ก่อนอื่นเลยเราอยากบอกทุกคนเลยว่า อย่าหาทำตาม!!นะคะ
ขอเกริ่นก่อนเลยว่าเราเริ่มสงสัยว่าตัวเองป่วยเป็นโรคซึมเศร้าหรือเปล่าก็ตอนป.6 ตอนนั้นครูให้ทำหน้ากากนักร้อง เราพยายามทำแล้วแต่มันก็ไม่เป็นดั่งใจหวัง ทำให้เราเครียด มีปัญหากับยาย ทะเลาะมีปากเสียงกันอยู่บ่อยๆจนเราหนีออกจากบ้านหลายครั้ง ทำร้ายตัวเองทั้งกรีดแขน กินไฮเตอร์ ช่วงเช้าจะไม่อยู่บ้านเพราะไม่อยากทะเลาะกับยายก็เลยหนีออกไปเที่ยวกับเพื่อนทุกวัน พอขึ้นมา.ต้นเราก็ได้ย้ายไปอยู่กับป้า ทุกอย่างก็ดำเนินไปได้ดี ปกติทุกอย่าง พอเขาเทอมที่ 2 เราได้ไปแข่งเป็นตัวแทนระดับภาค แต่กลับทำได้ไม่ดี ทำได้แค่รางวลชมเฉย ในขณะที่พี่ๆในหมวดเราได้เหรียญทองกัน ไม่ก็ได้ไปต่อระดับประเทศ ช่วงนั้นเราโหมทำการบ้าน ทั้งเตรียมตัวแข่ง อดหลับอดนอนมาหลายอาทิตย์ พอผลที่ได้มันออกมาไม่ได้อย่างที่คิดมันทำให้เราไม่กล้าไปเจอครู ไม่ไปโรงเรียน จนกลับมาทำร้ายตัวเองอีกครั้ง เป็นแบบนี้อยู่สักพัก สุดท้ายป้าก็เห็นว่าแขนเรามีรอยแผลเป็นทางยาว ยังมีเลือดซิบๆอยู่ ก็พาเราไปหาหมอ ซักประวัติเสร็จก็ให้เราไปแผนกจิตเวชเด็ก ตอนนั้นอายุ 13 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการรักษาโรคซึมเศร้าอย่างจริงจัง
ตั้งแต่เริ่มรักษามาจนเราอายุได้ 15 ก็กลับมาอยู่กับยายเหมือนเดิม เราไม่กินยาแต่ก็ไปหาหมอตามนัดแล้วเก็บยาไว้ เพราะตอนที่เราเลิกยาเองก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร พอผ่านไปได้ประมาณ 1 ปี เราเริ่มมีความคิดลบๆ ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยได้ เลยเอายาที่เก็บไว้มากิน ก็เป็นยารักษาโรคซึมเศร้านั่นแหละ แต่ไม่ได้กินตามที่หมอสั่ง เรากินยาวันละแผงซึ่งมันเกินขนาด เรากินแบบนี้ได้อาทิตย์สองอาทิตย์ อารมณ์เราก็สวิ้ง ดีดเหมือนคนดีดยา ร้องไห้ไปด้วยยิ้มไปด้วยหัวเราะไปด้วย ซึ่งน้องที่รู้จักเราก็รักษาโรคนี้อยู่เลยมีเบอร์โทรหัวหน้าแผนกจิตเวช(ตามกฎแล้วคือสิ่งต้องห้าม) แม่น้องข้างบ้านก็โทรไปบอกหัวหน้าพยาบาล เขาเลยให้ไปแอดมิดที่โรงบาลก่อน แต่อาการเราไม่ดีขึ้นก็เลยส่งไปอีกอำเภอหนึ่งที่มีแพทย์เฉพาะทาง ตั้งแต่นั้นมาชีวิตเราก็เปลี่ยนไป เข้าออกโรงบาลตลอดจนไม่ได้เรียน พอเวลาผ่านไปเราก็ยังคงแอดมิดที่โรงบาลอยู่เรื่อยๆ จนมาวันหนึ่งพี่ผู้ช่วยให้คนไข้ย้ายเตียง เราเลยถามพี่เขาว่าย้ายเตียงทำไม มีคนมาใหม่หรอ พี่เขาก็บอกว่าใช่ เป็นเคสคลุ้มคลั่ง วันนั้นคือไม่มีใครนอนเลย รอแต่คนมาแอดมิดใหม่ ประมาณ 20:30 คนไข้ก็มา เราก็แปลกใจ คลุ้มคลั่งตรงไหนปกติ เพื่อนๆก็เขาไปทักถามต่างๆนานา สรุปคือเขาเป็นคนบ้านเรา เรียนที่เดียวกัน เขารู้จักเรา แต่เราไม่รู้จักเขา เราสงสัยว่าทำไมเขาถึงรู้ว่าเราป่วยเป็นโรคนี้ เขาก็บอกว่ามีคนพูดต่อๆกันมา พอเวลาผ่านไปไม่ถึง 1 เดือน เพื่อนเราคนนี้ก็ฆ่าตัวตาย ด้วยการกินยานอนหลับ 3 เม็ด แล้วใช้สายไฟขึงเป็นแนวยาวแล้วพับคอลงตรงสายไฟ กว่าพ่อแม่เขาจะเข้ามาเห็นตอนนั้นก็มือเย็นไปแล้ว พาไปโรงบาลก็ไม่ทัน สรุปเพื่อนเราก็เสีย เราไปงานศพเพื่อน ยายเพื่อนเห็นเราเขาก็ร้องไห้ เขาบอกว่าเราเหมือนหลานเขามาก ใส่แว่นตาเหมือนกัน ใช้ที่มัดผมมาใส่ที่ข้อมือเหมือนกัน มัดผมเหมือนกัน เราก็ปล่อยให้ยายแกจับตัวเราไปแบบนั้นจนก่อนกลับเราบอกว่า "ยายกอดหนูไหม" ยายก็กอดแล้วก็ร้องไห้
พอกลับมาถึงบ้านช่วงดึก เราบอกให้ยายเข้านอนก่อนเลย แล้วเพื่อนเราพึ่งเสียมันทำให้เราดิ่งมาก มากจนถึงขั้นอยากตายแบบเขา ทำไมคนที่ตายถึงไม่ใช่เรา เราก็นั่งแกะยาที่หมอให้กิน ระหว่างแกะยาใส่รวมๆกัน เรามีสติดีทุกอย่างแต่เราไม่สามารถควบคุมความคิดตัวเองได้ พอแก้ยาเสร็จเราก็กิน 1 กำ น้ำ 1 คำ แบบนี้ไปเรื่อยๆจนยาเกือบหมด เราก็กลับไปนอน หลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีคืออยู่โรงบาลตัวเมืองแล้ว เป็นการวางแผนฆ่าตัวตายที่เกือบตาย น้าบอกว่าเราอยู่ห้อง ICU สายระโยงระยางเต็มตัวเราไปหมด หมอบอกว่าถ้าสองถึงสามวันเราไม่ฟื้นก็คือเราไม่รอด หรือถ้าฟื้นขึ้นมาก็นอนเป็นผักติดเตียงไปไหนไม่ได้ เอาง่ายๆก็คือพิการนั่นแหละ แต่เราโชคดีหน่อยที่ไม่ได้เป็นอะไร แต่ตอนตื่นมาแรกๆแขนขาเราไม่มีแรงจริงๆ พอเราเริ่มมีสติน้องข้างบ้านก็บอกว่าเราอะกินยาไป 400 กว่าเม็ด เยอะชนิดที่ว่าล้างท้องแล้วยายังละลายไม่หมด ยาออกมาเป็นเม็ดเลย ซึ่งตอนนั้นเราไม่รู้ตัว ก็คือง่ายๆเป็นการฆ่าตัวตายที่ไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลย เหมือนแค่หลับแล้วก็ตื่นขึ้นมา พอเราได้สติ พยาบาลก็เอาตัวเราไปแอดมิดที่แผนกจิตเวชเลย เราอยู่ในนั้นเกือบ 1 เดือน พอออกมาน้าข้างบ้านก็เล่าให้เราฟังว่าตอนเราพึ่งตื่นตอนอยู่ห้อง ICU น้าถามเราว่าตอนเราหลับเราได้ไปไหนมาไหม เราก็บอกน้าว่าเราอยู่ที่โรงบาล ที่โรงบาลนั้นมีแต่คนตายเต็มไปหมด 1 ในนั้นมีเราด้วย เราใส่ชุดสวยๆนอนอยู่ แล้วน้าเราก็ถามว่าแล้วใครเรียกเรากลับมา เราก็บอกว่าเราไม่รู้ นี่คือตอนที่น้าเล่าให้เราฟังนะ เรายังจำไม่ได้เลยว่าเราพูดไปตอนไหน555555
เอาง่ายๆคือรักษามาตั้งแต่อายุ 13 จนตอนนี้จะอายุ 19 แล้ว เรายังต้องกินยาอยู่เลย กินวันละ 15 เม็ด แบบนี้ทุกวัน จนเราขยาดยาอะ ไม่อยากกินยาแล้ว ไม่ใช่วาไม่อยากหาย เราอยากหายมากแต่เราไม่อยากกินยาแล้ว มันก็เลยมีความคิดให้หัวมาอีกว่า"งั้นก็ไปตายสิ จะได้ไม่ต้องกินยา ไม่ต้องทนขนาดยาอยู่แบบนี้"
ใครมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไงก็เล่าสู่กันฟังได้นะ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คือ อย่า! หา! ทำ! ตาม! เตือนด้วยความหวังดีนะคะ
ซึมเศร้าตัวร้าย กินยาเกินขนาดเกือบตาย
ขอเกริ่นก่อนเลยว่าเราเริ่มสงสัยว่าตัวเองป่วยเป็นโรคซึมเศร้าหรือเปล่าก็ตอนป.6 ตอนนั้นครูให้ทำหน้ากากนักร้อง เราพยายามทำแล้วแต่มันก็ไม่เป็นดั่งใจหวัง ทำให้เราเครียด มีปัญหากับยาย ทะเลาะมีปากเสียงกันอยู่บ่อยๆจนเราหนีออกจากบ้านหลายครั้ง ทำร้ายตัวเองทั้งกรีดแขน กินไฮเตอร์ ช่วงเช้าจะไม่อยู่บ้านเพราะไม่อยากทะเลาะกับยายก็เลยหนีออกไปเที่ยวกับเพื่อนทุกวัน พอขึ้นมา.ต้นเราก็ได้ย้ายไปอยู่กับป้า ทุกอย่างก็ดำเนินไปได้ดี ปกติทุกอย่าง พอเขาเทอมที่ 2 เราได้ไปแข่งเป็นตัวแทนระดับภาค แต่กลับทำได้ไม่ดี ทำได้แค่รางวลชมเฉย ในขณะที่พี่ๆในหมวดเราได้เหรียญทองกัน ไม่ก็ได้ไปต่อระดับประเทศ ช่วงนั้นเราโหมทำการบ้าน ทั้งเตรียมตัวแข่ง อดหลับอดนอนมาหลายอาทิตย์ พอผลที่ได้มันออกมาไม่ได้อย่างที่คิดมันทำให้เราไม่กล้าไปเจอครู ไม่ไปโรงเรียน จนกลับมาทำร้ายตัวเองอีกครั้ง เป็นแบบนี้อยู่สักพัก สุดท้ายป้าก็เห็นว่าแขนเรามีรอยแผลเป็นทางยาว ยังมีเลือดซิบๆอยู่ ก็พาเราไปหาหมอ ซักประวัติเสร็จก็ให้เราไปแผนกจิตเวชเด็ก ตอนนั้นอายุ 13 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการรักษาโรคซึมเศร้าอย่างจริงจัง
ตั้งแต่เริ่มรักษามาจนเราอายุได้ 15 ก็กลับมาอยู่กับยายเหมือนเดิม เราไม่กินยาแต่ก็ไปหาหมอตามนัดแล้วเก็บยาไว้ เพราะตอนที่เราเลิกยาเองก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร พอผ่านไปได้ประมาณ 1 ปี เราเริ่มมีความคิดลบๆ ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยได้ เลยเอายาที่เก็บไว้มากิน ก็เป็นยารักษาโรคซึมเศร้านั่นแหละ แต่ไม่ได้กินตามที่หมอสั่ง เรากินยาวันละแผงซึ่งมันเกินขนาด เรากินแบบนี้ได้อาทิตย์สองอาทิตย์ อารมณ์เราก็สวิ้ง ดีดเหมือนคนดีดยา ร้องไห้ไปด้วยยิ้มไปด้วยหัวเราะไปด้วย ซึ่งน้องที่รู้จักเราก็รักษาโรคนี้อยู่เลยมีเบอร์โทรหัวหน้าแผนกจิตเวช(ตามกฎแล้วคือสิ่งต้องห้าม) แม่น้องข้างบ้านก็โทรไปบอกหัวหน้าพยาบาล เขาเลยให้ไปแอดมิดที่โรงบาลก่อน แต่อาการเราไม่ดีขึ้นก็เลยส่งไปอีกอำเภอหนึ่งที่มีแพทย์เฉพาะทาง ตั้งแต่นั้นมาชีวิตเราก็เปลี่ยนไป เข้าออกโรงบาลตลอดจนไม่ได้เรียน พอเวลาผ่านไปเราก็ยังคงแอดมิดที่โรงบาลอยู่เรื่อยๆ จนมาวันหนึ่งพี่ผู้ช่วยให้คนไข้ย้ายเตียง เราเลยถามพี่เขาว่าย้ายเตียงทำไม มีคนมาใหม่หรอ พี่เขาก็บอกว่าใช่ เป็นเคสคลุ้มคลั่ง วันนั้นคือไม่มีใครนอนเลย รอแต่คนมาแอดมิดใหม่ ประมาณ 20:30 คนไข้ก็มา เราก็แปลกใจ คลุ้มคลั่งตรงไหนปกติ เพื่อนๆก็เขาไปทักถามต่างๆนานา สรุปคือเขาเป็นคนบ้านเรา เรียนที่เดียวกัน เขารู้จักเรา แต่เราไม่รู้จักเขา เราสงสัยว่าทำไมเขาถึงรู้ว่าเราป่วยเป็นโรคนี้ เขาก็บอกว่ามีคนพูดต่อๆกันมา พอเวลาผ่านไปไม่ถึง 1 เดือน เพื่อนเราคนนี้ก็ฆ่าตัวตาย ด้วยการกินยานอนหลับ 3 เม็ด แล้วใช้สายไฟขึงเป็นแนวยาวแล้วพับคอลงตรงสายไฟ กว่าพ่อแม่เขาจะเข้ามาเห็นตอนนั้นก็มือเย็นไปแล้ว พาไปโรงบาลก็ไม่ทัน สรุปเพื่อนเราก็เสีย เราไปงานศพเพื่อน ยายเพื่อนเห็นเราเขาก็ร้องไห้ เขาบอกว่าเราเหมือนหลานเขามาก ใส่แว่นตาเหมือนกัน ใช้ที่มัดผมมาใส่ที่ข้อมือเหมือนกัน มัดผมเหมือนกัน เราก็ปล่อยให้ยายแกจับตัวเราไปแบบนั้นจนก่อนกลับเราบอกว่า "ยายกอดหนูไหม" ยายก็กอดแล้วก็ร้องไห้
พอกลับมาถึงบ้านช่วงดึก เราบอกให้ยายเข้านอนก่อนเลย แล้วเพื่อนเราพึ่งเสียมันทำให้เราดิ่งมาก มากจนถึงขั้นอยากตายแบบเขา ทำไมคนที่ตายถึงไม่ใช่เรา เราก็นั่งแกะยาที่หมอให้กิน ระหว่างแกะยาใส่รวมๆกัน เรามีสติดีทุกอย่างแต่เราไม่สามารถควบคุมความคิดตัวเองได้ พอแก้ยาเสร็จเราก็กิน 1 กำ น้ำ 1 คำ แบบนี้ไปเรื่อยๆจนยาเกือบหมด เราก็กลับไปนอน หลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีคืออยู่โรงบาลตัวเมืองแล้ว เป็นการวางแผนฆ่าตัวตายที่เกือบตาย น้าบอกว่าเราอยู่ห้อง ICU สายระโยงระยางเต็มตัวเราไปหมด หมอบอกว่าถ้าสองถึงสามวันเราไม่ฟื้นก็คือเราไม่รอด หรือถ้าฟื้นขึ้นมาก็นอนเป็นผักติดเตียงไปไหนไม่ได้ เอาง่ายๆก็คือพิการนั่นแหละ แต่เราโชคดีหน่อยที่ไม่ได้เป็นอะไร แต่ตอนตื่นมาแรกๆแขนขาเราไม่มีแรงจริงๆ พอเราเริ่มมีสติน้องข้างบ้านก็บอกว่าเราอะกินยาไป 400 กว่าเม็ด เยอะชนิดที่ว่าล้างท้องแล้วยายังละลายไม่หมด ยาออกมาเป็นเม็ดเลย ซึ่งตอนนั้นเราไม่รู้ตัว ก็คือง่ายๆเป็นการฆ่าตัวตายที่ไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลย เหมือนแค่หลับแล้วก็ตื่นขึ้นมา พอเราได้สติ พยาบาลก็เอาตัวเราไปแอดมิดที่แผนกจิตเวชเลย เราอยู่ในนั้นเกือบ 1 เดือน พอออกมาน้าข้างบ้านก็เล่าให้เราฟังว่าตอนเราพึ่งตื่นตอนอยู่ห้อง ICU น้าถามเราว่าตอนเราหลับเราได้ไปไหนมาไหม เราก็บอกน้าว่าเราอยู่ที่โรงบาล ที่โรงบาลนั้นมีแต่คนตายเต็มไปหมด 1 ในนั้นมีเราด้วย เราใส่ชุดสวยๆนอนอยู่ แล้วน้าเราก็ถามว่าแล้วใครเรียกเรากลับมา เราก็บอกว่าเราไม่รู้ นี่คือตอนที่น้าเล่าให้เราฟังนะ เรายังจำไม่ได้เลยว่าเราพูดไปตอนไหน555555
เอาง่ายๆคือรักษามาตั้งแต่อายุ 13 จนตอนนี้จะอายุ 19 แล้ว เรายังต้องกินยาอยู่เลย กินวันละ 15 เม็ด แบบนี้ทุกวัน จนเราขยาดยาอะ ไม่อยากกินยาแล้ว ไม่ใช่วาไม่อยากหาย เราอยากหายมากแต่เราไม่อยากกินยาแล้ว มันก็เลยมีความคิดให้หัวมาอีกว่า"งั้นก็ไปตายสิ จะได้ไม่ต้องกินยา ไม่ต้องทนขนาดยาอยู่แบบนี้"
ใครมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไงก็เล่าสู่กันฟังได้นะ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คือ อย่า! หา! ทำ! ตาม! เตือนด้วยความหวังดีนะคะ