2. ข้อความที่หายไป
ถึงแม้จะเลือนรางจนดูเหมือนอ่อนแรงเต็มที แต่ดวงจันทร์ที่ลอยอยู่บนฟ้าก็ยังคงอวดโฉมงดงาม ยังสามารถฉายแสงแห่งความสุขสงบอบอุ่นหัวใจลงมา ให้ได้สัมผัสและรู้สึกดีเวลาได้มอง
แตกต่างไปจากหมู่มวลดาราพราวพร่างในครั้งเก่าก่อน ที่บัดนี้ไม่หลงเหลือแม้สักดวงแตะแต้มกะพริบหยอกเย้าอยู่บนนั้นให้ได้เห็น
นานมาแล้ว...นานมากจนหลงคิดและเข้าใจไปเองว่า การที่ได้เห็นดวงจันทร์ลอยคว้างอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายอยู่บนฟ้าเป็นเรื่องปกติธรรมดา นานจนทุกคนหลงลืมความงดงามของคำว่าดาวล้อมเดือนไปจนหมดสิ้น
ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถมองเห็นสิ่งสวยงามชวนฝันบนฟากฟ้าในยามค่ำคืน ด้วยตาเปล่าจากบนพื้นโลกได้ดังเช่นวันเก่าก่อนอีกแล้ว
บ้านไม้โบราณชั้นเดียวแบบยกใต้ถุนสูง พื้นที่ขนาดประมาณครอบครัวสี่ถึงห้าคนอาศัยอยู่ร่วมกันได้ ปลูกตั้งอยู่อย่างสงบเงียบเชียบ กลมกลืนตัวเองไปกับบรรยากาศและสภาพแวดล้อมอันมืดสลัวที่รายล้อม
ชั่วครู่หนึ่งมันก็ถูกทำให้โดดเด่นสะดุดตาขึ้นมา ด้วยแสงสว่างจากหลอดไฟฟ้าที่เพิ่งถูกเปิดขึ้นมาภายในอาณาเขตที่พักอาศัย
ชายชาวต่างชาติร่างใหญ่บึกบึนทั้งสองคน ซึ่งทำหน้าที่คุมเชิงและเฝ้าระวังอะไรก็ตามที่อาจจะเกิดขึ้น ยืนนิ่งไม่ไหวติงในท่ามองตรงไปเบื้องหน้า อยู่ตรงนอกประตูทางขึ้นบันไดบ้าน
ในขณะที่วิวัฒน์และชายชราโทมัส ตอนนี้กำลังนั่งประจันหน้ากันอยู่ที่โต๊ะไม้สักอเนกประสงค์ ในส่วนซึ่งชายหนุ่มจัดไว้เป็นห้องส่วนกลางสำหรับใช้รับแขกผู้มาเยือน
“นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าสุดท้ายแล้ว คุณจะต้องระหกระเหินมาอยู่ในสถานที่แบบนี้ แต่ถ้าหากต้องการจะหลบลี้หนีหายจากสังคม ล่องหนหายตัวไปจากการรับรู้ของใครต่อใคร สถานที่นี้ก็ถือว่าเหมาะที่สุดละนะ” หลังสอดส่ายสายตาไปทั่วอยู่ครู่หนึ่ง แขกผู้ไม่ได้เต็มใจเชิญ ก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงคล้ายปกติ แต่กลับชวนให้หงุดหงิดสำหรับผู้ฟังอย่างบอกไม่ถูก “อืม ก็ไม่เลว ถือว่าน่าอยู่ดีก็คงจะพอได้”
“ว่าธุระของคุณมาเถอะ” วิวัฒน์ถอนหายใจหนักอย่างไม่ปิดบัง พร้อมกล่าวตัดบทอย่างไร้เยื่อใย “คุณคงไม่ได้ต้องการมาพบผม เพียงเพราะอยากมาดูที่พักของผม อยากรู้ว่าผมมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร หรือแค่เพราะต้องการจะพูดจายียวนกวนประสาท เล่นลิ้นกับผมเท่านั้นใช่ไหมครับ”
แค่ไม่กี่อึดใจที่บทสนทนาเริ่มต้นขึ้น อารมณ์ของเขาก็ขุ่นมัวขึ้นมาเฉย ๆ ราวกับมีใครไปแกว่งกวนตะกอนใต้น้ำให้ลอยฟุ้งขึ้นมา รู้สึกหัวเสียอย่างที่ตัวเองยังนึกแปลกใจตัวเองอยู่ไม่น้อย ปกติเขาไม่ใช่คนแบบนี้เลยสักนิด ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะอะไรถึงทำให้รู้สึกแบบนี้ได้
อาจเป็นเพราะชายชราที่นั่งอยู่ตรงหน้าในขณะนี้ กำลังพูดจาเยาะเย้ยปั่นประสาทเขา อาจจะเพราะเขารู้สึกเหมือนกำลังถูกข่มขู่คุกคามโดยไร้ทางให้ดิ้นรนขัดขืน
หรือไม่เขาก็อาจแค่ไม่ชอบดวงตาสีสนิมคู่นั้น ดวงตาที่ฉาบฉายแววเฉลียวฉลาดซึ่งดูเหมือนจะรู้ทุกอย่าง มองทะลุทุกสิ่งได้อย่างทะลุปรุโปร่งจนไม่อาจปกปิดอะไรได้ แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเพียงแค่ความรู้สึกนึกคิดที่เล็กจ้อยที่สุด บางเบาที่สุด และอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดในจิตใจก็ตาม
“เกือบสิบปีแล้วสินะครับ ที่บุคลากรในแวดวงวิทยาศาสตร์ได้รู้จักนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะหนุ่มไฟแรง ผู้ลึกซึ้งและเชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา ทั้งฟิสิกส์ ธรณีวิทยา จักรวาลวิทยา”
ชายชราเริ่มต้นบทสนทนาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าลีลา คล้ายต้องการกวนประสาทอีกครั้ง พูดแล้วก็หยุดค้างคำไปหน่อยหนึ่ง ราวกับต้องการรอดูท่าทีหรืออารมณ์ของอีกฝ่าย ยิ้มมุมปากหน่อยหนึ่งเมื่อคู่สนทนาแสดงปฏิกิริยาอย่างที่คาดเดาในใจออกมาให้ได้เห็น แล้วจึงเริ่มพูดต่อ
“ดอกเตอร์หนุ่มผู้นั้น พยายามที่จะเสนอผลงานวิจัยของตัวเองออกมา ให้ปรากฏแก่สายตาชาวโลก เป็นผลงานชิ้นเอกที่สั่นคลอนได้แม้กระทั่งโลกทั้งใบ โดยไม่ได้สนใจเลยว่าความปั่นป่วนโกลาหลที่จะเกิดขึ้นกับสังคมและโลกใบนี้นั้น จะร้ายแรงและน่ากลัวขนาดไหน แต่ว่าช่างน่าเสียดายเหลือเกิน...”
“คุณ...โท...มัส”
วิวัฒน์ซึ่งไม่ได้อยู่ในอารมณ์อย่างที่เป็นตามปกติ หมดความอดทนกับคำพูดเชิงถากถางเย้ยหยันที่ได้ยินมาตลอด เขาเลือกที่จะตอบโต้กลับด้วยการปลอดปล่อยความเดือดดาลเหล่านั้นทั้งหมด ผ่านทางน้ำเสียงหนักแน่นและแววตาแข็งกร้าว ตั้งใจให้อีกฝ่ายรับรู้แบบที่ไม่ต้องถนอมน้ำใจหรือรักษามารยาทกันอีกต่อไป
หากเป็นคนอื่นก็คงจะไม่รู้ว่าชายชราผู้นี้กำลังพูดถึงเรื่องอะไร และคงไม่เข้าใจว่าเรื่องทั้งหมดที่ถูกยกมาเป็นประเด็นสนทนานั้น มีอะไรให้น่าโมโหจนถึงกับเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่ขนาดนี้
ทว่ากับชายหนุ่มนั้นไม่ใช่ เพราะเขารู้เรื่องทุกอย่างทั้งหมดนั้นเป็นอย่างดี เขารู้ว่างานวิจัยที่ชายชราพูดถึง คือผลงานเรื่อง ‘เหตุแห่งการดับสูญของโลก’ ซึ่งเป็นผลงานที่ถูกทำให้หลงลืมและลบเลือนไปจากหน้าบันทึกความรู้ของมวลมนุษยชาติ
เขารู้...เพราะดอกเตอร์หนุ่มเจ้าของผลงานชิ้นนั้นก็คือตัวของเขาเอง
“โอเคครับ โอเค ถ้าอย่างนั้นเรามาเข้าเรื่องของเราเลยก็แล้วกัน” โทมัสรีบชิงตัดบท พร้อมชูสองมือขึ้นตรงหน้าในระดับหัวไหล่เป็นเชิงยอมแพ้ ก่อนที่เรื่องจะลุกลามบานปลายออกไปโดยใช่เหตุ “ผมมาที่นี่ด้วยวัตถุประสงค์หลักเพียงเรื่องเดียว นั่นก็คือมาฟังงานวิจัยเหตุแห่งการดับสูญของโลกจากปากของคุณเองครับ”
คำพูดของชายแปลกหน้าทำให้ต้องนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันจนยับย่นเกิดเป็นรอยลึก คล้ายคนที่กำลังลังเลหรือครุ่นคิดอย่างหนัก ปล่อยให้สุญญากาศเข้าแทรกแทนช่องว่างระหว่างกันอยู่อึดใจ ก็ตัดสินใจพูดออกมา
“ผมไม่อยากพูดถึงมันอีก” แต่สิ่งที่เอ่ยให้อีกฝ่ายได้ยินได้ฟังนั้น กลับเป็นคำตัดบทที่ปราศจากน้ำใจไมตรีอย่างสิ้นเชิง
เรื่องมันนานมาแล้ว ตัวเขาเองก็ควรจะลืมมันไปให้หมดได้แล้ว ทว่ามันกลับไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลยสักนิด ไม่แม้จะแค่สักวินาทีเดียว หลายปีมานี้เขายังคงเห็นภาพเหล่านั้นซ้ำ ๆ มันยังคงเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าชัดเจนอยู่ในมโนภาพ ราวกับจะไม่มีวันลบเลือนมันได้ตลอดไป
เขายังจำวันที่ตัวเองในวัยที่กำลังคุกรุ่นไปด้วยไฟแห่งพลัง กำลังวิ่งวุ่นเที่ยวหยิบยื่นนำเสนอ ผลงานวิจัยเหตุแห่งการดับสูญของโลกไปทั่ว จนแทบจะกลายเป็นยัดเยียดได้อยู่เลย
ทำตัวราวคนบ้าเสียสติเพียงแค่ต้องการให้ผลงานวิจัยชิ้นเอกชิ้นนี้ ได้ส่งต่อไปถึงเหล่านักวิทยาศาสตร์ชั้นหัวกะทิ องค์กรต่าง ๆ ที่มีพลังอำนาจมากพอ รวมถึงชาวโลกทุกคนบนโลกใบนี้ ให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ชื่อเสียงของเขาแลกกับการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับสถานการณ์ นั่นคือราคาถูกแสนถูกที่ต้องแลกหากผลงานวิจัยผิดพลาด
แต่หากสิ่งที่เขาเฝ้าศึกษามาตลอดนั้นเกิดขึ้นจริง บางทีแค่หนึ่งวันที่ล่วงเลยผ่านไปโดยปราศจากการรับรู้ใด ๆ อาจกลายเป็นตัวตัดสินชะตากรรม กำหนดความคงอยู่ของเหล่ามวลมนุษยชาติในห้วงแห่งอนาคต ว่าจะยังเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ต่อไปได้หรือไม่ก็เป็นได้
ทว่าหลังจากทุ่มสุดตัวลงไปแล้ว แทนที่ทุกคนจะได้รับรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นและเกิดการตื่นตัวกันในวงกว้างอย่างที่หวัง กลับกลายเป็นเสียงหัวเราะเยาะเย้ยและคำพูดดูถูกเหยียดหยามเท่านั้นที่เขาได้รับกลับมา
เขากลายเป็นผู้ถูกตราหน้าว่าสร้างความปั่นป่วนให้สังคมโลก อยากเด่นอยากดัง อยากมีชื่อเสียงจนไม่เลือกวิธีการ ไม่สนใจแม้กระทั่งจรรยาบรรณและจริยธรรมในวิชาชีพของตนเอง
เป็นวันที่ถูกบีบให้ต้องออกจากวงการ เหยียบย่ำและถีบซ้ำจนตกลงสู่ขุมนรกทางสังคมที่ลึกและทุกข์ทรมานแสนสาหัส โดยไม่เกิดแรงกระเพื่อมที่บางเบาที่สุดเลยแม้สักนิดเดียว
ผลงานวิจัยเหตุแห่งการดับสูญของโลกจำนวนหลายพันหลายหมื่นหน้า ซึ่งบรรจุจารึกข้อมูลนับไม่ถ้วนไว้ในนั้น กลับกลายเป็นข้อมูลดิจิตอลไร้ค่า และเศษกระดาษปึกใหญ่ภายในชั่วพริบตา
ราวกับว่าไม่เคยมีอยู่หรือเกิดขึ้นมาก่อน บนโลกแห่งปัญหาและความปราดเปรื่องใบนี้ งานชิ้นเอกเพียงชิ้นเดียวของเขาถูกทำให้หายไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็หายหน้าจากสังคมตามไปด้วย
ไร้ร่องรอยให้ติดต่อ ปราศจากเค้าเงื่อนใด ๆ ให้ติดตาม คล้ายเขาได้ระเหิดระเหย กลายเป็นอากาศธาตุอันไร้ตัวตน เป็นอะไรสักอย่างที่หายสาบสูญไปจากการรับรู้ของใครต่อใครอย่างสิ้นเชิง
จนวันหนึ่ง...ทุกคนก็ต่างหลงลืมเลือนเรื่องราวของชายที่ชื่อดอกเตอร์วิวัฒน์ และผลงานเหตุแห่งการดับสูญของโลกไปจนหมดสิ้น
โลกอยู่มาได้ในแบบนั้นจนถึงวันนี้โดยที่ไม่ต้องมีเขา และโลกก็จะหมุนเดินต่อไปบนเส้นทางที่มันจะต้องไปโดยไม่ต้องมีเขาอีกเช่นกัน
โลกต้องการกลบฝังและบดขยี้ทุกสิ่งของเขา เขาเองก็อยากพาตัวเองให้หนีห่าง อยากจะหลุดพ้นออกมาจากโซ่แห่งพันธนาการ ของเรื่องราวและภาพในอดีตเหล่านั้นไม่แตกต่างกัน
วิ่งไปเรื่อย ๆ ถึงแม้จะเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าสุดกำลัง หลบหนีซ่อนเร้นต่อไปเรื่อย ๆ อย่างหวาดระแวงและไม่อาจทนฝืนเชื่อใจใคร จนสุดท้ายได้มาหยุดพักใจอยู่ที่นี่ สละทิ้งทุกอย่างที่ผ่านมา และกลายเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนเล็ก ๆ แห่งนี้
“ได้โปรดเถอะครับดอกเตอร์ เรื่องนี้มันสำคัญมาก”
เสียงของชายชราเรียกสติ ดึงความนึกคิดของวิวัฒน์ให้กลับมาอยู่กับเหตุการณ์ปัจจุบันตรงหน้าอีกครั้งหนึ่ง
“มันสำคัญมากถึงขนาดที่ผมต้องออกเดินทางจากแดนไกลมาเพื่อพบและคุยกับคุณโดยเฉพาะ สำคัญขนาดที่ต่อให้ผมรู้ว่าคุณไม่อยากพูดขนาดไหน แต่ผมก็ยังคงต้องบังคับให้คุณฝืนพูดอยู่ดี”
วันที่เขาพยายามบอกใครต่อใครว่าเรื่องนี้สำคัญ และอยากให้ทุกคนได้ตื่นตัวรับรู้ กลับไม่มีแม้สักคนสนใจหรือแม้แค่จะชายตามอง แต่ในวันที่ทุกอย่างผ่านพ้น ทั้งหมดนั้นกลายเป็นอดีตอันไร้ความหมายไปหมดแล้ว ก็กลับมีชายแปลกหน้าคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าและบอกเขาว่าเรื่องนั้นมันสำคัญ
ช่างน่าแปลกและตลกสิ้นดี
แม้คำพูดในประโยคแรกของชายชราจะฟังเหมือนคำขอร้อง แต่ข้อความต่อมาในประโยคหลังนั้นค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นการขอร้องแกมบังคับ ซึ่งจากสถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้ แน่นอนว่าเขาคงไม่มีทางอื่นให้เลือก
ใช้เวลาสงบจิตสงบใจอยู่อึดใจหนึ่ง ก็เริ่มต้นการสนทนาโดยวิธีโยนคำถามหยั่งเชิงส่งไปให้อีกฝ่าย “คุณโทมัส คุณคิดอย่างไรกับภาวะโลกร้อน คุณรู้เรื่องภาวะโลกร้อนที่เรากำลังจะคุยกันต่อจากนี้ดีแค่ไหน เพราะถ้าหากสิ่งที่คุณมีเป็นศูนย์ เราก็คงจะคุยกันต่อไม่รู้เรื่อง”
“เป็นคำถามที่ออกจะดูถูกกันเกินไปหน่อยนะครับ แต่ถ้าหากมันจำเป็นกับคุณ ผมก็จะพูดจะอธิบายทุกอย่างให้ฟังครับ ดอกเตอร์”
แม้คำพูดจะยังคงชั้นเชิงอย่างผู้คุมเกมเอาไว้อยู่ในมือ หากแต่ชายชราก็ลอบถอนหายใจเบา ๆ พร้อมระบายยิ้มน้อย ๆ ออกมาอย่างโล่งใจ โล่งอกที่เริ่มพูดคุยเข้าประเด็นต่อได้โดยไม่ต้องมีเหตุยุ่งยากอะไร ให้เกินเลยบานปลายออกไปแบบไม่จำเป็น
“ไม่ว่าใครก็รู้ว่าปัจจุบันนี้ภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก ๆ จนถึงขนาดที่แม้แต่หลักสูตรของเด็กอนุบาลก็ยังบรรจุเรื่องนี้เข้าไปด้วย” เกริ่นนำแล้วก็หยุดจังหวะไปหน่อยหนึ่ง ก่อนจะเริ่มพูดเข้าเนื้อหาต่อไป “ราว ๆ หนึ่งร้อยปี นับตั้งแต่ปีหนึ่งพันแปดร้อยแปดสิบ จนถึงปีหนึ่งพันเก้าร้อยแปดสิบ เราตรวจสอบพบว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกใบนี้ สูงขึ้นแค่ประมาณศูนย์จุดแปดองศาเซลเซียส”
ตามปกติแล้วต่อให้ไม่ทำอะไรเลย อุณหภูมิโลกก็จะยังคงค่อย ๆ สูงขึ้นทีละน้อยตามยุคสมัยและวงจรชีวิตของดาวโลกอยู่แล้ว และการที่โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นเพียงเท่านี้ในระยะเวลาหนึ่งศตวรรษ ก็ถือว่าไม่ได้มีความผิดปกติอะไร
วิวัฒน์พยักหน้าเล็กน้อยให้เห็นว่ากำลังตั้งใจฟังและคิดตามอยู่
วันดับสูญ บทที่ 2 ข้อความที่หายไป
ถึงแม้จะเลือนรางจนดูเหมือนอ่อนแรงเต็มที แต่ดวงจันทร์ที่ลอยอยู่บนฟ้าก็ยังคงอวดโฉมงดงาม ยังสามารถฉายแสงแห่งความสุขสงบอบอุ่นหัวใจลงมา ให้ได้สัมผัสและรู้สึกดีเวลาได้มอง
แตกต่างไปจากหมู่มวลดาราพราวพร่างในครั้งเก่าก่อน ที่บัดนี้ไม่หลงเหลือแม้สักดวงแตะแต้มกะพริบหยอกเย้าอยู่บนนั้นให้ได้เห็น
นานมาแล้ว...นานมากจนหลงคิดและเข้าใจไปเองว่า การที่ได้เห็นดวงจันทร์ลอยคว้างอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายอยู่บนฟ้าเป็นเรื่องปกติธรรมดา นานจนทุกคนหลงลืมความงดงามของคำว่าดาวล้อมเดือนไปจนหมดสิ้น
ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถมองเห็นสิ่งสวยงามชวนฝันบนฟากฟ้าในยามค่ำคืน ด้วยตาเปล่าจากบนพื้นโลกได้ดังเช่นวันเก่าก่อนอีกแล้ว
บ้านไม้โบราณชั้นเดียวแบบยกใต้ถุนสูง พื้นที่ขนาดประมาณครอบครัวสี่ถึงห้าคนอาศัยอยู่ร่วมกันได้ ปลูกตั้งอยู่อย่างสงบเงียบเชียบ กลมกลืนตัวเองไปกับบรรยากาศและสภาพแวดล้อมอันมืดสลัวที่รายล้อม
ชั่วครู่หนึ่งมันก็ถูกทำให้โดดเด่นสะดุดตาขึ้นมา ด้วยแสงสว่างจากหลอดไฟฟ้าที่เพิ่งถูกเปิดขึ้นมาภายในอาณาเขตที่พักอาศัย
ชายชาวต่างชาติร่างใหญ่บึกบึนทั้งสองคน ซึ่งทำหน้าที่คุมเชิงและเฝ้าระวังอะไรก็ตามที่อาจจะเกิดขึ้น ยืนนิ่งไม่ไหวติงในท่ามองตรงไปเบื้องหน้า อยู่ตรงนอกประตูทางขึ้นบันไดบ้าน
ในขณะที่วิวัฒน์และชายชราโทมัส ตอนนี้กำลังนั่งประจันหน้ากันอยู่ที่โต๊ะไม้สักอเนกประสงค์ ในส่วนซึ่งชายหนุ่มจัดไว้เป็นห้องส่วนกลางสำหรับใช้รับแขกผู้มาเยือน
“นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าสุดท้ายแล้ว คุณจะต้องระหกระเหินมาอยู่ในสถานที่แบบนี้ แต่ถ้าหากต้องการจะหลบลี้หนีหายจากสังคม ล่องหนหายตัวไปจากการรับรู้ของใครต่อใคร สถานที่นี้ก็ถือว่าเหมาะที่สุดละนะ” หลังสอดส่ายสายตาไปทั่วอยู่ครู่หนึ่ง แขกผู้ไม่ได้เต็มใจเชิญ ก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงคล้ายปกติ แต่กลับชวนให้หงุดหงิดสำหรับผู้ฟังอย่างบอกไม่ถูก “อืม ก็ไม่เลว ถือว่าน่าอยู่ดีก็คงจะพอได้”
“ว่าธุระของคุณมาเถอะ” วิวัฒน์ถอนหายใจหนักอย่างไม่ปิดบัง พร้อมกล่าวตัดบทอย่างไร้เยื่อใย “คุณคงไม่ได้ต้องการมาพบผม เพียงเพราะอยากมาดูที่พักของผม อยากรู้ว่าผมมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร หรือแค่เพราะต้องการจะพูดจายียวนกวนประสาท เล่นลิ้นกับผมเท่านั้นใช่ไหมครับ”
แค่ไม่กี่อึดใจที่บทสนทนาเริ่มต้นขึ้น อารมณ์ของเขาก็ขุ่นมัวขึ้นมาเฉย ๆ ราวกับมีใครไปแกว่งกวนตะกอนใต้น้ำให้ลอยฟุ้งขึ้นมา รู้สึกหัวเสียอย่างที่ตัวเองยังนึกแปลกใจตัวเองอยู่ไม่น้อย ปกติเขาไม่ใช่คนแบบนี้เลยสักนิด ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะอะไรถึงทำให้รู้สึกแบบนี้ได้
อาจเป็นเพราะชายชราที่นั่งอยู่ตรงหน้าในขณะนี้ กำลังพูดจาเยาะเย้ยปั่นประสาทเขา อาจจะเพราะเขารู้สึกเหมือนกำลังถูกข่มขู่คุกคามโดยไร้ทางให้ดิ้นรนขัดขืน
หรือไม่เขาก็อาจแค่ไม่ชอบดวงตาสีสนิมคู่นั้น ดวงตาที่ฉาบฉายแววเฉลียวฉลาดซึ่งดูเหมือนจะรู้ทุกอย่าง มองทะลุทุกสิ่งได้อย่างทะลุปรุโปร่งจนไม่อาจปกปิดอะไรได้ แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเพียงแค่ความรู้สึกนึกคิดที่เล็กจ้อยที่สุด บางเบาที่สุด และอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดในจิตใจก็ตาม
“เกือบสิบปีแล้วสินะครับ ที่บุคลากรในแวดวงวิทยาศาสตร์ได้รู้จักนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะหนุ่มไฟแรง ผู้ลึกซึ้งและเชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา ทั้งฟิสิกส์ ธรณีวิทยา จักรวาลวิทยา”
ชายชราเริ่มต้นบทสนทนาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าลีลา คล้ายต้องการกวนประสาทอีกครั้ง พูดแล้วก็หยุดค้างคำไปหน่อยหนึ่ง ราวกับต้องการรอดูท่าทีหรืออารมณ์ของอีกฝ่าย ยิ้มมุมปากหน่อยหนึ่งเมื่อคู่สนทนาแสดงปฏิกิริยาอย่างที่คาดเดาในใจออกมาให้ได้เห็น แล้วจึงเริ่มพูดต่อ
“ดอกเตอร์หนุ่มผู้นั้น พยายามที่จะเสนอผลงานวิจัยของตัวเองออกมา ให้ปรากฏแก่สายตาชาวโลก เป็นผลงานชิ้นเอกที่สั่นคลอนได้แม้กระทั่งโลกทั้งใบ โดยไม่ได้สนใจเลยว่าความปั่นป่วนโกลาหลที่จะเกิดขึ้นกับสังคมและโลกใบนี้นั้น จะร้ายแรงและน่ากลัวขนาดไหน แต่ว่าช่างน่าเสียดายเหลือเกิน...”
“คุณ...โท...มัส”
วิวัฒน์ซึ่งไม่ได้อยู่ในอารมณ์อย่างที่เป็นตามปกติ หมดความอดทนกับคำพูดเชิงถากถางเย้ยหยันที่ได้ยินมาตลอด เขาเลือกที่จะตอบโต้กลับด้วยการปลอดปล่อยความเดือดดาลเหล่านั้นทั้งหมด ผ่านทางน้ำเสียงหนักแน่นและแววตาแข็งกร้าว ตั้งใจให้อีกฝ่ายรับรู้แบบที่ไม่ต้องถนอมน้ำใจหรือรักษามารยาทกันอีกต่อไป
หากเป็นคนอื่นก็คงจะไม่รู้ว่าชายชราผู้นี้กำลังพูดถึงเรื่องอะไร และคงไม่เข้าใจว่าเรื่องทั้งหมดที่ถูกยกมาเป็นประเด็นสนทนานั้น มีอะไรให้น่าโมโหจนถึงกับเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่ขนาดนี้
ทว่ากับชายหนุ่มนั้นไม่ใช่ เพราะเขารู้เรื่องทุกอย่างทั้งหมดนั้นเป็นอย่างดี เขารู้ว่างานวิจัยที่ชายชราพูดถึง คือผลงานเรื่อง ‘เหตุแห่งการดับสูญของโลก’ ซึ่งเป็นผลงานที่ถูกทำให้หลงลืมและลบเลือนไปจากหน้าบันทึกความรู้ของมวลมนุษยชาติ
เขารู้...เพราะดอกเตอร์หนุ่มเจ้าของผลงานชิ้นนั้นก็คือตัวของเขาเอง
“โอเคครับ โอเค ถ้าอย่างนั้นเรามาเข้าเรื่องของเราเลยก็แล้วกัน” โทมัสรีบชิงตัดบท พร้อมชูสองมือขึ้นตรงหน้าในระดับหัวไหล่เป็นเชิงยอมแพ้ ก่อนที่เรื่องจะลุกลามบานปลายออกไปโดยใช่เหตุ “ผมมาที่นี่ด้วยวัตถุประสงค์หลักเพียงเรื่องเดียว นั่นก็คือมาฟังงานวิจัยเหตุแห่งการดับสูญของโลกจากปากของคุณเองครับ”
คำพูดของชายแปลกหน้าทำให้ต้องนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันจนยับย่นเกิดเป็นรอยลึก คล้ายคนที่กำลังลังเลหรือครุ่นคิดอย่างหนัก ปล่อยให้สุญญากาศเข้าแทรกแทนช่องว่างระหว่างกันอยู่อึดใจ ก็ตัดสินใจพูดออกมา
“ผมไม่อยากพูดถึงมันอีก” แต่สิ่งที่เอ่ยให้อีกฝ่ายได้ยินได้ฟังนั้น กลับเป็นคำตัดบทที่ปราศจากน้ำใจไมตรีอย่างสิ้นเชิง
เรื่องมันนานมาแล้ว ตัวเขาเองก็ควรจะลืมมันไปให้หมดได้แล้ว ทว่ามันกลับไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลยสักนิด ไม่แม้จะแค่สักวินาทีเดียว หลายปีมานี้เขายังคงเห็นภาพเหล่านั้นซ้ำ ๆ มันยังคงเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าชัดเจนอยู่ในมโนภาพ ราวกับจะไม่มีวันลบเลือนมันได้ตลอดไป
เขายังจำวันที่ตัวเองในวัยที่กำลังคุกรุ่นไปด้วยไฟแห่งพลัง กำลังวิ่งวุ่นเที่ยวหยิบยื่นนำเสนอ ผลงานวิจัยเหตุแห่งการดับสูญของโลกไปทั่ว จนแทบจะกลายเป็นยัดเยียดได้อยู่เลย
ทำตัวราวคนบ้าเสียสติเพียงแค่ต้องการให้ผลงานวิจัยชิ้นเอกชิ้นนี้ ได้ส่งต่อไปถึงเหล่านักวิทยาศาสตร์ชั้นหัวกะทิ องค์กรต่าง ๆ ที่มีพลังอำนาจมากพอ รวมถึงชาวโลกทุกคนบนโลกใบนี้ ให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ชื่อเสียงของเขาแลกกับการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับสถานการณ์ นั่นคือราคาถูกแสนถูกที่ต้องแลกหากผลงานวิจัยผิดพลาด
แต่หากสิ่งที่เขาเฝ้าศึกษามาตลอดนั้นเกิดขึ้นจริง บางทีแค่หนึ่งวันที่ล่วงเลยผ่านไปโดยปราศจากการรับรู้ใด ๆ อาจกลายเป็นตัวตัดสินชะตากรรม กำหนดความคงอยู่ของเหล่ามวลมนุษยชาติในห้วงแห่งอนาคต ว่าจะยังเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ต่อไปได้หรือไม่ก็เป็นได้
ทว่าหลังจากทุ่มสุดตัวลงไปแล้ว แทนที่ทุกคนจะได้รับรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นและเกิดการตื่นตัวกันในวงกว้างอย่างที่หวัง กลับกลายเป็นเสียงหัวเราะเยาะเย้ยและคำพูดดูถูกเหยียดหยามเท่านั้นที่เขาได้รับกลับมา
เขากลายเป็นผู้ถูกตราหน้าว่าสร้างความปั่นป่วนให้สังคมโลก อยากเด่นอยากดัง อยากมีชื่อเสียงจนไม่เลือกวิธีการ ไม่สนใจแม้กระทั่งจรรยาบรรณและจริยธรรมในวิชาชีพของตนเอง
เป็นวันที่ถูกบีบให้ต้องออกจากวงการ เหยียบย่ำและถีบซ้ำจนตกลงสู่ขุมนรกทางสังคมที่ลึกและทุกข์ทรมานแสนสาหัส โดยไม่เกิดแรงกระเพื่อมที่บางเบาที่สุดเลยแม้สักนิดเดียว
ผลงานวิจัยเหตุแห่งการดับสูญของโลกจำนวนหลายพันหลายหมื่นหน้า ซึ่งบรรจุจารึกข้อมูลนับไม่ถ้วนไว้ในนั้น กลับกลายเป็นข้อมูลดิจิตอลไร้ค่า และเศษกระดาษปึกใหญ่ภายในชั่วพริบตา
ราวกับว่าไม่เคยมีอยู่หรือเกิดขึ้นมาก่อน บนโลกแห่งปัญหาและความปราดเปรื่องใบนี้ งานชิ้นเอกเพียงชิ้นเดียวของเขาถูกทำให้หายไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็หายหน้าจากสังคมตามไปด้วย
ไร้ร่องรอยให้ติดต่อ ปราศจากเค้าเงื่อนใด ๆ ให้ติดตาม คล้ายเขาได้ระเหิดระเหย กลายเป็นอากาศธาตุอันไร้ตัวตน เป็นอะไรสักอย่างที่หายสาบสูญไปจากการรับรู้ของใครต่อใครอย่างสิ้นเชิง
จนวันหนึ่ง...ทุกคนก็ต่างหลงลืมเลือนเรื่องราวของชายที่ชื่อดอกเตอร์วิวัฒน์ และผลงานเหตุแห่งการดับสูญของโลกไปจนหมดสิ้น
โลกอยู่มาได้ในแบบนั้นจนถึงวันนี้โดยที่ไม่ต้องมีเขา และโลกก็จะหมุนเดินต่อไปบนเส้นทางที่มันจะต้องไปโดยไม่ต้องมีเขาอีกเช่นกัน
โลกต้องการกลบฝังและบดขยี้ทุกสิ่งของเขา เขาเองก็อยากพาตัวเองให้หนีห่าง อยากจะหลุดพ้นออกมาจากโซ่แห่งพันธนาการ ของเรื่องราวและภาพในอดีตเหล่านั้นไม่แตกต่างกัน
วิ่งไปเรื่อย ๆ ถึงแม้จะเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าสุดกำลัง หลบหนีซ่อนเร้นต่อไปเรื่อย ๆ อย่างหวาดระแวงและไม่อาจทนฝืนเชื่อใจใคร จนสุดท้ายได้มาหยุดพักใจอยู่ที่นี่ สละทิ้งทุกอย่างที่ผ่านมา และกลายเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนเล็ก ๆ แห่งนี้
“ได้โปรดเถอะครับดอกเตอร์ เรื่องนี้มันสำคัญมาก”
เสียงของชายชราเรียกสติ ดึงความนึกคิดของวิวัฒน์ให้กลับมาอยู่กับเหตุการณ์ปัจจุบันตรงหน้าอีกครั้งหนึ่ง
“มันสำคัญมากถึงขนาดที่ผมต้องออกเดินทางจากแดนไกลมาเพื่อพบและคุยกับคุณโดยเฉพาะ สำคัญขนาดที่ต่อให้ผมรู้ว่าคุณไม่อยากพูดขนาดไหน แต่ผมก็ยังคงต้องบังคับให้คุณฝืนพูดอยู่ดี”
วันที่เขาพยายามบอกใครต่อใครว่าเรื่องนี้สำคัญ และอยากให้ทุกคนได้ตื่นตัวรับรู้ กลับไม่มีแม้สักคนสนใจหรือแม้แค่จะชายตามอง แต่ในวันที่ทุกอย่างผ่านพ้น ทั้งหมดนั้นกลายเป็นอดีตอันไร้ความหมายไปหมดแล้ว ก็กลับมีชายแปลกหน้าคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าและบอกเขาว่าเรื่องนั้นมันสำคัญ
ช่างน่าแปลกและตลกสิ้นดี
แม้คำพูดในประโยคแรกของชายชราจะฟังเหมือนคำขอร้อง แต่ข้อความต่อมาในประโยคหลังนั้นค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นการขอร้องแกมบังคับ ซึ่งจากสถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้ แน่นอนว่าเขาคงไม่มีทางอื่นให้เลือก
ใช้เวลาสงบจิตสงบใจอยู่อึดใจหนึ่ง ก็เริ่มต้นการสนทนาโดยวิธีโยนคำถามหยั่งเชิงส่งไปให้อีกฝ่าย “คุณโทมัส คุณคิดอย่างไรกับภาวะโลกร้อน คุณรู้เรื่องภาวะโลกร้อนที่เรากำลังจะคุยกันต่อจากนี้ดีแค่ไหน เพราะถ้าหากสิ่งที่คุณมีเป็นศูนย์ เราก็คงจะคุยกันต่อไม่รู้เรื่อง”
“เป็นคำถามที่ออกจะดูถูกกันเกินไปหน่อยนะครับ แต่ถ้าหากมันจำเป็นกับคุณ ผมก็จะพูดจะอธิบายทุกอย่างให้ฟังครับ ดอกเตอร์”
แม้คำพูดจะยังคงชั้นเชิงอย่างผู้คุมเกมเอาไว้อยู่ในมือ หากแต่ชายชราก็ลอบถอนหายใจเบา ๆ พร้อมระบายยิ้มน้อย ๆ ออกมาอย่างโล่งใจ โล่งอกที่เริ่มพูดคุยเข้าประเด็นต่อได้โดยไม่ต้องมีเหตุยุ่งยากอะไร ให้เกินเลยบานปลายออกไปแบบไม่จำเป็น
“ไม่ว่าใครก็รู้ว่าปัจจุบันนี้ภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก ๆ จนถึงขนาดที่แม้แต่หลักสูตรของเด็กอนุบาลก็ยังบรรจุเรื่องนี้เข้าไปด้วย” เกริ่นนำแล้วก็หยุดจังหวะไปหน่อยหนึ่ง ก่อนจะเริ่มพูดเข้าเนื้อหาต่อไป “ราว ๆ หนึ่งร้อยปี นับตั้งแต่ปีหนึ่งพันแปดร้อยแปดสิบ จนถึงปีหนึ่งพันเก้าร้อยแปดสิบ เราตรวจสอบพบว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกใบนี้ สูงขึ้นแค่ประมาณศูนย์จุดแปดองศาเซลเซียส”
ตามปกติแล้วต่อให้ไม่ทำอะไรเลย อุณหภูมิโลกก็จะยังคงค่อย ๆ สูงขึ้นทีละน้อยตามยุคสมัยและวงจรชีวิตของดาวโลกอยู่แล้ว และการที่โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นเพียงเท่านี้ในระยะเวลาหนึ่งศตวรรษ ก็ถือว่าไม่ได้มีความผิดปกติอะไร
วิวัฒน์พยักหน้าเล็กน้อยให้เห็นว่ากำลังตั้งใจฟังและคิดตามอยู่