โดนบัตรเครดิตฟ้อง รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เครียดครับตอนนี้

โดนบัตรเครดิตฟ้อง รู้เท่าไม่ถึงการ เครียดครับตอนนี้ ผู้รู้ช่วยชี้แนะ
ท้าวความ
เป็นหนี้บัตรเครดิตหลายใบ ผ่อนไม่ไหว เลยหยุดผ่อน เพราะกะว่าบัตรจะส่งฟ้องศาลแล้วเราก็ได้ได้ขอไกล่เกลี่ย
ก่อนหน้านี้ก็หาข้อมูลมาพอสมควรว่าศาลท่านจะพิจารณาช่ายเหลือไกล่เกลี่ยให้เราสามารถจ่ายหนี้ได้และดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้
อ่านข้อมูลตามอินเตอร์สรุปข้อมูลที่หามาได้ว่าโดนฟ้องแล้วคุ้มกว่าเราไปประนอมหนี้

วันนี้ศาลนัดหนึ่งบัตรยอดหนี้แสนหก
1.พอไปถึงศาลก็จะมีห้องไกล่เกลี่ยก่อน ทนายบัตรเครดิตก็เอาเอกสารการผ่อนประนอมหนี้มาให้ 1 ฉบับ บอกให้จ่ายตามนี้แล้วจะได้ไปต้องขึ้นศาล
2.ผมเห็นจำนวนเงินผ่อนแล้วก็รู้เลยว่าผ่อนไม่ไหวแน่ๆ เลยบอกไปว่าจ่ายไม่ไหวจริงๆครับ ลดจำนวนต่องวดได้มั่ย ทนายบอกไม่ได้หรอกไม่มีอำนาเปลี่ยนแปลงสัญญา ผมเลยบอกไปว่าถ้าอย่างนั้นขอขึ้นศาลแล้วกัน เจ้าหน้าที่ศาลในห้องนั้นสามคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ายอมจ่ายไปเถอะศาลท่านช่วยอะไรไม่ได้หรอก ผมก็เริ่มหวั่นๆเอ๊ะไม่เห็นเหมือนที่อ่านๆมาเลย สุดท้ายเจ้าหน้าที่บอกให้ไปรอที่ห้องพิจารณาคดี 1
3.เลขาหน้าบันลังก์ถามว่าจะสู้ตดีหรอ ผมก็ตอบไปว่าไม่ได้สู้ครับ ยอมรับสภาพหนี้ (ที่ตอบไปแบบนั้นเพราะไม่ได้คิดจะไม่จ่ายจริงๆ เพียงแค่อยากผ่อนต่องวดให้น้อยกว่านี้แค่นั้นเอง) แค่อยากให้ศาลไกล่เกลี่ยให้จ่ายต่องวดต่ำกว่านี้ครับ และอยากขอลดดอกเบี้ยระหว่างผ่อนชำระด้วย เลขาก็ตอบมาว่าศาลท่านไม่มีอำนาจหลอก เป็นเงื่อนไขของธนาคาร ศาลท่านจะสั่งให้ใช้หนี้เลยน่ะเมื่อจบคดี (ผมยิ่งหวั่นอีก เพราะที่หาข้อมูลมาศาลท่านจะไกล่เกลี่ยให้นี่)
4.นั่งรออยู่พักใหญ่ เลขาถามอีก ไม่สู้ใช้มั่ย ไม่คัดค้านใช่มั่ย ครับยอมรับหนี้ครับแค่อยากให้ศาลไกล่เกลี่ยยอดชำระต่องวดกับขอลดดอกเบี้ยครับ ผมตอบแบบเดิม เลขขาก็พูดแบบเดิมเหมือนกันว่าศาลไม่มีอำนาจหรอก ระหว่างนั้นทยายก็จัดเตรียทเอกสารของเขาไป สักพักทนายก็ออกไปจากห้องพิจารณาคดี
5.อีกสักพักเลขาก็เอาเอกสารมาให้เซ็นข้อความในนั้นประมาณนี้ครับ
     นัดพิจารณาเพื่อไกล่เกลี่ยให้การและสืบพยานโจทย์จำเลยวันนี้ ผู้รับมอบอำนาจช่วงโจทย์และจำเลยมาศาล
     จำเลยแถลงว่าไม่ประสงค์จะยื่นคำให้การและไม่ประสงค์จะถามค้านพยานโจทย์ถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
     พยานโจทย์แถลงว่าเมื่อจำเลยไม่ประสงค์จะถามค้านพยานโจทย์จึงขออ้านส่งเอกสารการสืบพยาน
     พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทย์ฟ้องขอให้บังคำจำเลยชำระหนี้จำนวนที่แน่นอน จึงอนุญาตให้พยานโจทย์อ้างส่งเอกสารแทนการสืบพยานได้
     พยานโจทย์อ้างส่งเอกสารแทนการสืบพยาน 15 ฉบับ หมายศาลหนึ่งฉบับ เอกสารให้รวมสำนวนไว้ แล้วทนายโจทย์แถลงหมดพยานเพียงเท่านี้
     คดีเป็นอันสิ้นการพิจารณา
     ให้รอฟังคำพิพากษาวันนี้
     ออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 15 วัน ไม่มีผู้รับโดยขอให้ปิด/อ่านแล้ว
ผมก็อ่านด้วยความมึนบวกงง เลขาก็บอกให้เซ็น ผมก็เซ็น
6.เซ็นเสร็จเลขาบอกให้กลับบ้านได้ ผมงงหนักเลยทีนี้ อ้าววววแล้วศาลไม่ลงบันลังก์ไกล่เกลี่ยหรอครับ เลขาบอกท่านไม่ลงหรอกคดีเยอะ แล้วท่านไม่ต้องพิจารณาคดีหรอครับ แล้วผมต้องรอฟังคำสั่งศาลมั่ยครับ ที่ผมถามไปแบบนั้ดก็นึกว่าศาลท่านจะลงมาพิจาณา เลขาบอกไม่ต้องรอ เดี่ยวทนายคงทำหนังสือไป ผมแทบทรุดที่เซ็นไปเมื่อกี้คืออะไร แล้วข้อมูลที่หามาว่าศาลจะช่วยไกล่เกลี่ยหละ ทำมัยจบแบบนี้
7.กลับมาบ้านพร้อมอาการมึนงง เครียด หาข้อมูล ถามคนที่พอจะมีความรู้ ได้ความมาว่า รอคำสั่งศาลอย่างเดียวเลย แล้วก็รอทนายมาบังคับคดี
8.ตอนนี้เครียดมากยอดผ่อนก็ผ่อนไม่ไหวอยู่แล้ว ไม่เคยคิดหนี้ไม่เคยคิดเบี้ยว แค่อยากขอให้ลดยอดต่องวดแค่นั้นเอง สุดท้ายคดีเร่งรัดมากปิดไปแล้วโดยไม่รู้ตัว แบบนี้รอวันคำสั่งศาลมาถึงอย่างเดียวเลยใช่มั่ยครับ พอจะมีทางออกทางอื่นอีกมั่ยครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 11
2.ผมเห็นจำนวนเงินผ่อนแล้วก็รู้เลยว่าผ่อนไม่ไหวแน่ๆ เลยบอกไปว่าจ่ายไม่ไหวจริงๆครับ ลดจำนวนต่องวดได้มั่ย ทนายบอกไม่ได้หรอกไม่มีอำนาเปลี่ยนแปลงสัญญา ผมเลยบอกไปว่าถ้าอย่างนั้นขอขึ้นศาลแล้วกัน เจ้าหน้าที่ศาลในห้องนั้นสามคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ายอมจ่ายไปเถอะศาลท่านช่วยอะไรไม่ได้หรอก ผมก็เริ่มหวั่นๆเอ๊ะไม่เห็นเหมือนที่อ่านๆมาเลย สุดท้ายเจ้าหน้าที่บอกให้ไปรอที่ห้องพิจารณาคดี 1
=> ศาลไม่มีอำนาจต่อรองให้ครับ จำเลยกับโจทก์ต้องต่อรองเอง ถ้าโยนให้ศาลศาลก็ตัดสินตามหลักฐานครับ (ซึ่งก็เท่ากับยอดหนี้ทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยทั้งหมดที่โจทก์ยื่นมา โดยชำระเป็นก้อนเดียว)

3.เลขาหน้าบันลังก์ถามว่าจะสู้ตดีหรอ ผมก็ตอบไปว่าไม่ได้สู้ครับ ยอมรับสภาพหนี้ (ที่ตอบไปแบบนั้นเพราะไม่ได้คิดจะไม่จ่ายจริงๆ เพียงแค่อยากผ่อนต่องวดให้น้อยกว่านี้แค่นั้นเอง) แค่อยากให้ศาลไกล่เกลี่ยให้จ่ายต่องวดต่ำกว่านี้ครับ และอยากขอลดดอกเบี้ยระหว่างผ่อนชำระด้วย เลขาก็ตอบมาว่าศาลท่านไม่มีอำนาจหลอก เป็นเงื่อนไขของธนาคาร ศาลท่านจะสั่งให้ใช้หนี้เลยน่ะเมื่อจบคดี (ผมยิ่งหวั่นอีก เพราะที่หาข้อมูลมาศาลท่านจะไกล่เกลี่ยให้นี่)
=> อันนี้หลุดจากห้องไกล่เกลี่ยแล้วใช่ไหม คือเวลาไกล่เกลี่ยเนี่ย จำเลยมีหน้าที่ยื่นข้อเสนอด้วยนะครับ ไม่ใช่ว่าโจทก์เสนอมาจำเลยไม่เอาแล้วจะมีใครมาช่วยจำเลย ผมว่ากรณีคุณเนี่ยผิดตรงที่คุณขอขึ้นศาลแล้ว เพราะคำว่าขอขึ้นศาลคือยกเลิกการไกล่เกลี่ย กลับไปดำเนินคดีตามปกติ ไกล่เกลี่ยคือคุญต้องคุยกับโจทก์ให้จบ ถ้าไม่จบคุณติดอะไรคุณขอเลื่อนได้ เช่น ทนายโจทก์ไม่มีอำนาจ คุณอาจจะบอกไปว่าผมผ่อนไหวแค่นี้ ขอให้ทนายโจทก์กลับไปคุยกับคนมีอำนาจมาอีกที แล้วนัดกันใหม่ (ไม่ใช่เอะอะก็ขอขึ้นศาล ศาลช่วยอะไรไม่ได้นะครับ คุณไม่เจรจาเองแล้วใครจะช่วย)

4.นั่งรออยู่พักใหญ่ เลขาถามอีก ไม่สู้ใช้มั่ย ไม่คัดค้านใช่มั่ย ครับยอมรับหนี้ครับแค่อยากให้ศาลไกล่เกลี่ยยอดชำระต่องวดกับขอลดดอกเบี้ยครับ ผมตอบแบบเดิม เลขขาก็พูดแบบเดิมเหมือนกันว่าศาลไม่มีอำนาจหรอก ระหว่างนั้นทยายก็จัดเตรียทเอกสารของเขาไป สักพักทนายก็ออกไปจากห้องพิจารณาคดี
=> คุณนี่ก็ดื้อเนอะ เค้าก็บอกย้ำๆกันหลายคนแล้ว ว่าถ้าขึ้นศาลไม่มีไกล่เกลี่ยไม่มีลดยอด

5.อีกสักพักเลขาก็เอาเอกสารมาให้เซ็นข้อความในนั้นประมาณนี้ครับ
     นัดพิจารณาเพื่อไกล่เกลี่ยให้การและสืบพยานโจทก์จำเลยวันนี้ ผู้รับมอบอำนาจช่วงโจทก์และจำเลยมาศาล
     จำเลยแถลงว่าไม่ประสงค์จะยื่นคำให้การและไม่ประสงค์จะถามค้านพยานโจทก์ถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
     พยานโจทก์แถลงว่าเมื่อจำเลยไม่ประสงค์จะถามค้านพยานโจทก์จึงขออ้านส่งเอกสารการสืบพยาน
     พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้บังคำจำเลยชำระหนี้จำนวนที่แน่นอน จึงอนุญาตให้พยานโจทก์อ้างส่งเอกสารแทนการสืบพยานได้
     พยานโจทก์อ้างส่งเอกสารแทนการสืบพยาน 15 ฉบับ หมายศาลหนึ่งฉบับ เอกสารให้รวมสำนวนไว้ แล้วทนายโจทก์แถลงหมดพยานเพียงเท่านี้
     คดีเป็นอันสิ้นการพิจารณา
     ให้รอฟังคำพิพากษาวันนี้
     ออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 15 วัน ไม่มีผู้รับโดยขอให้ปิด/อ่านแล้ว
ผมก็อ่านด้วยความมึนบวกงง เลขาก็บอกให้เซ็น ผมก็เซ็น
=> งงเพราะมั่นใจอะไรผิดว่าศาลจะไกล่เกลี่ยหน้าบัลลังค์(ไปเอาความเข้าใจผิดนี้มาจากไหนน้อ) งงเพราะไม่รู้กระบวนการในศาลและไม่คิดจะรู้(หวังว่าจะมีใครมาช่วยเหรอครับ ก่อนไปไม่ศึกษาให้รู้แน่จริง ทนายก็ไม่หาไป)

6.เซ็นเสร็จเลขาบอกให้กลับบ้านได้ ผมงงหนักเลยทีนี้ อ้าววววแล้วศาลไม่ลงบันลังก์ไกล่เกลี่ยหรอครับ เลขาบอกท่านไม่ลงหรอกคดีเยอะ แล้วท่านไม่ต้องพิจารณาคดีหรอครับ แล้วผมต้องรอฟังคำสั่งศาลมั่ยครับ ที่ผมถามไปแบบนั้ดก็นึกว่าศาลท่านจะลงมาพิจาณา เลขาบอกไม่ต้องรอ เดี่ยวทนายคงทำหนังสือไป ผมแทบทรุดที่เซ็นไปเมื่อกี้คืออะไร แล้วข้อมูลที่หามาว่าศาลจะช่วยไกล่เกลี่ยหละ ทำมัยจบแบบนี้
=> หามาไม่ผิดหรอกแต่คุณคิดไปเอง เข้าใจผิดไปเองแล้วไม่ฟังใคร ไอ้ที่ศาลให้ไกล่เกลี่ยน่ะคือข้อ 1 ของคุณ คือที่ห้องไกล่เกลี่ยเท่านั้น ไม่มีไกล่เกลี่ยหน้าบังลังค์ ซึ่งคุณปฏิเสธไปแล้ว คุณเองที่ยืนยันว่าขอขึ้นศาล (ขึ้นศาลไม่มีไกล่เกลี่ยแล้วนะครับ)
จนท.ศาลที่คุณบอกว่าเจอในห้องไกล่เกลี่ยน่ะ รู้ไหมว่าบางท่านก็เป็นผู้พิพาษานั่นแหล่ะ คุณจะคุยอะไรจะเจรจาอะไรต้องคุยในห้องนั้นให้จบ ไม่จบก็ต้องขอเวลานัดกันใหม่ อีกอย่างไม่มีหรอกนะครับว่าจะมีใครมาช่วยพูดให้คุณอย่างที่คุณหวัง (คุณคงหวังว่าคงจะมีใครช่วยพูดต่อรองกับโจทก์ให้ ไม่มีหรอกนะครับ คุณต้องต่อรองเอง ทางศาลเป็นคนกลางและคอยรับฟังเท่านั้น) เว้นแต่คุณพาทนายไป ทนายอาจจะช่วยต่อรองแทนคุณได้

7.กลับมาบ้านพร้อมอาการมึนงง เครียด หาข้อมูล ถามคนที่พอจะมีความรู้ ได้ความมาว่า รอคำสั่งศาลอย่างเดียวเลย แล้วก็รอทนายมาบังคับคดี
=> แล้วไม่รู้จักถามให้ครบ ให้ถ่องแท้ก่อนไปล่ะครับ

8.ตอนนี้เครียดมากยอดผ่อนก็ผ่อนไม่ไหวอยู่แล้ว ไม่เคยคิดหนี้ไม่เคยคิดเบี้ยว แค่อยากขอให้ลดยอดต่องวดแค่นั้นเอง สุดท้ายคดีเร่งรัดมากปิดไปแล้วโดยไม่รู้ตัว แบบนี้รอวันคำสั่งศาลมาถึงอย่างเดียวเลยใช่มั่ยครับ พอจะมีทางออกทางอื่นอีกมั่ยครับ
=> คดีไม่เร่งรัดหรอกครับเป็นไปตามปกติ ถ้าถามว่าทำไมมันเร็ว เร็วเพราะคุณเองนั่นแหล่ะ คุณปฏิเสธจะเจรจาขอขึ้นศาลท่าเดียว คุณขึ้นศาลโดยไม่มีทนายโดยไม่รู้กฏหมายไม่รู้กระบวนการมันก็เละแบบนี้ เพราะคุณไม่ยื่นคำให้การ คุณไม่มีพยานหลักฐานสู้คดี
ทางออกไม่มี นั่งรอหมายบังคับคดีล่ะกันครับ(หมายยึดทรัพย์ อายัดทรัพย์นั่นเอง) วันที่ขึ้นศาล ศาลจะมีคำพิพากษาออกมาซึ่งไม่ต้องเดาอะไรก็รู้ไว้เลยครับว่าศาลพิพากษาให้ชำระหนี้และดอกเบี้ยทั้งหมดตามที่โจทก์ขอเป็นเงินก้อน ก้อนเดียวไม่มีผ่อน
ถ้าพิพากษาแล้วคุณไม่จ่าย ทนายโจทก์จะขอบังคับคดี ขั้นตอนนี้ประมาณ 1-2 เดือน จากนั้นทนายโจทก์ก็จะสืบทรัพย์(คือสืบหาดูว่าคุณมีอะไรให้ยึดอายัดบ้าง) แล้วทนายก็จะส่งข้อมูลให้สำนักงานบังคับคดี(สาขาของกรมบังคับคดีในท้องที่เดียวกับศาล) บังคับคดีก็จะออกหมายมายึดทรัพย์ หรืออายัดทรัพย์ของคุณ(เช่น อายัดเงินเดือน)
เมื่อถูกยึดทรัพย์ อายัดทรัพย์ได้ครบตามจำนวนหนี้ คุณก็ต้องไปติดต่อสำนักงานบังคับคดีเจ้าของเรื่องเพื่อขอปลดบังคับคดี ตรงนี้มีค่าใช้จ่ายนิดหน่อยตามยอดเงินที่โดนอายัด/ยึดมา ค่าใช้จ่ายจริงนี้ลองเจรจากับเจ้าหนี้ดู เจ้าหนี้ที่เป็นสถาบันการเงินบางรายอาจจะเสียค่าธรรมเนียมปลดบังคับคดีตรงนี้ให้(แต่บางรายก็ให้ลูกหนี้เสียเอง) ถ้าไม่ปลดบังคับคดี คำสั่งอายัด หรือยึดทรัพย์มันก็จะมีผลคาไว้อย่างนั้น (เช่น ถ้าอายัดเงินเดือน มันก็ยังอายัดต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะมีการปลดบังคับคดี) ดังนั้นถ้าจ่ายหนี้ครบแล้วก็รีบไปปลดซะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่