ชัยธวัช ซัด งบปี 67 ปัญหาอื้อ ลั่นไม่เคยพูดอภิปราย ทักษิณ แซะ รบ.ร้อนตัวไปเอง
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_8036220
ชัยธวัช ซัด งบปี 67 ปัญหาอื้อ ไม่สะท้อนนโยบายรัฐบาล ผิดหวังทำงบมา 3 เดือน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ปัด หยิบปม “ทักษิณ” ขึ้นพูด แซะ รัฐบาลร้อนตัวไปเอง
เมื่อเวลา 09.10 น. วันที่ 3 ม.ค. 2566 ที่รัฐสภา นาย
ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวก่อนการประชุมสภาฯ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท ระหว่างวันที่ 3-5 ม.ค.
โดยนายชัยธวัช กล่าวว่า พรรคก้าวไกลเตรียมทำการบ้าน ว่า พ.ร.บ.งบประมาณใหม่ที่จัดใหม่ สะท้อนหรือยึดโยงกับนโยบายของรัฐบาลที่ตั้งเป้าไว้หรือไม่ นอกจากนี้ การตั้ง พ.ร.บ.งบประมาณ จะสะท้อนสภาวะการทางการเมืองที่เกิดขึ้นจริงของการจัดตั้งรัฐบาลชุดนี้ด้วย
ส่วนที่หลายฝ่ายมองว่างบประมาณไม่ตรงปกนั้น ตนมองว่าก็เป็นปัญหาที่เห็นชัดเจน ไม่ใช่เพิ่งจะเห็นในการจัดทำ พ.ร.บ.งบประมาณฉบับนี้ แต่เห็นตั้งแต่การจัดทำแถลงนโยบาย มาจนถึงแผนงานของรายกระทรวง และการจัดทำพ.ร.บ.งบประมาณ จะเห็นว่าไม่สะท้อนนโยบาย และวาระนโยบายที่เป้าหมายของรัฐบาล ซึ่งถือเป็นปัญหา
โดยจะใช้ 3 วันในการอภิปรายชี้แจง วิพากษ์วิจารณ์ให้เห็นในรายละเอียด และข้อเสนอแนะของพรรคฝ่ายค้าน คิดว่าเวลา 3 วันนี้ จะเป็นประโยชน์ในการบริหารงานรัฐบาล และเป็นประโยชน์ของประชาชน ที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งในการติดตามงบประมาณของรัฐบาลชุดใหม่ โดยฝ่ายค้านกับรัฐบาลแบ่งกันฝ่ายละ 20 ชั่วโมง
นายชั
ยธวัช กล่าวอีกว่า ปัญหาของงบประมาณมีหลายส่วน ตั้งแต่การประมาณการรายได้ที่เกินจริงไป ส่วนการกำหนดวางงบที่เป็นรายจ่ายไม่พอกับรายจ่ายที่เป็นจริง ซึ่งเป็นปัญหาต่อเนื่องมาจากรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ทำให้รัฐบาลต่อๆ มาเป็นภาระที่จะต้องมีรายจ่ายคืนคลัง จึงเป็นประเด็นที่ต้องอภิปรายในสภาด้วย
ทั้งนี้ เป้าหมายในวาระแรก จะทำให้เห็นภาพรวมให้เห็นปัญหาใหญ่ๆ ส่วนวาระที่ 2 จะเป็นรายละเอียดของแต่ละกระทรวง และจะตรวจสอบว่าการกำหนดงบประมาณไว้ มีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ และคุ้มค่าหรือไม่ ซึ่งข้อจำกัดของสภาผู้แทนราษฎรคือตัดงบประมาณได้อย่างเดียว
เมื่อถามว่าจะมีการหยิบยกประเด็นของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ขึ้นมาพูดด้วยนั้น นาย
ชัยธวัช กล่าวว่า เรื่องนี้ฝ่ายค้านไม่ได้พูด มองว่าฝั่งรัฐบาลอาจจะร้อนตัวไปนิดหนึ่ง ก็ไม่ต้องกังวลอะไร แต่สิ่งที่จะต้องพูดด้วย คือ พ.ร.บ.งบประมาณไม่ได้สะท้อนแค่ปัญหาในการดำเนินนโยบายอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังสะท้อนสภาวะการทางการเมืองที่เป็นจริงในการจัดตั้งรัฐบาลชุดนี้ และเรื่องนายทักษิณไม่ใช่ประเด็น
เมื่อถามว่ามีการมองว่าการจัดงบประมาณครั้งนี้ ทำให้มองไม่เห็นอนาคตของประเทศ นาย
ชัยธวัช กล่าวว่า มองว่าเราแทบไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยยะสำคัญ นี่คือปัญหา ทั้งๆ ที่รัฐบาลมีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ทบทวนงบประมาณใหม่ตั้งแต่เดือน ก.ย. เป็นเวลา 3 เดือน แต่กลับใช้เวลา3เดือนได้อย่างน่าผิดหวังมาก
นายชั
ยธวัช กล่าวว่า สำหรับกรณีงบลับในชั้นกรรมาธิการ (กมธ.) นั้น มองว่าไม่ใช่เป็นปัญหาเฉพาะฝ่ายค้านและรัฐบาลเท่านั้น แต่ตั้งแต่ทำงานมาสมัยอนาคตใหม่ และสมัยพรรคก้าวไกล เราเห็นสส.ใช้การอภิปรายงบประมาณในการตบทรัพย์ หรือไปเรียกรับผลประโยชน์ในการไปแบ่งปัน เพื่อไปเบียดบังงบประมาณเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน
ดังนั้น ในฐานะแกนนำพรรคฝ่ายค้าน จึงต้องกำกับไม่ให้ สส.ฝ่ายค้ายด้วยกันเองมีปัญหา และให้การพิจารณางบประมาณเป็นไปตามเป้าหมายจริงๆ ไม่ใช่เวทีของการตบทรัพย์และเรียกรับผลประโยชน์
“
ร่างงบประมาณที่เห็น ซึ่งใช้เวลา 3 เดือนในการจัดใหม่ กลับไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่สะท้อนเป้าหมายและนโยบายรัฐบาล ซึ่งน่าผิดหวังมากๆ” นาย
ชัยธวัช กล่าว
"รสนา"แซะ"พีระพันธุ์"กล้ารื้อโครงสร้างก๊าซหุงต้มมากกว่าทำงานด้วยปาก
https://www.thansettakij.com/sustainable/energy/584900
"รสนา"แซะ"พีระพันธุ์"กล้ารื้อโครงสร้างก๊าซหุงต้มมากกว่าทำงานด้วยปาก ชี้อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าจัดสรรก๊าซหุงต้มระหว่างครัวเรือนกับปิโตรเคมีเป็นธรรมแล้ว หลังตอบกระทู้พรรคก้าวไกลว่าคำถามล้าสมัย
นางสาว
รสนา โตสิตระกูล อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค โพสต์เฟสบุ๊กส่วนตัว (
รสนา โตสิตระกูล ) เกี่ยวกับประเด็นการจัดสรรก๊าซหุงต้มระหว่างครัวเรือนกับปิโตรเคมี โดยระบุว่า
รมว.พีระพันธุ์อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่า จัดสรรก๊าซหุงต้มระหว่างครัวเรือนกับปิโตรเคมีเป็นธรรมแล้ว
รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานตอบกระทู้พรรคก้าวไกลว่าคำถามล้าสมัยหมดแล้ว และคุยว่าได้แก้ไขให้ครัวเรือนได้ใช้ราคาก๊าซอ่าวไทยเป็นก๊าซหุงต้มในราคาถูกที่สุดที่ 219 บาท ส่วนปิโตรเคมีได้ใช้ราคา 362 บาท
ราคาที่ยกขึ้นมาแค่เป็นการตีกินกันด้วยตัวเลขต้นทางเท่านั้น ใช่หรือไม่
ราคา LPG ต้องเทียบกันที่ราคาปลายทางระหว่างครัวเรือน กับปิโตรเคมี ไม่ใช่เทียบกันที่ราคาก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย ว่าใครได้ราคาถูกกว่ากัน
ทั้งนี้ ปัจจุบันราคาก๊าซหุงต้มยังแพงถึงถัง (15 กิโลกรัม) ละ 495 บาท แม้ว่าท่านรัฐมนตรีจะสั่งให้ตรึงราคาก๊าซหุงต้มถึงเดือนมีนาคม 2567 ไว้ที่ 423 บาท/ถัง แต่ก็ต้องเอาเงินจากกองทุนน้ำมันมาชดเชยถังละ 107 บาท ประชาชนยังติดหนี้กองทุนน้ำมันที่ต้องชดใช้เป็นเงินร่วมแสนล้านบาท
ราคาก๊าซ LPG เคยมีราคาถูกเพราะเป็นทรัพยากรในประเทศ เพื่อให้ประชาชนได้ใช้เป็นก๊าซหุงต้ม รัฐบาลในอดีตจึงกำหนดนโยบายให้ครัวเรือนได้ใช้ก่อนในราคาควบคุมที่ 333เหรียญ/ตัน คิดเป็นราคาก่อนภาษี และค่าการตลาดที่กิโลกรัมละ 10-11บาท และขายปลีกถังละ 290 - 300 บาท
ก๊าซธรรมชาติอ่าวไทยที่แยกเป็น LPG เพื่อใช้เป็นก๊าซหุงต้มมีปริมาณประมาณ 3 ล้านตัน ครัวเรือนใช้อยู่ประมาณ 2 ล้านตัน จึงเพียงพอต่อความต้องการใช้ของประชาชน
LPG ราคาถูกจากก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยเริ่มไม่เพียงพอ เมื่อธุรกิจปิโตรเคมีต้องการใช้ LPG ราคาถูกจากอ่าวไทยเพิ่มขึ้น จึงมีกระบวนการออกแบบเพื่อเปลี่ยนถ่ายLPGจากอ่าวไทยราคาถูกไปให้ธุรกิจเอกชนขายแพงให้ประชาชนเพื่อทำกำไร ใช่หรือไม่
เหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2551 ในสมัยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์คือเปลี่ยนมติให้ปิโตรเคมีมาใช้ก๊าซ LPG พร้อมกับครัวเรือน
จากมตินี้ทำให้ปตท.สามารถเปลี่ยนสัดส่วนผู้ใช้ก๊าซ LPG จากอ่าวไทยมาให้บริษัทปิโตรเคมีที่เป็นบริษัทลูกใช้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และใช้การซื้อขายแบบ Net Back คือตกลงราคากันเองระหว่างบริษัทแม่กับลูก บริษัทปิโตรเคมีในเครือปตท.จึงได้ใช้LPG ราคาถูกที่ผลิตจากก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยก่อนครัวเรือน ใช่หรือไม่
LPG จากก๊าซธรมชาติในอ่าวไทย 3 ล้านตัน ปิโตรเคมีใช้ไปในสัดส่วน 2.7 ล้านตัน เหลือให้ครัวเรือนได้ใช้LPG จากก๊าซอ่าวไทยเพียง 3แสนตัน ครัวเรือนต้องใช้ก๊าซ LPG ที่ได้จากโรงกลั่นน้ำมัน ที่มีราคาแพงกว่าLPG อ่าวไทย
ก่อนสมัยรัฐบาลลุงตู่ ก๊าซหุงต้มยังมีการควบคุมราคาที่ 333เหรียญ/ตัน คือกิโลกรัมละ 11-12 บาท และขายปลีกกิโลกรัม 18 บาท ถังละ 290 -300 บาท เมื่อต้องใช้ก๊าซLPGจากโรงกลั่นน้ำมันทำให้ราคาสูงขึ้น เริ่มมีการใช้กองทุนน้ำมันมาชดเชยราคาก๊าซหุงต้มไม่ให้ราคาขายปลีกต่อถังสูงเกินไป แต่ก็ชดเชยน้อยกว่าปัจจุบันมาก
เหตุการณ์หนักข้อที่สุดเกิดในยุครัฐบาลคสช.ของพล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งแต่ปี2558 ลุงตู่ได้ประกาศยกเลิกราคาควบคุม LPG ครัวเรือนที่ราคา 333 เหรียญ/ตัน และประกาศให้ใช้ราคานำเข้าก๊าซLPG แบบเสรี โดยใช้ราคานำเข้าจากประเทศซาอุดิอาระเบีย ทำให้ก๊าซLPG จากก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย 3 ล้านตัน ได้โอกาสใช้ราคาตลาดโลกมาขายแพงให้ประชาชน ใช่หรือไม่
เมื่อยกเลิกราคาควบคุมก๊าซหุงต้มที่ 333 เหรียญ/ตัน มาใช้ราคานำเข้าเสรีLPG ทำให้ครัวเรือนต้องแบกราคาตลาดโลกที่แพงขึ้น แต่บริษัทลูกของปตท.ยังได้ใช้ LPG อ่าวไทยในราคา Net Back ทรัพยากรก๊าซในอ่าวไทย จึงถูกเปลี่ยนไปเป็นกำไรของปตท. ซึ่งสามารถโยกย้ายกำไรไปมาระหว่างบริษัทปิโตรเคมีในกลุ่ม ใช่หรือไม่
ราคา LPG ตลาดโลกเป็นราคาที่ครัวเรือนจ่ายจริง เจ็บจริง นโยบายนี้ทำให้ราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มผลิตจากก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยขยับขึ้นจากถังละประมาณ 300 บาทเป็นถังละ 495 บาท ต้องเอากองทุนน้ำมันมาอุ้มราคาถังละ 107 บาท เป็นการอำพรางราคาที่แท้จริง และรัฐบาลได้หน้าว่าช่วยตรึงราคาไว้ที่ถังละ 423 บาท แต่ใช้เงินกองทุนฯมาอุ้ม หนี้ในกองทุนน้ำมันเป็นแสนล้าน ประชาชนต้องจ่ายอยู่ดี
บริษัทปิโตรเคมีได้ใช้LPG ราคาถูก และได้รับการเกื้อหนุนจากนโยบายรัฐบาลว่าLPGที่ใช้เป็นวัตถุดิบ ไม่ต้องจ่ายภาษีสรรพสามิต ไม่ต้องจ่ายภาษีเทศบาล ไม่มีค่าการตลาด จึงมีราคาถูกกว่าLPG ของครัวเรือนยิ่งขึ้นไปอีก และไม่ต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนน้ำมันมาชดเชยการได้ใช้ก๊าซLPG ราคาถูกจากอ่าวไทยเลย ใช่หรือไม่
ในเมื่อท่านรัฐมนตรีพีระพันธุ์ประกาศขอทำงานหนักในปี2567 รื้อทิ้งระบบที่ทำให้ประชาชนเป็นทุกข์ให้หมด เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ดิฉันขอนำเสนอวิธีแก้ไขเพื่อให้ท่านรัฐมนตรีพิจารณา ดังนี้
• ให้ครัวเรือน และปิโตรเคมี ซื้อก๊าซLPG ในราคาตลาดโลกเท่ากัน ไม่ให้บริษัทลูกของปตท. ซื้อ LPG ในราคาที่ตกลงกันเอง(Net Back)
• รัฐบาลในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ในปตท. ควรกำหนดราคาLPG ในประเทศ โดยใช้สูตรคำนวณ : ราคาก๊าซจากปากหลุม +ค่าใช้จ่ายในการแยกก๊าซของ ปตท.ที่เป็นมาตรฐาน + กำไรไม่เกิน 5%
• ส่วนต่างระหว่าง ราคาLPG ในประเทศ หักลบราคาLPG ตลาดโลกแล้ว ให้ส่งเข้ากองทุนน้ำมันเพื่อนำไปชดเชยก๊าซหุงต้มครัวเรือนในราคาตามที่รัฐกำหนด
ถ้าทำได้เช่นนี้ เงินกองทุนน้ำมันสำหรับชดเชยราคาก๊าซหุงต้มของครัวเรือน จะมาจากส่วนต่างราคาของทรัพยากรก๊าซในประเทศ ที่หักจากราคาตลาดโลก เป็นการขายไม้สัก ในราคาไม้สัก ไม่ใช่ขายไม้สักในราคาเศษไม้อย่างที่ผ่านมา และสามารถนำมาชดเชยให้ประชาชนได้ใช้ก๊าซหุงต้มในราคาสาธารณูปโภคพื้นฐาน
ถ้านายพีระพันธุ์พิจารณาแนวทางที่ดิฉันเสนอ น่าจะช่วยแก้ปมปัญหาราคาก๊าซหุงต้มที่ไม่เป็นธรรมต่อประชาชนได้ ก๊าซหุงต้มที่เป็นทรัพยากรในประเทศประชาชนควรได้ใช้ในราคาแบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน
โปรดให้โอกาสประชาชนได้รับผลแห่งความโชติช่วงชัชวาลจากทรัพยากรในแผ่นดินไทย ดังที่อดีตนายกฯเปรม ติณสูลานนท์เคยประกาศเมื่อพบก๊าซเชิงพาณิชย์ในอ่าวไทยว่า
“เราจะโชติช่วงชัชวาลกันแล้ว” อย่าปล่อยความโชติช่วงชัชวาลเป็นประโยชน์แค่กับธุรกิจเอกชนบางบริษัทเท่านั้น
จึงขอให้ท่านโปรดใช้ความกล้าหาญในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างราคาเพื่อประชาชน มากกว่าการใช้โวหารเอาไว้ข่มกันโดยประชาชนไม่ได้อะไรที่เป็นของจริง
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid02wLktrDPy4EWoj6mvgsMoLiLS33sbNyqHwxyKfofxj7hRvohV2uXezVwtJkCWQpzKl&id=100044690642442
JJNY : ชัยธวัช ซัดงบปี 67│"รสนา"แซะ"พีระพันธุ์"│ต่างชาติ 12.6ล.คนเยือนเวียดนามปี66│แผ่นดินไหวเขย่าอิชิคาวะกว่า400ครั้ง
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_8036220
ชัยธวัช ซัด งบปี 67 ปัญหาอื้อ ไม่สะท้อนนโยบายรัฐบาล ผิดหวังทำงบมา 3 เดือน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ปัด หยิบปม “ทักษิณ” ขึ้นพูด แซะ รัฐบาลร้อนตัวไปเอง
เมื่อเวลา 09.10 น. วันที่ 3 ม.ค. 2566 ที่รัฐสภา นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวก่อนการประชุมสภาฯ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท ระหว่างวันที่ 3-5 ม.ค.
โดยนายชัยธวัช กล่าวว่า พรรคก้าวไกลเตรียมทำการบ้าน ว่า พ.ร.บ.งบประมาณใหม่ที่จัดใหม่ สะท้อนหรือยึดโยงกับนโยบายของรัฐบาลที่ตั้งเป้าไว้หรือไม่ นอกจากนี้ การตั้ง พ.ร.บ.งบประมาณ จะสะท้อนสภาวะการทางการเมืองที่เกิดขึ้นจริงของการจัดตั้งรัฐบาลชุดนี้ด้วย
ส่วนที่หลายฝ่ายมองว่างบประมาณไม่ตรงปกนั้น ตนมองว่าก็เป็นปัญหาที่เห็นชัดเจน ไม่ใช่เพิ่งจะเห็นในการจัดทำ พ.ร.บ.งบประมาณฉบับนี้ แต่เห็นตั้งแต่การจัดทำแถลงนโยบาย มาจนถึงแผนงานของรายกระทรวง และการจัดทำพ.ร.บ.งบประมาณ จะเห็นว่าไม่สะท้อนนโยบาย และวาระนโยบายที่เป้าหมายของรัฐบาล ซึ่งถือเป็นปัญหา
โดยจะใช้ 3 วันในการอภิปรายชี้แจง วิพากษ์วิจารณ์ให้เห็นในรายละเอียด และข้อเสนอแนะของพรรคฝ่ายค้าน คิดว่าเวลา 3 วันนี้ จะเป็นประโยชน์ในการบริหารงานรัฐบาล และเป็นประโยชน์ของประชาชน ที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งในการติดตามงบประมาณของรัฐบาลชุดใหม่ โดยฝ่ายค้านกับรัฐบาลแบ่งกันฝ่ายละ 20 ชั่วโมง
นายชัยธวัช กล่าวอีกว่า ปัญหาของงบประมาณมีหลายส่วน ตั้งแต่การประมาณการรายได้ที่เกินจริงไป ส่วนการกำหนดวางงบที่เป็นรายจ่ายไม่พอกับรายจ่ายที่เป็นจริง ซึ่งเป็นปัญหาต่อเนื่องมาจากรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ทำให้รัฐบาลต่อๆ มาเป็นภาระที่จะต้องมีรายจ่ายคืนคลัง จึงเป็นประเด็นที่ต้องอภิปรายในสภาด้วย
ทั้งนี้ เป้าหมายในวาระแรก จะทำให้เห็นภาพรวมให้เห็นปัญหาใหญ่ๆ ส่วนวาระที่ 2 จะเป็นรายละเอียดของแต่ละกระทรวง และจะตรวจสอบว่าการกำหนดงบประมาณไว้ มีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ และคุ้มค่าหรือไม่ ซึ่งข้อจำกัดของสภาผู้แทนราษฎรคือตัดงบประมาณได้อย่างเดียว
เมื่อถามว่าจะมีการหยิบยกประเด็นของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ขึ้นมาพูดด้วยนั้น นายชัยธวัช กล่าวว่า เรื่องนี้ฝ่ายค้านไม่ได้พูด มองว่าฝั่งรัฐบาลอาจจะร้อนตัวไปนิดหนึ่ง ก็ไม่ต้องกังวลอะไร แต่สิ่งที่จะต้องพูดด้วย คือ พ.ร.บ.งบประมาณไม่ได้สะท้อนแค่ปัญหาในการดำเนินนโยบายอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังสะท้อนสภาวะการทางการเมืองที่เป็นจริงในการจัดตั้งรัฐบาลชุดนี้ และเรื่องนายทักษิณไม่ใช่ประเด็น
เมื่อถามว่ามีการมองว่าการจัดงบประมาณครั้งนี้ ทำให้มองไม่เห็นอนาคตของประเทศ นายชัยธวัช กล่าวว่า มองว่าเราแทบไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยยะสำคัญ นี่คือปัญหา ทั้งๆ ที่รัฐบาลมีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ทบทวนงบประมาณใหม่ตั้งแต่เดือน ก.ย. เป็นเวลา 3 เดือน แต่กลับใช้เวลา3เดือนได้อย่างน่าผิดหวังมาก
นายชัยธวัช กล่าวว่า สำหรับกรณีงบลับในชั้นกรรมาธิการ (กมธ.) นั้น มองว่าไม่ใช่เป็นปัญหาเฉพาะฝ่ายค้านและรัฐบาลเท่านั้น แต่ตั้งแต่ทำงานมาสมัยอนาคตใหม่ และสมัยพรรคก้าวไกล เราเห็นสส.ใช้การอภิปรายงบประมาณในการตบทรัพย์ หรือไปเรียกรับผลประโยชน์ในการไปแบ่งปัน เพื่อไปเบียดบังงบประมาณเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน
ดังนั้น ในฐานะแกนนำพรรคฝ่ายค้าน จึงต้องกำกับไม่ให้ สส.ฝ่ายค้ายด้วยกันเองมีปัญหา และให้การพิจารณางบประมาณเป็นไปตามเป้าหมายจริงๆ ไม่ใช่เวทีของการตบทรัพย์และเรียกรับผลประโยชน์
“ร่างงบประมาณที่เห็น ซึ่งใช้เวลา 3 เดือนในการจัดใหม่ กลับไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่สะท้อนเป้าหมายและนโยบายรัฐบาล ซึ่งน่าผิดหวังมากๆ” นายชัยธวัช กล่าว
"รสนา"แซะ"พีระพันธุ์"กล้ารื้อโครงสร้างก๊าซหุงต้มมากกว่าทำงานด้วยปาก
https://www.thansettakij.com/sustainable/energy/584900
"รสนา"แซะ"พีระพันธุ์"กล้ารื้อโครงสร้างก๊าซหุงต้มมากกว่าทำงานด้วยปาก ชี้อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าจัดสรรก๊าซหุงต้มระหว่างครัวเรือนกับปิโตรเคมีเป็นธรรมแล้ว หลังตอบกระทู้พรรคก้าวไกลว่าคำถามล้าสมัย
นางสาวรสนา โตสิตระกูล อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค โพสต์เฟสบุ๊กส่วนตัว (รสนา โตสิตระกูล ) เกี่ยวกับประเด็นการจัดสรรก๊าซหุงต้มระหว่างครัวเรือนกับปิโตรเคมี โดยระบุว่า
รมว.พีระพันธุ์อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่า จัดสรรก๊าซหุงต้มระหว่างครัวเรือนกับปิโตรเคมีเป็นธรรมแล้ว
รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานตอบกระทู้พรรคก้าวไกลว่าคำถามล้าสมัยหมดแล้ว และคุยว่าได้แก้ไขให้ครัวเรือนได้ใช้ราคาก๊าซอ่าวไทยเป็นก๊าซหุงต้มในราคาถูกที่สุดที่ 219 บาท ส่วนปิโตรเคมีได้ใช้ราคา 362 บาท
ราคาที่ยกขึ้นมาแค่เป็นการตีกินกันด้วยตัวเลขต้นทางเท่านั้น ใช่หรือไม่
ราคา LPG ต้องเทียบกันที่ราคาปลายทางระหว่างครัวเรือน กับปิโตรเคมี ไม่ใช่เทียบกันที่ราคาก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย ว่าใครได้ราคาถูกกว่ากัน
ทั้งนี้ ปัจจุบันราคาก๊าซหุงต้มยังแพงถึงถัง (15 กิโลกรัม) ละ 495 บาท แม้ว่าท่านรัฐมนตรีจะสั่งให้ตรึงราคาก๊าซหุงต้มถึงเดือนมีนาคม 2567 ไว้ที่ 423 บาท/ถัง แต่ก็ต้องเอาเงินจากกองทุนน้ำมันมาชดเชยถังละ 107 บาท ประชาชนยังติดหนี้กองทุนน้ำมันที่ต้องชดใช้เป็นเงินร่วมแสนล้านบาท
ราคาก๊าซ LPG เคยมีราคาถูกเพราะเป็นทรัพยากรในประเทศ เพื่อให้ประชาชนได้ใช้เป็นก๊าซหุงต้ม รัฐบาลในอดีตจึงกำหนดนโยบายให้ครัวเรือนได้ใช้ก่อนในราคาควบคุมที่ 333เหรียญ/ตัน คิดเป็นราคาก่อนภาษี และค่าการตลาดที่กิโลกรัมละ 10-11บาท และขายปลีกถังละ 290 - 300 บาท
ก๊าซธรรมชาติอ่าวไทยที่แยกเป็น LPG เพื่อใช้เป็นก๊าซหุงต้มมีปริมาณประมาณ 3 ล้านตัน ครัวเรือนใช้อยู่ประมาณ 2 ล้านตัน จึงเพียงพอต่อความต้องการใช้ของประชาชน
LPG ราคาถูกจากก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยเริ่มไม่เพียงพอ เมื่อธุรกิจปิโตรเคมีต้องการใช้ LPG ราคาถูกจากอ่าวไทยเพิ่มขึ้น จึงมีกระบวนการออกแบบเพื่อเปลี่ยนถ่ายLPGจากอ่าวไทยราคาถูกไปให้ธุรกิจเอกชนขายแพงให้ประชาชนเพื่อทำกำไร ใช่หรือไม่
เหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2551 ในสมัยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์คือเปลี่ยนมติให้ปิโตรเคมีมาใช้ก๊าซ LPG พร้อมกับครัวเรือน
จากมตินี้ทำให้ปตท.สามารถเปลี่ยนสัดส่วนผู้ใช้ก๊าซ LPG จากอ่าวไทยมาให้บริษัทปิโตรเคมีที่เป็นบริษัทลูกใช้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และใช้การซื้อขายแบบ Net Back คือตกลงราคากันเองระหว่างบริษัทแม่กับลูก บริษัทปิโตรเคมีในเครือปตท.จึงได้ใช้LPG ราคาถูกที่ผลิตจากก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยก่อนครัวเรือน ใช่หรือไม่
LPG จากก๊าซธรมชาติในอ่าวไทย 3 ล้านตัน ปิโตรเคมีใช้ไปในสัดส่วน 2.7 ล้านตัน เหลือให้ครัวเรือนได้ใช้LPG จากก๊าซอ่าวไทยเพียง 3แสนตัน ครัวเรือนต้องใช้ก๊าซ LPG ที่ได้จากโรงกลั่นน้ำมัน ที่มีราคาแพงกว่าLPG อ่าวไทย
ก่อนสมัยรัฐบาลลุงตู่ ก๊าซหุงต้มยังมีการควบคุมราคาที่ 333เหรียญ/ตัน คือกิโลกรัมละ 11-12 บาท และขายปลีกกิโลกรัม 18 บาท ถังละ 290 -300 บาท เมื่อต้องใช้ก๊าซLPGจากโรงกลั่นน้ำมันทำให้ราคาสูงขึ้น เริ่มมีการใช้กองทุนน้ำมันมาชดเชยราคาก๊าซหุงต้มไม่ให้ราคาขายปลีกต่อถังสูงเกินไป แต่ก็ชดเชยน้อยกว่าปัจจุบันมาก
เหตุการณ์หนักข้อที่สุดเกิดในยุครัฐบาลคสช.ของพล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งแต่ปี2558 ลุงตู่ได้ประกาศยกเลิกราคาควบคุม LPG ครัวเรือนที่ราคา 333 เหรียญ/ตัน และประกาศให้ใช้ราคานำเข้าก๊าซLPG แบบเสรี โดยใช้ราคานำเข้าจากประเทศซาอุดิอาระเบีย ทำให้ก๊าซLPG จากก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย 3 ล้านตัน ได้โอกาสใช้ราคาตลาดโลกมาขายแพงให้ประชาชน ใช่หรือไม่
เมื่อยกเลิกราคาควบคุมก๊าซหุงต้มที่ 333 เหรียญ/ตัน มาใช้ราคานำเข้าเสรีLPG ทำให้ครัวเรือนต้องแบกราคาตลาดโลกที่แพงขึ้น แต่บริษัทลูกของปตท.ยังได้ใช้ LPG อ่าวไทยในราคา Net Back ทรัพยากรก๊าซในอ่าวไทย จึงถูกเปลี่ยนไปเป็นกำไรของปตท. ซึ่งสามารถโยกย้ายกำไรไปมาระหว่างบริษัทปิโตรเคมีในกลุ่ม ใช่หรือไม่
ราคา LPG ตลาดโลกเป็นราคาที่ครัวเรือนจ่ายจริง เจ็บจริง นโยบายนี้ทำให้ราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มผลิตจากก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยขยับขึ้นจากถังละประมาณ 300 บาทเป็นถังละ 495 บาท ต้องเอากองทุนน้ำมันมาอุ้มราคาถังละ 107 บาท เป็นการอำพรางราคาที่แท้จริง และรัฐบาลได้หน้าว่าช่วยตรึงราคาไว้ที่ถังละ 423 บาท แต่ใช้เงินกองทุนฯมาอุ้ม หนี้ในกองทุนน้ำมันเป็นแสนล้าน ประชาชนต้องจ่ายอยู่ดี
บริษัทปิโตรเคมีได้ใช้LPG ราคาถูก และได้รับการเกื้อหนุนจากนโยบายรัฐบาลว่าLPGที่ใช้เป็นวัตถุดิบ ไม่ต้องจ่ายภาษีสรรพสามิต ไม่ต้องจ่ายภาษีเทศบาล ไม่มีค่าการตลาด จึงมีราคาถูกกว่าLPG ของครัวเรือนยิ่งขึ้นไปอีก และไม่ต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนน้ำมันมาชดเชยการได้ใช้ก๊าซLPG ราคาถูกจากอ่าวไทยเลย ใช่หรือไม่
ในเมื่อท่านรัฐมนตรีพีระพันธุ์ประกาศขอทำงานหนักในปี2567 รื้อทิ้งระบบที่ทำให้ประชาชนเป็นทุกข์ให้หมด เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ดิฉันขอนำเสนอวิธีแก้ไขเพื่อให้ท่านรัฐมนตรีพิจารณา ดังนี้
• ให้ครัวเรือน และปิโตรเคมี ซื้อก๊าซLPG ในราคาตลาดโลกเท่ากัน ไม่ให้บริษัทลูกของปตท. ซื้อ LPG ในราคาที่ตกลงกันเอง(Net Back)
• รัฐบาลในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ในปตท. ควรกำหนดราคาLPG ในประเทศ โดยใช้สูตรคำนวณ : ราคาก๊าซจากปากหลุม +ค่าใช้จ่ายในการแยกก๊าซของ ปตท.ที่เป็นมาตรฐาน + กำไรไม่เกิน 5%
• ส่วนต่างระหว่าง ราคาLPG ในประเทศ หักลบราคาLPG ตลาดโลกแล้ว ให้ส่งเข้ากองทุนน้ำมันเพื่อนำไปชดเชยก๊าซหุงต้มครัวเรือนในราคาตามที่รัฐกำหนด
ถ้าทำได้เช่นนี้ เงินกองทุนน้ำมันสำหรับชดเชยราคาก๊าซหุงต้มของครัวเรือน จะมาจากส่วนต่างราคาของทรัพยากรก๊าซในประเทศ ที่หักจากราคาตลาดโลก เป็นการขายไม้สัก ในราคาไม้สัก ไม่ใช่ขายไม้สักในราคาเศษไม้อย่างที่ผ่านมา และสามารถนำมาชดเชยให้ประชาชนได้ใช้ก๊าซหุงต้มในราคาสาธารณูปโภคพื้นฐาน
ถ้านายพีระพันธุ์พิจารณาแนวทางที่ดิฉันเสนอ น่าจะช่วยแก้ปมปัญหาราคาก๊าซหุงต้มที่ไม่เป็นธรรมต่อประชาชนได้ ก๊าซหุงต้มที่เป็นทรัพยากรในประเทศประชาชนควรได้ใช้ในราคาแบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน
โปรดให้โอกาสประชาชนได้รับผลแห่งความโชติช่วงชัชวาลจากทรัพยากรในแผ่นดินไทย ดังที่อดีตนายกฯเปรม ติณสูลานนท์เคยประกาศเมื่อพบก๊าซเชิงพาณิชย์ในอ่าวไทยว่า
“เราจะโชติช่วงชัชวาลกันแล้ว” อย่าปล่อยความโชติช่วงชัชวาลเป็นประโยชน์แค่กับธุรกิจเอกชนบางบริษัทเท่านั้น
จึงขอให้ท่านโปรดใช้ความกล้าหาญในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างราคาเพื่อประชาชน มากกว่าการใช้โวหารเอาไว้ข่มกันโดยประชาชนไม่ได้อะไรที่เป็นของจริง
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid02wLktrDPy4EWoj6mvgsMoLiLS33sbNyqHwxyKfofxj7hRvohV2uXezVwtJkCWQpzKl&id=100044690642442