สวัสดีครับ ขอความคิดเห็น จากทุกคนเผื่อใครเคยเจอกรณีคล้ายกัน
ผมได้ทำเรื่องฟ้องร้องแพ่ง จำเลย 3 คน ( แฟนเก่า / แม่แฟนเก่า / พ่อเลี้ยงแฟนเก่า ) คดีรับสภาพหนี้ เริ่มฟ้องในเดือน พ.ค 2566
*** ขอเล่ารายละเอียดคร่าวๆก่อนน่ะคับ
แฟนเก่าได้มีการยืมเงิน และ เป็นหนี้ร่วมกันในเรื่องของสินเชื่อ (หนี้สินเชื่อ ใช้ชื่อผมกู้คนเดียว) และได้มีการเลิกรากัน จึงมีการตกลงเรื่องหนี้สิน
1. ตกลงแบ่งหนี้ที่เป็นร่วมกันคนล่ะครึ่ง โดยมีการให้เขาเซ็นรับสภาพหนี้ไว้ ผ่อนจ่ายเดือนล่ะ 20,000 บาท (โดยตอนที่เซ็นเอกสารเราได้ถ่ายคลิปเป็นหลักฐานเอาไว้) แต่พอถึงเวลาใกล้จ่ายเงินให้ธนาคาร กลับส่งข้อความมาบอกว่าจะจ่ายแค่ 5,000 บาท ถ้าไม่พอใจให้ไปแจ้งความเอา เราจึงโทรไปพูดคุย โดยตอนที่โทรไปคุยกันนั้น จำเลยทั้ง 3 อยู่ครบ (ระหว่างที่คุยจำเลยทั้ง 3 โต้แย้งอยู่ในสายด้วย)
2.หลังจากมีการพูดคุยกันแล้ว ได้ตกลงกันใหม่ว่าให้ผ่อนเดือนล่ะ 15,000 บาท โดยครั้งนี้ต้องมีคนเซ็นค้ำประกัน 2 คน หลังจากตกลงกันได้ ก็นัดไปเซ็นเอกสารที่ สน.
3.ที่ สน. คู่กรณีเดินทางมาเซ็นเอกสารแค่ 2 คน ซึ่งอ้างว่าอีกคนติดงาน หลังจากนั้นก็ได้เข้าไปเซ็นเอกสารได้ให้ จนท.ตำรวจ ออกเป็นบันทึกประจำวันเป็นหลักฐาน โดยระบุว่า ชื่อ (แฟนเก่า) ยินยอมรับสภาพหนี้ xxxxx บาท ผ่อนเดือนล่ะ 15000 จำนวน x งวด โดยเงื่อนไขต้องมีผู้ค้ำ จำนวน 2 คน ชื่อ( โจทย์ เราเอง) จำจะยอมให้ผ่อนตามตกลง หลังจากนั้นก็เซ็นรับทราบ จนท.ก็ให้เอกสารไว้คนล่ะ 1 ชุด
4. หลังเซ็นจากจนท.ตำรวจเสร็จ ก็ออกมาเซ็นเอกสารรับสภาพหนี้ หน้าสน. โดยมี จำเลยที่ 1 เซ็น ( ได้ถ่ายรูปไว้ ) จำเลยที่ 2 เซ็นค้ำ ( แม่แฟนเก่า ) หลังจากนั้นให้เอกสารคนค้ำไปอีก 1 ชุด เพื่อให้เขาเอาไปให้ พ่อเลี้ยงเซ็น
5.หลังจากให้เอกสารไปก็มีการทวงถามเอกสารที่ให้ไป ฝั่งนั้นโยกโย้ตลอด จนภายหลังเราติดต่อ จำเลยที่ 3 โดยตรงให้มาเซ็นเอกสาร จำเลยที่ 3 ก็มาเซ็นเอกสาร หลังจากนั้น จำเลยที่ 1 ก็ได้ผ่อนจ่ายตามตกลงมา 3 งวด พอเข้างวดที่ 4 (ต้นเดือน เม.ย) ไม่จ่ายนิ่งเฉยติดต่อไม่ได้ พอติดต่อได้บอกให้ไปฟ้องเอา(ติดต่อทั้ง 3 คน) จนปลายเดือน เม.ย ได้ให้ทนายส่ง โนติส ไปให้จำเลยทั้ง 3 คน ก็ยังคงนิ่งเฉย กลางเดือน พ.ค 2566 ได้ส่งฟ้องศาล และนัดขึ้นศาลแรก เดือน ก.ค จำเลยทั้ง 3 มาศาล แต่ต่อสู้คดีไม่ยอมรับหนี้ แต่ไม่มีทนายมา ศาลเลื่อนนัด เป็นเดือน ส.ค
6. เดือน ส.ค มาตามศาลนัด โดยจำเลยทั้ง 3 ยื่นคำให้การว่า
จำเลยที่ 1 อ้างว่า ไม่เคยเซ็นรับสภาพหนี้ ไม่เคยรับยอดหนี้ดังกล่าว แต่มีการโอนเงินให้ 2 ครั้งเพราะเคยเจรจาว่า จะไม่เรียกร้องใดๆกันอีก และจบเรื่องบาดหมางกัน
จำเลยที่ 2-3 อ้างว่า ทราบว่าโจทย์กับจำเลยที่ 1 มีปัญหาเรื่องเงิน แต่ไม่ทราบยอดเท่าไร เป็นเงินอะไร ต่อมามีการนำเอกสารมาให้เซ็นเป็นพยานและคนค้ำ แต่ไม่ทราบเงื่อนไข จึงได้ลงชื่อ โดยให้ความสำคัญผิด คิดว่าเป็นเอกสารสัญญาที่ทั้งจำเลยที่ 1 และ โจทย์เลิกลาไม่ทะเลาะกัน
*** ทนายฝั่งจำเลย ขอให้ศาลพิสูจน์ลายมือ และ ขอท้าเป็นผลแพ้ชนะ
** ทนายฝั่งโจทย์ ปฎิเสธรับคำท้า แต่ยินดีให้ส่งตรวจพิสูจน์ / ที่ทนายปฎิเสธนั้น เพราะทางจำเลยที่ 1 เซ็นเป็นลายเซ็น ทนายโจทย์ ได้ยื่นเอกสารให้แก่ ศาล 5 ชุดที่เป็นลายเซ็น ที่จำเลยนั้นเซ็นเอกสารไว้รวมถึงเอกสาร ที่เซ็นกับศาลไว้เมื่อเดือน ก.ค นั้น ไม่เหมือนกันเลย โดยศาลเองก็รับเอกสารดูและเห็นถึงความแตกต่าง แต่ฝั่งจำเลยขอให้พิสูจน์ลายมือ ศาลได้เอ่ยว่า ต่อให้ผลจะออกมาเหมือนหรือไม่เหมือน ศาลก็ต้องดูพยานหลักฐานอื่นด้วย ไม่ใช่ว่าลายมือไม่เหมือนจะหมายถึงว่าเอกสารนั้นปลอม แต่ทางฝั่งจำเลยยังคงยื่นยันเช่นเดิม ศาลจึงได้ส่งพิสูจน์และนัดรอผลเดือน ต.ค อีกครั้ง
7. เดือนต.ค ผลยังไม่ออกเลื่อนเป็นเดือน ม.ค ทนายโจทย์ได้เดินทางไปเช็ครับทราบ และได้ยื่นเอกสารหลักฐานเพิ่มเติม หลักฐานที่ยื่นไป
7.1 แชทไลน์ ที่คุยมีระบุยอดหนี้ ของจำเลย และมีข้อความจากฝั่งจำเลยว่า หนี้จะหาเงินมาคืนให้ และสลิปเงินที่โอนคืนมา 3 งวด หลังจากที่มีการ เซ็นเอกสารที่ สน. โดยสลิปที่ส่งมา จำเลยที่ 1 ระบุในสลิปมาว่าเป็นงวดที่เท่าไรเสมอ
7.2 คลิปเสียงที่มีการตกลงเรื่องยอดหนี้ และ การผ่อนชำระ โดยในคลิปจะมีเสียง จำเลยทั้ง 3
7.3 คลิปวีดีโอ ที่จำเลยที่ 1 เซ็นเอกสาร รับสภาพหนี้ ครั้งแรกที่ผ่อนเดือนล่ะ 20,000
7.4 เอกสาร รับสภาพหนี้ ตัวจริง ที่ผ่อนยอด 20,000
7.5 รูปถ่าย ที่จำเลยที่ 1 เซ็นเอกสารหน้า สน. รับสภาพหนี้ ครั้งที่ 2 ผ่อนเดือนล่ะ 15,000
8.เดือน มค. กองพิสูจน์แจ้งว่าเอกสารไม่เพียงพอให้ส่งเอกลายมือจำเลย ที่เซ็นในช่วง 2565 เพิ่มเติม นัดส่ง 19 ก.พ นี้ ฝั่งโจทย์ต้องไปดูเอกสารด้วยว่ายอมรับเอกสารที่ยื่นเพิ่มไหม
**************** ส่วนเรื่องที่จะข้อคำแนะนำ เนื่องจากโจทย์เห็นว่าคดีมันช้าช้าและไม่ได้สืบพยานสักที
1. ในวันที่ 19 ก.พ ถ้าไปแล้วเอกสารจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม โจทย์สามารถร้องขอต่อศาลให้สืบพยานระหว่างรอผลได้ไหม
2. ดูจากหลักฐานที่โจทย์มี สามารถชนะได้ไหม
3. สามารถเร่งคดีในส่วนของศาลได้บ้างไหม
*** เนื่องจากทนายที่โจทย์ เวลาถามอะไรไป ก็บอกแค่ว่า ก็ให้จำเลยใช้สิทธิให้เต็มที / พูดตรงเลยว่าในเรื่องสิทธิเราไม่ว่ากัน แต่ในเรือ่งค่าใช้จ่ายเราค่อยข้างหนัก เพราะทุกครั้งที่ทนายไปศาลเราต้องจ่ายค่าเดินทาง 3000 ไม่รวมค่าทนาย ซึ้งโดยไปประมาณครึ่งแสน แล้วเราต้องหาเงินจ่ายธนาคารไปด้วยอีก และไม่รุ้เลยว่าคดีจะจบเมื่อไหร่ จบแล้วก็ไม่รุ้จะได้เงินตอนไหน ต้องบังคับคดีต่อ โดยความหวังที่ว่า ไปบังคับคดีจำเลยที่ 1 และ 3ได้บ้างจากเงินเดือน และจำเลยที่ 3 ที่บ้านแต่ไม่รู้ว่าโอนก่อนที่เราจะฟ้องไปหรือยัง แต่ปัจจุบันยังอยู่บ้านนั้น โดยที่จำเลยทั้ง 3 ไม่ได้มีจิตสำนึกจะใช้หนี้อะไรเลย แถมไปทำบ้านใหม่ คือจะไปทำบ้านอะไรก็แล้วแต่เขา แต่ควรมาใช้หนี้ทีตัวเองก่อขึ้น
ฟ้องคดีแพ่ง + ตรวจพิสูจน์ลายมือ
ผมได้ทำเรื่องฟ้องร้องแพ่ง จำเลย 3 คน ( แฟนเก่า / แม่แฟนเก่า / พ่อเลี้ยงแฟนเก่า ) คดีรับสภาพหนี้ เริ่มฟ้องในเดือน พ.ค 2566
*** ขอเล่ารายละเอียดคร่าวๆก่อนน่ะคับ
แฟนเก่าได้มีการยืมเงิน และ เป็นหนี้ร่วมกันในเรื่องของสินเชื่อ (หนี้สินเชื่อ ใช้ชื่อผมกู้คนเดียว) และได้มีการเลิกรากัน จึงมีการตกลงเรื่องหนี้สิน
1. ตกลงแบ่งหนี้ที่เป็นร่วมกันคนล่ะครึ่ง โดยมีการให้เขาเซ็นรับสภาพหนี้ไว้ ผ่อนจ่ายเดือนล่ะ 20,000 บาท (โดยตอนที่เซ็นเอกสารเราได้ถ่ายคลิปเป็นหลักฐานเอาไว้) แต่พอถึงเวลาใกล้จ่ายเงินให้ธนาคาร กลับส่งข้อความมาบอกว่าจะจ่ายแค่ 5,000 บาท ถ้าไม่พอใจให้ไปแจ้งความเอา เราจึงโทรไปพูดคุย โดยตอนที่โทรไปคุยกันนั้น จำเลยทั้ง 3 อยู่ครบ (ระหว่างที่คุยจำเลยทั้ง 3 โต้แย้งอยู่ในสายด้วย)
2.หลังจากมีการพูดคุยกันแล้ว ได้ตกลงกันใหม่ว่าให้ผ่อนเดือนล่ะ 15,000 บาท โดยครั้งนี้ต้องมีคนเซ็นค้ำประกัน 2 คน หลังจากตกลงกันได้ ก็นัดไปเซ็นเอกสารที่ สน.
3.ที่ สน. คู่กรณีเดินทางมาเซ็นเอกสารแค่ 2 คน ซึ่งอ้างว่าอีกคนติดงาน หลังจากนั้นก็ได้เข้าไปเซ็นเอกสารได้ให้ จนท.ตำรวจ ออกเป็นบันทึกประจำวันเป็นหลักฐาน โดยระบุว่า ชื่อ (แฟนเก่า) ยินยอมรับสภาพหนี้ xxxxx บาท ผ่อนเดือนล่ะ 15000 จำนวน x งวด โดยเงื่อนไขต้องมีผู้ค้ำ จำนวน 2 คน ชื่อ( โจทย์ เราเอง) จำจะยอมให้ผ่อนตามตกลง หลังจากนั้นก็เซ็นรับทราบ จนท.ก็ให้เอกสารไว้คนล่ะ 1 ชุด
4. หลังเซ็นจากจนท.ตำรวจเสร็จ ก็ออกมาเซ็นเอกสารรับสภาพหนี้ หน้าสน. โดยมี จำเลยที่ 1 เซ็น ( ได้ถ่ายรูปไว้ ) จำเลยที่ 2 เซ็นค้ำ ( แม่แฟนเก่า ) หลังจากนั้นให้เอกสารคนค้ำไปอีก 1 ชุด เพื่อให้เขาเอาไปให้ พ่อเลี้ยงเซ็น
5.หลังจากให้เอกสารไปก็มีการทวงถามเอกสารที่ให้ไป ฝั่งนั้นโยกโย้ตลอด จนภายหลังเราติดต่อ จำเลยที่ 3 โดยตรงให้มาเซ็นเอกสาร จำเลยที่ 3 ก็มาเซ็นเอกสาร หลังจากนั้น จำเลยที่ 1 ก็ได้ผ่อนจ่ายตามตกลงมา 3 งวด พอเข้างวดที่ 4 (ต้นเดือน เม.ย) ไม่จ่ายนิ่งเฉยติดต่อไม่ได้ พอติดต่อได้บอกให้ไปฟ้องเอา(ติดต่อทั้ง 3 คน) จนปลายเดือน เม.ย ได้ให้ทนายส่ง โนติส ไปให้จำเลยทั้ง 3 คน ก็ยังคงนิ่งเฉย กลางเดือน พ.ค 2566 ได้ส่งฟ้องศาล และนัดขึ้นศาลแรก เดือน ก.ค จำเลยทั้ง 3 มาศาล แต่ต่อสู้คดีไม่ยอมรับหนี้ แต่ไม่มีทนายมา ศาลเลื่อนนัด เป็นเดือน ส.ค
6. เดือน ส.ค มาตามศาลนัด โดยจำเลยทั้ง 3 ยื่นคำให้การว่า
จำเลยที่ 1 อ้างว่า ไม่เคยเซ็นรับสภาพหนี้ ไม่เคยรับยอดหนี้ดังกล่าว แต่มีการโอนเงินให้ 2 ครั้งเพราะเคยเจรจาว่า จะไม่เรียกร้องใดๆกันอีก และจบเรื่องบาดหมางกัน
จำเลยที่ 2-3 อ้างว่า ทราบว่าโจทย์กับจำเลยที่ 1 มีปัญหาเรื่องเงิน แต่ไม่ทราบยอดเท่าไร เป็นเงินอะไร ต่อมามีการนำเอกสารมาให้เซ็นเป็นพยานและคนค้ำ แต่ไม่ทราบเงื่อนไข จึงได้ลงชื่อ โดยให้ความสำคัญผิด คิดว่าเป็นเอกสารสัญญาที่ทั้งจำเลยที่ 1 และ โจทย์เลิกลาไม่ทะเลาะกัน
*** ทนายฝั่งจำเลย ขอให้ศาลพิสูจน์ลายมือ และ ขอท้าเป็นผลแพ้ชนะ
** ทนายฝั่งโจทย์ ปฎิเสธรับคำท้า แต่ยินดีให้ส่งตรวจพิสูจน์ / ที่ทนายปฎิเสธนั้น เพราะทางจำเลยที่ 1 เซ็นเป็นลายเซ็น ทนายโจทย์ ได้ยื่นเอกสารให้แก่ ศาล 5 ชุดที่เป็นลายเซ็น ที่จำเลยนั้นเซ็นเอกสารไว้รวมถึงเอกสาร ที่เซ็นกับศาลไว้เมื่อเดือน ก.ค นั้น ไม่เหมือนกันเลย โดยศาลเองก็รับเอกสารดูและเห็นถึงความแตกต่าง แต่ฝั่งจำเลยขอให้พิสูจน์ลายมือ ศาลได้เอ่ยว่า ต่อให้ผลจะออกมาเหมือนหรือไม่เหมือน ศาลก็ต้องดูพยานหลักฐานอื่นด้วย ไม่ใช่ว่าลายมือไม่เหมือนจะหมายถึงว่าเอกสารนั้นปลอม แต่ทางฝั่งจำเลยยังคงยื่นยันเช่นเดิม ศาลจึงได้ส่งพิสูจน์และนัดรอผลเดือน ต.ค อีกครั้ง
7. เดือนต.ค ผลยังไม่ออกเลื่อนเป็นเดือน ม.ค ทนายโจทย์ได้เดินทางไปเช็ครับทราบ และได้ยื่นเอกสารหลักฐานเพิ่มเติม หลักฐานที่ยื่นไป
7.1 แชทไลน์ ที่คุยมีระบุยอดหนี้ ของจำเลย และมีข้อความจากฝั่งจำเลยว่า หนี้จะหาเงินมาคืนให้ และสลิปเงินที่โอนคืนมา 3 งวด หลังจากที่มีการ เซ็นเอกสารที่ สน. โดยสลิปที่ส่งมา จำเลยที่ 1 ระบุในสลิปมาว่าเป็นงวดที่เท่าไรเสมอ
7.2 คลิปเสียงที่มีการตกลงเรื่องยอดหนี้ และ การผ่อนชำระ โดยในคลิปจะมีเสียง จำเลยทั้ง 3
7.3 คลิปวีดีโอ ที่จำเลยที่ 1 เซ็นเอกสาร รับสภาพหนี้ ครั้งแรกที่ผ่อนเดือนล่ะ 20,000
7.4 เอกสาร รับสภาพหนี้ ตัวจริง ที่ผ่อนยอด 20,000
7.5 รูปถ่าย ที่จำเลยที่ 1 เซ็นเอกสารหน้า สน. รับสภาพหนี้ ครั้งที่ 2 ผ่อนเดือนล่ะ 15,000
8.เดือน มค. กองพิสูจน์แจ้งว่าเอกสารไม่เพียงพอให้ส่งเอกลายมือจำเลย ที่เซ็นในช่วง 2565 เพิ่มเติม นัดส่ง 19 ก.พ นี้ ฝั่งโจทย์ต้องไปดูเอกสารด้วยว่ายอมรับเอกสารที่ยื่นเพิ่มไหม
**************** ส่วนเรื่องที่จะข้อคำแนะนำ เนื่องจากโจทย์เห็นว่าคดีมันช้าช้าและไม่ได้สืบพยานสักที
1. ในวันที่ 19 ก.พ ถ้าไปแล้วเอกสารจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม โจทย์สามารถร้องขอต่อศาลให้สืบพยานระหว่างรอผลได้ไหม
2. ดูจากหลักฐานที่โจทย์มี สามารถชนะได้ไหม
3. สามารถเร่งคดีในส่วนของศาลได้บ้างไหม
*** เนื่องจากทนายที่โจทย์ เวลาถามอะไรไป ก็บอกแค่ว่า ก็ให้จำเลยใช้สิทธิให้เต็มที / พูดตรงเลยว่าในเรื่องสิทธิเราไม่ว่ากัน แต่ในเรือ่งค่าใช้จ่ายเราค่อยข้างหนัก เพราะทุกครั้งที่ทนายไปศาลเราต้องจ่ายค่าเดินทาง 3000 ไม่รวมค่าทนาย ซึ้งโดยไปประมาณครึ่งแสน แล้วเราต้องหาเงินจ่ายธนาคารไปด้วยอีก และไม่รุ้เลยว่าคดีจะจบเมื่อไหร่ จบแล้วก็ไม่รุ้จะได้เงินตอนไหน ต้องบังคับคดีต่อ โดยความหวังที่ว่า ไปบังคับคดีจำเลยที่ 1 และ 3ได้บ้างจากเงินเดือน และจำเลยที่ 3 ที่บ้านแต่ไม่รู้ว่าโอนก่อนที่เราจะฟ้องไปหรือยัง แต่ปัจจุบันยังอยู่บ้านนั้น โดยที่จำเลยทั้ง 3 ไม่ได้มีจิตสำนึกจะใช้หนี้อะไรเลย แถมไปทำบ้านใหม่ คือจะไปทำบ้านอะไรก็แล้วแต่เขา แต่ควรมาใช้หนี้ทีตัวเองก่อขึ้น