาเปลี่ยนอะไรทำนองนี้ เลยตำหนิแฟนเราว่าพฤติกรรมแบบนี้คุณแม่ไม่โอเค และบอกว่าเราเป็นผญใจง่าย อ่อยผู้ชาย และตำหนิเราสารพัด บอกแฟนเราว่าคราวหน้าคราวหลังอย่าให้ ''บุคคลไม่พึงประสงค์'' เข้ามาในห้องอีก (แฟนเราเล่าแบบกั้กๆ เหมือนเล่าไม่หมด แต่อันนี้คือเราแอบไปอ่านในแชทมาค่ะ) เราร้องไห้และทำตัวไม่ถูกถึงขั้นว่าคิดจะเลิกกับแฟนเลย แฟนเราบอกว่าแฟนเราเป็นคนมาจีบเราก่อน แต่แม่ก็ตอบว่าใจง่ายเกิ้น แค่จีบหน่อยก็ได้ละ ?? เราคืองงตาแตก คือว้อท แต่หลังจากนั้นก็ตั้งสติได้แยกแยะ ว่ามันชีวิตเราลองไปต่อดูก่อน เราก็มีการพูดคุยกับแฟนเราอยู่เสมอ ว่าเราไม่โอเคมากๆ เราเริ่มมองไม่เห็นอนาคต จากตอนแรกที่มั่นใจในความสัมพันธ์มากๆเพราะไม่เคยคบกับใครแล้วรู้สึกลงตัวขนาดนี้มาก่อน เวลาผ่านไปเราก็ได้รับรู้ถึงคำก่นด่าอยู่เสมอๆ อย่างการที่คุณแม่บอกแฟนเราว่า วันหยุดยาวคุณแม่ก็มักจะพยายามบอกให้แฟนเรากลับบ้านแม้จะหยุดแค่2-3วันเท่านั้น ถ้าแฟนเราไม่กลับก็จะโทรมาจิกถามว่าทำอะไร และแชทมาบอก ให้ไปทำอะไรที่มีสาระ ''อย่าไปอยู่ใกล้/ยุ่งกับเด็กนั่นมาก'' ตอนที่เราอ่านข้อความนี้ จากความเสียใจ น้อยใจ ร้องไห้ของเรา กลายเป็นความโกรธ ความสงสัย เราเป็นคนมีคุณค่า มีพ่อมีแม่ ทำไมเราถึงต้องทนและพิสูจน์ตัวเองให้คนประเภทนี้เข้าใจ อย่างในวันเกิดแฟนเราคุณแม่ก็โทรมาจิกๆเสมอว่าให้ไปหาพี่สาวบ้าง(พี่สาวแฟนเราทำงานอยู่ไม่ไกลจากมหาลัย และเราก็สนิทกับพี่สาวแฟนด้วย) ''ไปถึงพี่หรือยัง'' ''จะไปกินข้าวกับพี่สองคนใช่มั้ยวันเกิด'' ''ไม่ได้นอนที่คอนโดแต่จะไปนอนกับพี่ใช่ไหมวันเกิด'' โทรมาทั้งวันถามแค่ทำอะไรอยู่และอยู่กับใคร แฟนเราก็ได้แต่โกหก และเค้าให้เหตุผลเราว่าไม่อยากให้แม่ตำหนิหรือด่าเราไปมากกว่านี้ เราก็สับสนว่าควรทำอย่างไรควรโกหกหรือควรพูดความจริง เพราะเราเองก็เคารพความคิดแฟน และคิดว่าเออเราไม่ได้รู้จักแม่แฟนจริงๆว่าเป็นคนอย่างไร แฟนเราคงคิดดีแล้ว ขอบอกก่อนว่าเราไม่ได้เข้าข้างตัวเองหรืออะไร แต่เราทั้งสองคนคบกันไม่ได้ทำให้ชีวิตย่ำแย่ลงเลย สังคมของเราทั้งสองคนใหญ่ขึ้น การเรียนพัฒนา พากันอ่านหนังสือ ทำความสะอาดห้อง ทำมาหากินหารายได้เสริมด้วยกัน ไม่เคยทำอะไรให้เดือดร้อนสังคม เรามีที่ฝึกงานเราก็ฝากให้แฟนเราเข้าด้วย พอแฟนเอาไปเล่าให้แม่ฟังก คุณแม่ก็โวยวายใหญ่โต แฟนเราบอกว่าอย่าอคตินักอะไรดีก็ชื่นชมคนอื่นบ้าง คุณแม่ท่านตอบว่าอะไรดีก็ดีแต่มันคนละเรื่อง ดูแลเวน่าจะเกลียดเราเข้าไส้ มีครั้งนึงเราทำความสะอาดฟ้องไว้ให้แฟนเพราะคุณพ่อคุณแม่แฟนจะมา พอคุณแม่มาก็ถ่ายรูปห้องที่สะอาด(ด้วยฝีมือของเรา) ลงกลุ่มไลน์บ้านและพิมพ์ข้อความว่า ลูกชายสุดที่รักทำความสะอาดห้อง ดีมากๆ คือเราก็อ่อจ้า ปลง พ่อแม่เราก็รักแฟนเรามาก แต่เราสงสัยว่าเราทำผิดมากหรือไม่คะ ถึงสมควรได้รับคำพูดที่ไม่เสนาะหูนัก หลังจากที่เกิดเรื่องราวต่างๆนี้เราอยู่กับแฟนทำกิจกรรมไปไหนมาไหนด้วยกันเราก็มีความสุขนะคะ แต่มีความสุขไม่เต็มอก เพราะเหมือนต้องเผื่อใจว่าสุดท้ายต้องเลิกกันอยู่ดี คือเราทนไหว้หรือญาติดีกับคนประเภทนี้ไม่ได้จริงๆ ไม่รู้ว่าเจอหน้ากันต้องปฏิบัติตนอย่างไรให้ถูกใจท่าน แต่เราก็รักแฟนมาก เราดีกับเรา ให้เกียรติเรา เป็นเพื่อ เป็นพี่เป็นน้อง แต่หนทางสว่างเริ่มมองไม่เห็น ขอบคุณสำหรับคนที่อดทนอ่านจนจบ และขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ เครียดมากๆ ขอบคุณมากค่ะ