ณ ตอนเย็นใกล้ค่ำ ผมกำลังเดินทางกลับจากสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ที่รอบข้างเป็นทางชนบทมืดทั้งlสองด้านฝั่งถนน ฉันมองไปเห็นศาลาไม้รอรถเก่าๆ พร้อมกับผู้หญิงมีอายุราวๆ 40 กว่าๆคนหนึ่ง ในความคิดตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่าต้องนั่งรถเมล์สายไหนเพื่อกลับบ้าน แต่มีความรู้สึกว่าถ้าเดินกลับไม่น่าจะไกลมาก จากนั้นผมพยายามเดินออกไปจากศาลานิดหน่อยเพื่อมองไปยังถนนที่ทอดยาวและมีความมีดปกคลุม โดยที่ไม่มีไฟทางเลย ผมมองเห็นถนนที่เงียบสงัด และหมา 2 ตัวเดินอยู่ไกลๆ ในใจผมกลัวโดนหมากัดจึงตัดสินใจ ยืนรอรถเมล์กับผู้หญิง จากนั้นไม่นานฉันเริ่มรู้สึกกลัว
เลยเอยถาม ผู้หญิงที่ยืนรอรถไปว่า พี่มายืนรอรถเมล์หรอครับ “ใช่” ผู้หญิงคนนั้นตอบกลับมาด้วยเสียงฟังดูเบื่อหน่าย และจากนั้นผมก็ถามต่อว่า ถนนเส้นนี้มีรถเมล์ผ่านไปในเมืองไหมครับ แต่ในหัวผมตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบ้านของผมเองอยู่ตรงไหน ผู้หญิงคนนั้นตอบกลับมาว่า “บางทีก็มี บางทีก็ไม่มี แล้วแต่ดวงและนะ” อ่อได้แต่ตอบเบาๆ “ครับๆ” หลังจากนั้นไม่นานผมเห็นแสงไฟสว่างกำลังพุ่งมาที่ผม ผมพยายามมองดีๆ นั้นรถเมล์นิ ผมไม่รอช้ารีบโบก หวังให้รถเมล์จอดรับให้ผมไปพ้นจากตรงนี้เสียที เพราะด้วยบรรยากาศมันน่ากลัวมาก เมื่อรถจอดผมไม่รอช้าที่จะรีบก้าวขึ้นรถโดยไม่ได้หันกลับมามองข้างหลังเลย ผมอยู่สักแปบนึงประตูรถกำลังจะปิดผมเลย เอ๊ะใจ พร้อมหันกลับไป และในสายที่ผมเห็นนั้นพี่ผู้หญิงไม่ได้ขึ้นมาบนรถเมล์ด้วย ผมจึงถามไปว่า พี่ไม่ขึ้นมาด้วยหรอครับ พี่ผู้หญิงตอบผมกลับมาเพียงส่ายหน้าไปมาโดยที่ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ในใจผมตอนนั้นคิดได้อย่างเดียว ชั่งเถอะอย่างน้อยผมก็หลุดพ้นจากศาลารอรถเก่าๆและบรรยากาศน่ากลัวตรงนี้ได้ หลังจากที่รถออกไปได้ไม่นาน ทั้งสองข้างทางที่รถวิ่งไปเต็มไปด้วยต้นไม้เล็กใหญ่ นานๆจะเจอบ้านคนที ทางที่รถวิ่งไปนั้นแคบมาก เรียกได้ว่า รถไม่สามารถวิ่งสวนกันได้เลย รถก็วิ่งไปเรื่อยๆ จากต้นไม้เล็กใหญ่สองข้างทางกลายเป็น กุฏิพระแบบพื้นไม้ยกสูง มีทั้งบาตร จีวรและอุปกรณ์สำหรับพระสงฆ์ ทั้งสองข้างล่าง ตอนนั้นใจผมเริ่มรู้สึกแปลกๆ และในใจก็ยังคิดว่า ตัวเองอยู่ที่ไหนเนี่ย และสายตาผมมองไปที่ข้างหน้ารถ ผมรู้สึกตกใจแต่ก็ไม่ได้อุทานเสียหรือแสดงอะไรออกมา สิ่งที่ผมเห็นคือ คนขับรถใส่เสื้อสีฟ้า ขับรถแบบคอเอียงไปด้านซ้าย เรียกว่าคอหักเลยก็ว่าได้ จากนั้นผมรู้สึกตัวว่ามีสายตาหลายคู่กำลังจับจ้องมาที่ผม และผมเพิ่งสังเกตว่า ในรถเมล์นั้นผู้โดยสายเป็นเด็กประมาณอนุบาลทั้งหมดเลย มาถึงตอนนี้ผมรู้สึกกลัวแล้ว และในใจหวังว่าจะไม่มีอะไรที่มันน่ากลัว หรือผีเลย ยังไม่ทันคิดเสร็จเด็กที่นั่งอยู่ตรงข้างหน้าผม ถามผมขึ้นมาว่า พี่จะลงตรงไหน ผมทำได้เพียงยิ้มและก้มหน้าลงมองพื้นของรถเมล์ ข่มความกลัวไว้ จากนั้นผมได้ยินเสียงกรี๊ดของเด็กหลายครั้งผมด้วยความอยากรู้ พยายามเงยหน้ามองไปข้างหน้า ผมเห็นเด็กค่อยๆหายไปทีละคน ทีละคน ตอนนั้นผมคิดในใจ กูเจอเข้าแล้ว ผมหันไปที่ประตูรถแล้วกับทุบและร้องตะโกนว่า “ช่วยเปิดประตูให้ทีจะลงๆ” พร้อมกับหลับตาปี๋ อยู่ๆประตูรถเปิดออกและผมรีบวิ่งลงมาจากรถเมล์อย่างรวดเร็ว และเสียงรถก็จากไป เสียงสวดมนต์ ลอยมาเบาๆ จากข้างหลังผม และมีเสียงที่คุ้นเคยมากๆเวลาเข้าวัด “เรียกเชิญญาติ โยม เข้ามาทำบุญกันได้ที่ใต้โบสถ์ …..
ผมก็ เอ๊ะ!! นี่เราอยู่ที่วัดหรอเนี่ย ก็เลยคิดว่า เอาวะ เข้าวัดทำบุญหน่อยแล้วกัน สิ่งที่ผมเห็นตรงหน้าคือโบสถ์สีเทาหลังใหญ่ บรรยากาศมืดๆ ให้ลองนึกถึงวัดในชนบท ช่วงเวลากลางคืนประมาณนั้น มีคนไม่ค่อยเยอะทยอยเดินลงไปใต้โบสถ์ ทางเดินเป็นแผ่นปูนไม่ค่อยเรียบเท่าไหร่ แต่ขนาดใหญ่มากปูเป็นทางเดินลงไปใต้โบสถ์ ผมก็ไม่รู้คิดยังไงเดินตามคนเหล่านั้นลงไป แต่ในใจระแวงตลอดเวลา เพราะบรรยากาศมันช่างน่ากลัวเหลือเกิน แสดงสลัวๆจากแสนเทียนอันน้อยนิดส่องสว่างตามทางเดินทอดยาวลงไปข้างล่าง แต่ไม่สามารถเห็นอะไรเกินกว่าสองช่วงแขนได้เลย
ยิ่งลงไปลึกขึ้นๆ เสียงพระสวดมนต์ก็ยิ่งดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน จนสุดทางผมได้เห็นรูปปั่นแปลกๆ สีออก ดำๆเขียวๆ พร้อมกับเครื่องบวงสรวง …… ติ๊ดๆ ๆ ๆ เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น
เช้าวันอังคารที่ 9 มกราคม 2567
เรื่องเล่าจากความฝัน
เลยเอยถาม ผู้หญิงที่ยืนรอรถไปว่า พี่มายืนรอรถเมล์หรอครับ “ใช่” ผู้หญิงคนนั้นตอบกลับมาด้วยเสียงฟังดูเบื่อหน่าย และจากนั้นผมก็ถามต่อว่า ถนนเส้นนี้มีรถเมล์ผ่านไปในเมืองไหมครับ แต่ในหัวผมตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบ้านของผมเองอยู่ตรงไหน ผู้หญิงคนนั้นตอบกลับมาว่า “บางทีก็มี บางทีก็ไม่มี แล้วแต่ดวงและนะ” อ่อได้แต่ตอบเบาๆ “ครับๆ” หลังจากนั้นไม่นานผมเห็นแสงไฟสว่างกำลังพุ่งมาที่ผม ผมพยายามมองดีๆ นั้นรถเมล์นิ ผมไม่รอช้ารีบโบก หวังให้รถเมล์จอดรับให้ผมไปพ้นจากตรงนี้เสียที เพราะด้วยบรรยากาศมันน่ากลัวมาก เมื่อรถจอดผมไม่รอช้าที่จะรีบก้าวขึ้นรถโดยไม่ได้หันกลับมามองข้างหลังเลย ผมอยู่สักแปบนึงประตูรถกำลังจะปิดผมเลย เอ๊ะใจ พร้อมหันกลับไป และในสายที่ผมเห็นนั้นพี่ผู้หญิงไม่ได้ขึ้นมาบนรถเมล์ด้วย ผมจึงถามไปว่า พี่ไม่ขึ้นมาด้วยหรอครับ พี่ผู้หญิงตอบผมกลับมาเพียงส่ายหน้าไปมาโดยที่ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ในใจผมตอนนั้นคิดได้อย่างเดียว ชั่งเถอะอย่างน้อยผมก็หลุดพ้นจากศาลารอรถเก่าๆและบรรยากาศน่ากลัวตรงนี้ได้ หลังจากที่รถออกไปได้ไม่นาน ทั้งสองข้างทางที่รถวิ่งไปเต็มไปด้วยต้นไม้เล็กใหญ่ นานๆจะเจอบ้านคนที ทางที่รถวิ่งไปนั้นแคบมาก เรียกได้ว่า รถไม่สามารถวิ่งสวนกันได้เลย รถก็วิ่งไปเรื่อยๆ จากต้นไม้เล็กใหญ่สองข้างทางกลายเป็น กุฏิพระแบบพื้นไม้ยกสูง มีทั้งบาตร จีวรและอุปกรณ์สำหรับพระสงฆ์ ทั้งสองข้างล่าง ตอนนั้นใจผมเริ่มรู้สึกแปลกๆ และในใจก็ยังคิดว่า ตัวเองอยู่ที่ไหนเนี่ย และสายตาผมมองไปที่ข้างหน้ารถ ผมรู้สึกตกใจแต่ก็ไม่ได้อุทานเสียหรือแสดงอะไรออกมา สิ่งที่ผมเห็นคือ คนขับรถใส่เสื้อสีฟ้า ขับรถแบบคอเอียงไปด้านซ้าย เรียกว่าคอหักเลยก็ว่าได้ จากนั้นผมรู้สึกตัวว่ามีสายตาหลายคู่กำลังจับจ้องมาที่ผม และผมเพิ่งสังเกตว่า ในรถเมล์นั้นผู้โดยสายเป็นเด็กประมาณอนุบาลทั้งหมดเลย มาถึงตอนนี้ผมรู้สึกกลัวแล้ว และในใจหวังว่าจะไม่มีอะไรที่มันน่ากลัว หรือผีเลย ยังไม่ทันคิดเสร็จเด็กที่นั่งอยู่ตรงข้างหน้าผม ถามผมขึ้นมาว่า พี่จะลงตรงไหน ผมทำได้เพียงยิ้มและก้มหน้าลงมองพื้นของรถเมล์ ข่มความกลัวไว้ จากนั้นผมได้ยินเสียงกรี๊ดของเด็กหลายครั้งผมด้วยความอยากรู้ พยายามเงยหน้ามองไปข้างหน้า ผมเห็นเด็กค่อยๆหายไปทีละคน ทีละคน ตอนนั้นผมคิดในใจ กูเจอเข้าแล้ว ผมหันไปที่ประตูรถแล้วกับทุบและร้องตะโกนว่า “ช่วยเปิดประตูให้ทีจะลงๆ” พร้อมกับหลับตาปี๋ อยู่ๆประตูรถเปิดออกและผมรีบวิ่งลงมาจากรถเมล์อย่างรวดเร็ว และเสียงรถก็จากไป เสียงสวดมนต์ ลอยมาเบาๆ จากข้างหลังผม และมีเสียงที่คุ้นเคยมากๆเวลาเข้าวัด “เรียกเชิญญาติ โยม เข้ามาทำบุญกันได้ที่ใต้โบสถ์ …..
ผมก็ เอ๊ะ!! นี่เราอยู่ที่วัดหรอเนี่ย ก็เลยคิดว่า เอาวะ เข้าวัดทำบุญหน่อยแล้วกัน สิ่งที่ผมเห็นตรงหน้าคือโบสถ์สีเทาหลังใหญ่ บรรยากาศมืดๆ ให้ลองนึกถึงวัดในชนบท ช่วงเวลากลางคืนประมาณนั้น มีคนไม่ค่อยเยอะทยอยเดินลงไปใต้โบสถ์ ทางเดินเป็นแผ่นปูนไม่ค่อยเรียบเท่าไหร่ แต่ขนาดใหญ่มากปูเป็นทางเดินลงไปใต้โบสถ์ ผมก็ไม่รู้คิดยังไงเดินตามคนเหล่านั้นลงไป แต่ในใจระแวงตลอดเวลา เพราะบรรยากาศมันช่างน่ากลัวเหลือเกิน แสดงสลัวๆจากแสนเทียนอันน้อยนิดส่องสว่างตามทางเดินทอดยาวลงไปข้างล่าง แต่ไม่สามารถเห็นอะไรเกินกว่าสองช่วงแขนได้เลย
ยิ่งลงไปลึกขึ้นๆ เสียงพระสวดมนต์ก็ยิ่งดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน จนสุดทางผมได้เห็นรูปปั่นแปลกๆ สีออก ดำๆเขียวๆ พร้อมกับเครื่องบวงสรวง …… ติ๊ดๆ ๆ ๆ เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น
เช้าวันอังคารที่ 9 มกราคม 2567