สวัสดีค่ะ วันนี้อยากจะมาระบายเรื่องที่ค้างคาใจมาตลอดของตัวเอง ตอนนี้เราก็อายุจะเข้า21 แล้วค่ะ กำลังคบหากับแฟนกับฟนได้ประมาณสองปี ต้นปีที่แล้วเมนส์เรามาไม่ปกติบวกกับมีอาการเหม็นอาหารและนอนเยอะมากเลยตัดสินใจซื้อที่ตรวจครรภ์มาตรวจดู ผลก็ออกมาว่าเราท้อง
ตอนนั้นคิดหนักมาก เพราะก็ยังไม่พร้อมและเป็นความผิดเราด้วยที่ไม่รู้จักป้องกัน
เราบอกแฟนด้วยความสับสนว่าอยากเอาเด็กออก เขาพูดเพียงแค่ว่าเขาขอโทษ เขามันไม่ได้เรื่อง บอกให้เราอย่าคิดมากและถามว่าจะเข้ามาอยู่บ้านเขาก่อนมั้ยแต่เขาก็ไม่ได้บอกว่าไม่อยากให้เอาเด็กออก
เราคิดสับสนกับตัวเองอยู่นาน ตอนแรกก็กะว่าจะบอกพ่อกับแม่ให้ได้รับรู้แต่เหมือนทางฝั่งแฟนไม่ได้อยากให้เป็นแบบนั้น ช่วงนั้นแฟนมีซ้อมแข่งฟุตบอลประจำหมู่บ้านเลยต้องซ้อมตลอด เราอยากคุยอยากปรึกษากับเขามากแต่เวลาก็ว่างไม่ตรงกัน พอมีเวลาได้คุยกันก็ยังปกติทุกอย่าง
แต่ก็เหมือนกับเขาพยายามที่จะไม่พูดถึงเรื่องเด็ก เราต้องเป็นคนช่วยคุยเรื่องนี้ตลอด เราถามเขาว่าจะทำยังไงดีเขาก็เอาแต่บอกว่าเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน จากที่ลังเลว่าจะเก็บเอาไว้ดีมั้ยสุดท้ายเลยตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะเอาเด็กออกโดยที่พ่อแม่ทั้งฝั่งเราและฝั่งเขาไม่ได้รับรู้อะไรเลย มีเพียงแค่น้องสาวของเราและเพื่อนอีกสองคนของเราที่รับรู้
ช่วงเวลานั้นเหมือนทุกอย่างมืดดำไปหมด ร้องไห้แทบทุกคืน กินไม่ได้นอนไม่หลับ
เราโทรนัดกับมูลนิธิของทางรัฐที่มีหน้าที่ช่วยเหลือคนที่ตั้งครรภ์ไม่พร้อมเพื่อเข้าทำการเอาเด็กออก ได้วันนัดประมาณวันที่ 7 ของเดือนนั้น เราบอกแฟนแต่วันนั้นก็ตรงกับวันที่เขาต้องลงแข่งบอลเขาบอกว่าทิ้งที่ตรงนั้นไปไม่ได้ บอกเราให้เปลี่ยนวันนัด ซึ่งเราก็นัดแนะไปแล้ววันที่หมอว่างเหลืออยู่แค่วันนั้น หากปล่อยเอาไว้นานกว่านี้เด็กอาจจะโตกว่านี้ความรู้สึกเราตอนนั้นมันดิ่งมาก เหมือนมีเพียงแค่ตัวเราเองที่อยู่ข้างตัวเอง คนที่เราอยากให้อยู่ด้วยที่สุดอย่างเขาก็เลือกที่จะสนใจอย่างอื่นมากกว่า
สุดท้ายเราก็เดินทางไปเอาเด็กออกกับเพื่อนอีกคนที่รู้เรื่อง ช่วงเวลาขั้นตอนต่างๆเรากังวลมาก มีหลายครั้งทีคิดอยากจะเดินออกไปไม่ทำแล้วแต่ก็เลือกที่จะแข็งใจอยู่ต่อ
ตอนทีได้เห็นภาพอัลตราซาวน์แม้จะเป็นเพียงแค่แว๊บเดียวเราก็เจ็บปวดหัวใจมาก อยากจะร้องไห้ เอาแต่คิดกับตัวเองว่าเราตัดสินใจถูกแล้วใช่มั้ย อีกใจก็เอาแต่คิดว่าแฟนเราจะมาหาเราหรือยัง จะมารอรับเราหรือเปล่า
ช่วงเวลาตอนที่เราเอาเด็กออกเราเลือกดมยาสลบค่ะ เพราะเราไม่อยากรับรู้เรื่องอะไรทั้งนั้น แต่สุดท้ายก็เหมือนคิดผิด ทุกความเจ็บปวดและความรู้สึกที่หมอทำกับเราเวลาเอาเด็กออกยังคงฝั่งตรึงอยู่ในความทรงจำชัดเจนจนถึงวันนี้เลยค่ะ
เราเจ็บปวดและทรมาณมาก ทั้งเมายาสลบจนอ้วกแถมยังเจ็บจนร้องไห้สุดท้ายพอออกมาเราก็ไม่เห็นหน้าแฟนเราค่ะ ไม่เห็นแม้แต่เงา มีเพียงข้อความที่บอกว่าจะมาหาเท่านั้นค่ะ
เราคิดกับตัวเองว่าจะพอกับคนนี้แล้ว เราคิดว่าเราคงฝากฝั่งอะไรกับคนคนนี้ไม่ได้อีกแล้ว หลังเอาเด็กออกเราจะเจ็บบริเวณท้องมากค่ะได้แต่กอดท้องนอนร้องไห้อยู่ในห้องของเพื่อนคนเดียว เพราะเพื่อนต้องเข้างานเลยไม่ได้อยู่ด้วย
สุดท้ายแฟนเราก็มาหาเราที่ห้องของเพื่อนค่ะ ก่อนหน้าที่จะมาถึงก็โทรมาก่อน ตอนนั้นเรารู้สึกผิดหวังในตัวเขามากค่ะเลยบอกเลิกไปสุดท้ายเขาก็มาหาเราขอโทษอ้อนวอนเรา
เราเจ็บปวดมากคิดว่าจะพอได้แล้วอยากจะจบทุกอย่างแต่เพราะความใจอ่อนสุดท้ายก็ยอมตามเขากลับมา
ตั้งแต่เรื่องคราวนี้ความสัมพันธ์ของเราก็ไม่ค่อยดีค่ะ จากที่ไม่เคยทะเลาะกันก็ทะเลาะกันบ่อยขึ้นเวลามีอะไรกันเขาก็ไม่ยอมใส่ถุงเหมือนเดิมแล้วให้เรากินยาแทนเหมือนเดิมพยายามบอกว่าถ้าไม่มีถุงก็จะไม่ให้แต่ยังไงก็ไม่รอดอยู่ดี เรารู้สึกว่าตัวเองไร้ค่ามากค่ะเมื่ออยู่กับเขา แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้ไม่ยอมออกมาจากความสัมพันธ์แบบนี้สักที
ทุกวันนี้เรายังเก็บผลตรวจเอาไว้ดูตอกย้ำความเจ็บปวดช่วงเวลานั้นตลอด
เราเสียใจมากที่เลือกทำแบบนั้น รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิต ย้อนกลับมาคิดกับตัวเองตลอดว่าถ้ายอมปรึกษาพ่อกับแม่ ตอนนี้เราก็คงได้เห็นหน้าลูกแล้ว
เรารู้สึกผิดจนล้นหัวใจจริงๆค่ะ อยากจะทุบตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราไม่รู้เลยว่าแฟนคิดเหมือเราบ้างมั้ย ทำไมเขายังทำทุกอย่างได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากที่เราเคยภูมิใจที่มีเขาข้างกายพอเจอเรื่องนี้ความคิดก็เปลี่ยนไปเลยค่ะ
เราไม่โทษว่าเป็นความผิดเขา เพราะเวลามีอะไรกันเราก็มีความสุขทั้งคู่ แต่เราก็ผิดหวังที่ช่วงเวลาที่เราต้องการเขามากที่สุดเขากลับเลือกสิ่งอื่นมากกว่าเราและเหมือนความผิดบาปทุกอย่างมาตกอยู่ที่เรา
ต่อให้เวลาผ่านไปนานขนาดไหนความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องนี้จะตามติดเราไปจนวันตายแน่นอนค่ะ
อยากจะขอโทษทุกคนในครอบครัวของตัวเองแต่ก็ไม่มีความกล้ามากพอ
เรื่องที่อยากจะระบายก็มีเพียงเท่านั้นแหละค่ะ
คนที่เข้ามาอ่านหลายๆคนอาจจะคิดว่าเราก็แค่เด็กใจแตกที่ไม่รู้จักอายที่เอาเรื่องราวแบบนี้ของตัวเองมาเล่า
แต่เราแค่อยากระบายค่ะ เพราะเรื่องราวทั้งหมดที่เราเก็บเอาไว้มันหนักหนาจนไม่รู้จะทำยังไงกับมัน
อย่างน้อยมันก็ทำให้เราสบายใจขึ้นถึงจะไม่สามารถลบล้างความผิดของตัวเองได้ก็ตามค่ะ
ระบายสิ่งที่ตัดสินใจได้ผิดที่สุดในชีวิตนี้
ตอนนั้นคิดหนักมาก เพราะก็ยังไม่พร้อมและเป็นความผิดเราด้วยที่ไม่รู้จักป้องกัน
เราบอกแฟนด้วยความสับสนว่าอยากเอาเด็กออก เขาพูดเพียงแค่ว่าเขาขอโทษ เขามันไม่ได้เรื่อง บอกให้เราอย่าคิดมากและถามว่าจะเข้ามาอยู่บ้านเขาก่อนมั้ยแต่เขาก็ไม่ได้บอกว่าไม่อยากให้เอาเด็กออก
เราคิดสับสนกับตัวเองอยู่นาน ตอนแรกก็กะว่าจะบอกพ่อกับแม่ให้ได้รับรู้แต่เหมือนทางฝั่งแฟนไม่ได้อยากให้เป็นแบบนั้น ช่วงนั้นแฟนมีซ้อมแข่งฟุตบอลประจำหมู่บ้านเลยต้องซ้อมตลอด เราอยากคุยอยากปรึกษากับเขามากแต่เวลาก็ว่างไม่ตรงกัน พอมีเวลาได้คุยกันก็ยังปกติทุกอย่าง
แต่ก็เหมือนกับเขาพยายามที่จะไม่พูดถึงเรื่องเด็ก เราต้องเป็นคนช่วยคุยเรื่องนี้ตลอด เราถามเขาว่าจะทำยังไงดีเขาก็เอาแต่บอกว่าเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน จากที่ลังเลว่าจะเก็บเอาไว้ดีมั้ยสุดท้ายเลยตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะเอาเด็กออกโดยที่พ่อแม่ทั้งฝั่งเราและฝั่งเขาไม่ได้รับรู้อะไรเลย มีเพียงแค่น้องสาวของเราและเพื่อนอีกสองคนของเราที่รับรู้
ช่วงเวลานั้นเหมือนทุกอย่างมืดดำไปหมด ร้องไห้แทบทุกคืน กินไม่ได้นอนไม่หลับ
เราโทรนัดกับมูลนิธิของทางรัฐที่มีหน้าที่ช่วยเหลือคนที่ตั้งครรภ์ไม่พร้อมเพื่อเข้าทำการเอาเด็กออก ได้วันนัดประมาณวันที่ 7 ของเดือนนั้น เราบอกแฟนแต่วันนั้นก็ตรงกับวันที่เขาต้องลงแข่งบอลเขาบอกว่าทิ้งที่ตรงนั้นไปไม่ได้ บอกเราให้เปลี่ยนวันนัด ซึ่งเราก็นัดแนะไปแล้ววันที่หมอว่างเหลืออยู่แค่วันนั้น หากปล่อยเอาไว้นานกว่านี้เด็กอาจจะโตกว่านี้ความรู้สึกเราตอนนั้นมันดิ่งมาก เหมือนมีเพียงแค่ตัวเราเองที่อยู่ข้างตัวเอง คนที่เราอยากให้อยู่ด้วยที่สุดอย่างเขาก็เลือกที่จะสนใจอย่างอื่นมากกว่า
สุดท้ายเราก็เดินทางไปเอาเด็กออกกับเพื่อนอีกคนที่รู้เรื่อง ช่วงเวลาขั้นตอนต่างๆเรากังวลมาก มีหลายครั้งทีคิดอยากจะเดินออกไปไม่ทำแล้วแต่ก็เลือกที่จะแข็งใจอยู่ต่อ
ตอนทีได้เห็นภาพอัลตราซาวน์แม้จะเป็นเพียงแค่แว๊บเดียวเราก็เจ็บปวดหัวใจมาก อยากจะร้องไห้ เอาแต่คิดกับตัวเองว่าเราตัดสินใจถูกแล้วใช่มั้ย อีกใจก็เอาแต่คิดว่าแฟนเราจะมาหาเราหรือยัง จะมารอรับเราหรือเปล่า
ช่วงเวลาตอนที่เราเอาเด็กออกเราเลือกดมยาสลบค่ะ เพราะเราไม่อยากรับรู้เรื่องอะไรทั้งนั้น แต่สุดท้ายก็เหมือนคิดผิด ทุกความเจ็บปวดและความรู้สึกที่หมอทำกับเราเวลาเอาเด็กออกยังคงฝั่งตรึงอยู่ในความทรงจำชัดเจนจนถึงวันนี้เลยค่ะ
เราเจ็บปวดและทรมาณมาก ทั้งเมายาสลบจนอ้วกแถมยังเจ็บจนร้องไห้สุดท้ายพอออกมาเราก็ไม่เห็นหน้าแฟนเราค่ะ ไม่เห็นแม้แต่เงา มีเพียงข้อความที่บอกว่าจะมาหาเท่านั้นค่ะ
เราคิดกับตัวเองว่าจะพอกับคนนี้แล้ว เราคิดว่าเราคงฝากฝั่งอะไรกับคนคนนี้ไม่ได้อีกแล้ว หลังเอาเด็กออกเราจะเจ็บบริเวณท้องมากค่ะได้แต่กอดท้องนอนร้องไห้อยู่ในห้องของเพื่อนคนเดียว เพราะเพื่อนต้องเข้างานเลยไม่ได้อยู่ด้วย
สุดท้ายแฟนเราก็มาหาเราที่ห้องของเพื่อนค่ะ ก่อนหน้าที่จะมาถึงก็โทรมาก่อน ตอนนั้นเรารู้สึกผิดหวังในตัวเขามากค่ะเลยบอกเลิกไปสุดท้ายเขาก็มาหาเราขอโทษอ้อนวอนเรา
เราเจ็บปวดมากคิดว่าจะพอได้แล้วอยากจะจบทุกอย่างแต่เพราะความใจอ่อนสุดท้ายก็ยอมตามเขากลับมา
ตั้งแต่เรื่องคราวนี้ความสัมพันธ์ของเราก็ไม่ค่อยดีค่ะ จากที่ไม่เคยทะเลาะกันก็ทะเลาะกันบ่อยขึ้นเวลามีอะไรกันเขาก็ไม่ยอมใส่ถุงเหมือนเดิมแล้วให้เรากินยาแทนเหมือนเดิมพยายามบอกว่าถ้าไม่มีถุงก็จะไม่ให้แต่ยังไงก็ไม่รอดอยู่ดี เรารู้สึกว่าตัวเองไร้ค่ามากค่ะเมื่ออยู่กับเขา แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้ไม่ยอมออกมาจากความสัมพันธ์แบบนี้สักที
ทุกวันนี้เรายังเก็บผลตรวจเอาไว้ดูตอกย้ำความเจ็บปวดช่วงเวลานั้นตลอด
เราเสียใจมากที่เลือกทำแบบนั้น รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิต ย้อนกลับมาคิดกับตัวเองตลอดว่าถ้ายอมปรึกษาพ่อกับแม่ ตอนนี้เราก็คงได้เห็นหน้าลูกแล้ว
เรารู้สึกผิดจนล้นหัวใจจริงๆค่ะ อยากจะทุบตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราไม่รู้เลยว่าแฟนคิดเหมือเราบ้างมั้ย ทำไมเขายังทำทุกอย่างได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากที่เราเคยภูมิใจที่มีเขาข้างกายพอเจอเรื่องนี้ความคิดก็เปลี่ยนไปเลยค่ะ
เราไม่โทษว่าเป็นความผิดเขา เพราะเวลามีอะไรกันเราก็มีความสุขทั้งคู่ แต่เราก็ผิดหวังที่ช่วงเวลาที่เราต้องการเขามากที่สุดเขากลับเลือกสิ่งอื่นมากกว่าเราและเหมือนความผิดบาปทุกอย่างมาตกอยู่ที่เรา
ต่อให้เวลาผ่านไปนานขนาดไหนความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องนี้จะตามติดเราไปจนวันตายแน่นอนค่ะ
อยากจะขอโทษทุกคนในครอบครัวของตัวเองแต่ก็ไม่มีความกล้ามากพอ
เรื่องที่อยากจะระบายก็มีเพียงเท่านั้นแหละค่ะ
คนที่เข้ามาอ่านหลายๆคนอาจจะคิดว่าเราก็แค่เด็กใจแตกที่ไม่รู้จักอายที่เอาเรื่องราวแบบนี้ของตัวเองมาเล่า
แต่เราแค่อยากระบายค่ะ เพราะเรื่องราวทั้งหมดที่เราเก็บเอาไว้มันหนักหนาจนไม่รู้จะทำยังไงกับมัน
อย่างน้อยมันก็ทำให้เราสบายใจขึ้นถึงจะไม่สามารถลบล้างความผิดของตัวเองได้ก็ตามค่ะ