End of life

บางคนอาจจะคิดว่าเราคงทำใจได้เรื่องความเจ็บป่วย เรื่องความตาย คงเห็นเป็นเรื่องธรรมดาและจัดการได้ เนื่องจากเราเป็นหมอ และเป็นจิตแพทย์อีกด้วย แต่เรารู้ตัวว่าเราคงทำใจไม่ได้ และคงทำใจได้ยากหากมีการจากกัน โดยเฉพาะหากเกิดกับคนใกล้ชิดของเรา หมอจึงเริ่มเตรียมตัวให้พร้อมกับความตาย ….. 

เราคิดว่าการเตรียมตัวตายเป็นเรื่องของทุกคน ทุกคนต้องได้เผชิญกับเรื่องนี้อย่างแน่นอนแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ กับใครเท่านั้น

สิ่งที่เรากลัวมาตลอดคือการที่คุณพ่อจะเสียชีวิต เนื่องจากก่อนหน้านี้ คุณพ่อติดสุรา แล้วเคยมีอาการถอนพิษสุราจนเกิดอาการสับสน ชัก ตอนนั้นเราเป็นนักศึกษาแพทย์ ที่ยังไม่ประสีประสาอะไรเลย ทำอะไรไม่ได้ ช่วยอะไรก็ไม่ได้ ความรู้ก็ไม่มี คุณพ่อถูกส่งตัวจากโรงพยาบาลประจำจังหวัด เข้ามารับการรักษาต่อที่โรงพยาบาลระดับมหาวิทยาลัยที่เราเรียนอยู่ และคุณแม่ต้องนั่งมากับรถฉุกเฉินของโรงพยาบาล ก่อนจะถึงโรงพยาบาลปลายทางระยะทางอีกไม่ไกล คุณพ่อก็เกิดอาการชักอีกจนต้องแวะเข้าโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดก่อน ตอนนั้นเราเห็นใจคุณแม่มากที่ต้องเผชิญกับภาวะกดดันทางจิตใจอย่างมาก สมัยนั้นความรู้เรื่องการหลีกทางให้รถฉุกเฉินยังไม่แพร่หลาย คุณแม่เล่าว่ามีรถที่ไม่ยอมหลีกทางให้ในระหว่างที่คุณพ่อมีอาการชัก ตอนนั่นคุณแม่ตกใจมาก ลุ้นมากและก็คงโกรธมากด้วยเช่นกัน พอเราได้ฟังสิ่งที่คุณแม่เล่า เราก็ปฏิญาณตนทันทีว่าหากเห็นรถฉุกเฉินที่เปิดไฟฉุกเฉินเราจะหลบให้ทันที จะไม่ไปคิดสงสัยว่าจะมีคนไข้ฉุกเฉินจริงหรือไม่ เพราะเราไม่รู้ว่าเวลาแต่ละวินาทีสำหรับคนบนรถนั้นมันสำคัญมากขนาดไหน ความเจ็บป่วยครั้งนั้นของคุณพ่อได้รับการรักษาจนอาการปกติ คุณพ่อกลับบ้านได้ และท่านก็เลิกสุรามาได้ ตอนนั้นเราก็หวังแค่ขอให้ท่านมีชีวิตอยู่ที่จะทันได้เห็นเรารับปริญญา และนั่นก็เป็นที่มาของการเริ่มตระหนักถึงความตาย

ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่าจริงๆแล้วความตาย เราไม่รู้หรอกว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และจะเกิดขึ้นกับใคร เราจึงตั้งคำถามกับตัวเองว่า หากวันนี้เราจะต้องตาย มีอะไรที่จะเสียใจ เพราะยังไม่ได้ทำอีกมั้ย??????  คำตอบคือ มีมากเหลือเกินนนน นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อชีวิต รวมถึงคนที่ไม่สำคัญออกไปด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราจะค่อยๆมาเล่าให้อ่านในครั้งต่อๆไป แต่นอกจากตัวเราเองแล้ว ถ้าคนสำคัญที่สุดของเราก็คือคุณพ่อคุณแม่ จริงๆ มีสามีและลูกอีก แต่เก็บไว้ก่อน เอาเรื่องคุณพ่อคุณแม่ก่อน เราก็ถามคำถามเดิมว่า ถ้าท่านกำลังจะตายมีอะไรที่คิดว่าจะเสียใจ หรืออยากทำให้แต่ยังไม่ได้ทำอีกมั้ย 

ด้วยความที่เราเชื่อมั่นมากว่าที่ผ่านมาเราเป็นลูกที่ดี ที่ปฏิบัติดีกับพ่อแม่ ถึงแม้จะมีเถียง มีทะเลาะบ้าง แต่เราเชื่อมั่นว่าเราเป็นลูกที่ทำให้พ่อแม่ภาคภูมิใจได้ ประเด็นนี้ก็ทำให้เราสบายใจได้ ยกตัวอย่างข้างต้นว่าการที่เราเรียนจบมา มีงานทำก็คงทำให้ท่านสบายใจ เราก็คาดหวังว่าท่านจะอยู่ทันเห็นเราประสบความสำเร็จ ซึ่งก็นับว่าเป็นความโชคดีของเราที่ท่านยังแข็งแรงจนได้เห็นเรารับปริญญา เห็นเรามีงานทำที่มั่นคง เห็นเรามีครอบครัวที่น่ารักอบอุ่น แต่ก็ไม่อยากคิดเลยว่า ถ้าท่านอยู่ไม่ทันเห็นล่ะ เราจะเป็นยังไง แต่ก็พอตอบตัวเองได้ว่า อย่างน้อยท่านก็ต้องภูมิใจในตัวเราในทุกๆช่วงจังหวะชีวิตของเราบ้างแหล่ะ อ่ะ ขั้นต่อมา เราก็เลยถามต่อว่ามีอะไรที่อยากทำให้พวกท่านอีกมั้ย นั่นคือ การได้พาพวกท่านไปเที่ยวต่างประเทศ คุณแม่อยากไปสวิตเซอร์แลนด์ เราจึงจัดทริปครอบครัวคนแก่และเด็กเล็ก ไปเที่ยวสวิสเซอร์แลนด์และแวะปารีสเล็กน้อย จริงๆ เป็นทริปที่เราชอบมาก ประทับใจมาก ทุกคนสนุกสนาน และดูพวกท่านตื่นตาตื่นใจกันมาก แต่เสียดายที่เรามีอาการแพ้อะไรบางอย่างทำให้มือบวม ก็เลยอาจจะทำให้ความสนุกลดลงไป เนื่องจากตอนนั้นเรากังวลว่าคุณพ่อคุณแม่จะเป็นห่วง เลยเหมือนฝืนเก็บอารมณ์ แต่ไม่เนียน ท่านก็คงห่วงอยู่ดี แต่อย่างน้อยก็รู้สึกว่าได้พาท่านไปแล้ว Mission complete!!!!!

และหลังจากนั้นเราก็คิดว่าเวลาที่ได้ใช้ร่วมกันหลังจากนี้คือกำไรแล้ว คำว่า Mission complete ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ทำอะไรให้ท่านแล้ว เพียงแต่ว่ามันทำให้เราสบายใจว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นตอนนี้เราจะไม่เสียใจ และจะไม่มีคำว่า“รู้งี้” มาทำให้เราเสียใจ หรือเสียดาย เวลาไปเที่ยวไหนเราก็ยังอยากพาพวกท่านไปด้วย มีโอกาสได้ไปเที่ยวอยู่หลายทริป แต่ระยะหลังๆ คุณพ่อคุณแม่ก็เริ่มแก่มากขึ้น เริ่มเดินทางลำบาก นั่งนานไม่ได้ หรือไปได้แต่กลับมาก็จะเหนื่อยมาก หลังๆท่านก็เลยไม่ค่อยไปไหนไกลๆด้วย 

จนกระทั่งความเจ็บป่วยเข้ามาเยือนในวัย 80 ปี เราต้องเผชิญกับความรู้สึกกลัวอยู่หลายครั้ง ในการเจ็บป่วยครั้งแรก คุณพ่อเป็นสมองขาดเลือดชั่วคราว อาการเริ่มแรกคือเริ่มมีอาการปากเบี้ยว คุณแม่ไลน์บอกทุกคนในกลุ่มครอบครัว และให้รีบเรียก 1669 เราซึ่งทำงานอยู่ต่างอำเภอ ต้องรีบกลับกะทันหัน ขับรถกลับด้วยใจระทึก เอาจริงๆ ตอนนั้นด้วยความที่เป็นแพทย์ ก็คิดว่าคงไม่ถึงขั้นเสียชีวิต แต่จะเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต ที่ต้องดูแล หรือมีการรักษาอะไรที่มากกว่านี้รึเปล่า แต่ความโชคดีก็มาเยือนเราอีกครั้งที่คุณพ่อสมองขาดเลือดเพียงชั่วคราว ทำให้ไม่ถึงกับเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต ยังสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่หลังจากนั้นก็มีอาการแบบเดิมอีก และก็ยังโชคดีที่กลับคืนมาได้อีก ในระหว่างนี้สิ่งที่เกิดกับเราก็คือคือความรู้สึกไม่มั่นคง ไม่แน่นอนในการจัดการชีวิต ของเราเอง ทั้งอารมณ์ที่เป็นห่วง ความรู้สึกที่ย้อนกลับมาถามตัวเองซ้ำๆว่าเราทำดีรึยัง เราทำดีที่สุดรึยัง ซึ่งจริงๆไม่มีใครรู้หรอกว่าอะไรคือดีที่สุด แต่เราก็คงทำได้ดีที่สุด ณ เวลานั้นแล้ว

จนกระทั่งปลายปี 2565 ขณะที่ทุกที่กำลังเตรียมความพร้อมต้อนรับเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลอง เราก็เช่นกัน ทันใดนั้นก็มีเสียงโทรศัพท์จากคุณแม่ด้วยท่าทีร้อนรน ปลายสายบอกว่า คุณพ่อหมดสติ เรียกไม่รู้สึกตัว และด้วยประสบการณ์ของคุณแม่ที่เจอเหตุการณ์ฉุกเฉินมาหลายครั้ง รอบนี้เธอจึงโทรเรียก 1669 ก่อนที่จะแจ้งลูกๆ 
รอบนี้ใจเราเต้นแรง ด้วยความกลัวและกังวลว่า นี่จะถึงเวลานั้นแล้วจริงๆหรือ พอคิดแบบนี้ น้ำตาจะไหลเลยค่ะ แต่ก็ต้องกลั้นไว้ และรีบบอกตัวเองว่า อยู่กับปัจจุบันก่อน ยังไม่รู้เลยว่าจะเป็นยังไง เลยถามไปว่าตอนนี้ตื่นรึยัง รู้ตัวรึยัง และ ยังหายใจมั้ย เมื่อปลายสายบอกว่ายังหายใจอยู่ ก็ทำให้เราสบายใจขึ้นนิดนึง แต่ก็กังวลว่าเป็นอะไร ช่วงแรกที่มาถึงห้องฉุกเฉิน คุณพ่อยังดู งงๆ ช้าๆ คิดนาน แต่รู้ได้เลยว่า คุณพ่อพยายามจะจำทุกอย่าง ด้วยความที่สมองกำลังฟื้นตัว ก็อาจจะมีบางช่วงที่เกิดความสับสน พูดไปเรื่อย ใจก็แอบเสียนิดๆ จนรู้สาเหตุว่าคุณพ่อซีดมาก ได้เติมเลือดอาการก็เริ่มดีขึ้น และต้องหาสาเหตุของเลือดที่หายไป จึงได้นับการส่องกล้องดูลำไส้ทั้งส่วนบนส่วนล่าง แต่ก็ไม่เจอสาเหตุที่เป็นเหตุที่จะทำให้ความเข้มข้นเลือดหายไปขนาดนั้น แต่ก็ได้รับยาฆ่าเชื้อเพื่อรักษา H.pyrori ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่มีอยู่ในกระเพาะอาหาร 

ก่อนหน้านี้เราจะมีความคิดเรื่องการเตรียมตัวตายในระยะท้ายของชีวิต โดยการวางแผนว่าหากเราอยู่ในระยะท้ายของชีวิต เราจะขอรับการช่วยเหลือทางการแพทย์อยู่หรือไม่ เช่นการใส่ท่อหายใจ  การประคองลมหายใจด้วยวิธีต่างๆ หรือไม่ หรือแม้กระทั่งสิ่งที่ผู้ที่อยู่ในระยะท้ายของชีวิตอยากออกแบบการตายของตนเองอย่างไร หรืออยากทำอะไรก่อนตายมั้ย หลายคนอาจจะเคยได้ยินว่าผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายอยากไปทะเล ญาติก็จะพาออกจากโรงพยาบาลและพาผู้ป่วยไปทะเล ก่อนที่คนนั้นจะจากไปอย่างสงบ  และเราก็ยังไม่เคยมีโอกาสได้คุยเรื่องนี้กับคนในครอบครัวเลย ซึ่งกระบวนการนี้เป็นสิ่งสำคัญและเป็นสิ่งที่เราอยากทำมาก และช่วงก่อนหน้านี้มีญาติของเพื่อนร่วมงานของเราก็อยู่ในช่วงท้ายของชีวิต และเค้าก็ได้เล่ากระบวนการของการทำระยะท้ายของชีวิตได้งดงามมาก ถึงแม้เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ญาติๆ ยังไม่ได้เตรียมใจกับการจากไป ทุกคนเพิ่งทราบอาการเจ็บป่วยไม่นานและอาการก็ทรุดลงอย่างรวดเร็วจนยากจะทำใจหรือตัดสินใจอะไร ณ วินาทีแห่งการช่วยชีวิต แพทย์ได้ใส่ท่อช่วยหายใจเพื่อช่วยยื้อชีวิต แต่คนไข้ปฏิเสธการรักษา ไม่ยอมให้ใส่ท่อหายใจ (ซึ่งใส่ไปแล้ว) แต่คนไข้รู้ตัวตลอด และขอเลือกจัดการเวลาสุดท้ายของชีวิตด้วยตนเอง โดยการเขียนบอกญาติว่า ให้เอาท่อช่วยหายใจออก เขียนชื่อนามสกุลว่าตนเองขอปฏิเสธการรักษา  และการที่มีญาติที่ใกล้ชิดมาอยู่ด้วย ถึงแม้จะมีบางช่วงที่มีการขัดแย้งทางความคิด เพราะความรู้สึกภายในที่แตกต่างกัน แต่ทุกคนก็เคารพและร่วมส่งเวลาสุดท้ายของชีวิตได้อย่างงดงามมากจริงๆ เรื่องนี้ยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เราอยากทำสิ่งนี้กับคนที่เรารักด้วยเช่นกัน

เมื่อได้เวลาที่อยู่ด้วยกันกับคุณพ่อในช่วงที่นอนโรงพยาบาลและอาการเริ่มดีขึ้น เราก็เลยเริ่มประโยคว่า
เรา : เนี่ยเรายังไม่เคยคุยกันเลยว่า ถ้าคุณพ่อเป็นอะไรมากกว่านี้จะใส่ท่อหายใจมั้ย คุณพ่อ :ใส่สิ 
เรา : ไม่กลัวใช่มั้ย
คุณพ่อ : ไม่กลัว
เรา : แล้วมีอะไรที่อยากทำ หรืออยากไปไหนมั้ยคะ 
คุณพ่อ : ไม่มีแล้ว แต่ถ้าเป็นอะไรที่เค้าชอบพูดว่าอยู่ได้เพราะเครื่องหรืออยู่ได้เพราะยา แบบนั้นก็ไม่เอา แต่ถ้าช่วยแล้วกลับมาปกติก็ช่วย
เรา : อันนั้นมันก็บอกยากนะ ว่าอันไหนช่วยแล้วจะกลับมาปกติดีรึเปล่า 
คุณพ่อ : ก็ถ้าช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เป็นภาระลูกก็ไม่อยาก 
เรา : มันก็บอกยากจริงๆ นะ เอาเป็นว่าช่วยเต็มที่ก่อนเน๊อะ
คุณพ่อ : อืม ก็แล้วแต่ลูกกับหมอคุยกันละกัน 

ก่อนหน้านี้เราก็พอรู้นิสัยคุณพ่อและพอจะเดาได้แหล่ะว่าท่านต้องการอะไร แต่หากวันนั้นเราไม่คุยไม่ถามไว้ก่อน เมื่อถึงเวลานั้นจริงๆ เราก็คงมีคำถามแน่นอนว่าสรุปแล้วเราตัดสินใจถูกรึเปล่าเนี่ย เพราะเป็นความคิดไปเองว่า สิ่งนั้นสิ่งนี้น่าจะดี แต่ไม่รู้ว่าผู้รับเค้าต้องการแบบนั้นหรือไม่

จนอาการคุณพ่อดีขึ้นก็ออกจากโรงพยาบาล แต่ออกมาไม่ถึงสัปดาห์ก็มีอาการใหม่ขึ้นมา ก็คือมีอาการปวดเมื่อยมาก ปวดกระดูก ร่วมกับมีน้ำมูก บ่นว่ามีไข้ เราก็นึกว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น จึงพาไปโรงพยาบาลอีกครั้ง จนพบว่าเป็นกล้ามเนื้อลายสลายคิดว่าจากปฏิกิริยาของยาที่มีต่อกัน รอบนี้คุณพ่อดูทรุดมาก อ่อนเพลีย และดูไม่ค่อยมีเรี่ยวมีแรง แต่ก็รักษาจนอาการดีขึ้น ก็ได้ออกจากโรงพยาบาล

กลับมาอยู่บ้านก็ยังมีอาการเหนื่อยอยู่ตลอด จนต้องกลับเข้าไปรักษาใหม่ รอบนี้ถึงขั้นที่คุณหมอโทรมาบอกว่าอาจจะต้องได้ใส่ท่อหายใจ แล้วเค้าก็ถามเราว่าให้ใส่มั้ย ซึ่งเราก็ตอบได้อย่างรวดเร็วเลยว่า “ใส่ได้ค่ะ” เพราะได้คุยกันแล้ว เป็นการตัดสินใจที่เรารู้สึกได้เลยว่า เราตัดสินใจให้คำตอบคุณหมอได้อย่างสบายใจมาก ถึงแม้จะกังวลเรื่องอาการของคุณพ่อ แต่ก็รู้สึกดีที่เราได้คุยกันมาก่อนแล้ว แต่ก็ยังโชคดีที่รอบนี้ยังอยู่ได้ด้วยอ็อกซิเจนความดันสูง จึงยังไม่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ ตอนนี้อาการก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ และรอวันออกจากโรงพยาบาลอีกครั้ง

การเขียนบันทึกนี้ เพียงอยากสื่อสารสำหรับคนที่ไม่อยากพูดกับตัวเองว่า “รู้งี้” ซึ่งเราเชื่อเลยว่ามีหลายเหตุการณ์ในชีวิต ทั้งเรื่องของเราเองและเรื่องของคนอื่น ที่คอยมาสะกิดใจให้เราระลึกถึงความตาย แต่สิ่งสำคัญยิ่งกว่าการระลึก คือการลงมือทำค่ะ เพราะเมื่อไหร่ที่เรารู้แล้ว แต่ไม่เคยลงมือทำ มันก็คือเรายังไม่ได้ทำ แต่เชื่อเถอะค่ะ แค่คุณเริ่ม ชีวิตคุณจะเปลี่ยนไปในทางที่สุขขึ้นจริงๆ แปลกแต่จริงที่การระลึกถึงความตายซึ่งเป็นเรื่องดูน่าเศร้า แต่พอทำจริงๆ กลับสุขได้มากขึ้น เพราะเรารู้ว่าอะไรสำคัญที่สุด ตัดสิ่งไม่จำเป็น คนไม่สำคัญออกไปได้เยอะ ชีวิตก็เบาขึ้นมาก และชีวิตที่เหลืออยู่หลังจากนี้ไป คือกำไร แล้วทั้งสิ้น

เขียนโดย Psychiartist
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่