-Splintered souls Part I-
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นถูกแปลและสรุปไว้ในหน้านี้แล้ว
เข้าสู่ทางใต้ของแดนเถื่อน สามารถกดเข้าไปอ่านเพื่อเพิ่มความต่อเนื่องในการรับรู้ข้อมูลต่อจากนี้ให้มากขึ้น ขอยินดีต้อนรับทุกท่านที่จะได้รับชมและรับฟัง เรื่องราวการต่อสู้ การเสียสละ และการเอาชีวิตรอด เพื่อวันข้างหน้าที่ดีกว่านี้ เพื่อชีวิตที่เป็นอิสระ เพื่อเจตจำนึงเสรี มาเริ่มจุดกองไฟ เพื่อรับรู้เรื่องเล่าเหล่านี้กันเถอะ
เหตุการณ์ผ่านมาไม่นานหลังจากที่ได้ต่อสู้กับศัตรูร้ายที่ "Tristram Cathedral" แม้จะเสียคนดีดีไปแต่ก็ได้เบาะแสบางอย่างที่เชื่อมโยงกับสิ่งที่เหล่านักผจญภัยและอัครเทวทูต "Tyreal" ตามหา นั่นคือดาบ "El'Druin" หรือ "ดาบแห่งความยุติธรรม" ที่หายสาบสูญไปหลังจากที่ "WorldStone" ได้ถูกทำลาย "Karshun" มีข่าวสารมาบอกว่าทางเหนือน่าจะเป็นที่ที่ดาบเล่มนั้นอยู่อย่างแน่นอน จากการตรวจสอบแล้วความน่าจะเป็นก็คงเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ตามจงนำดาบเล่มนั้นกลับมาให้ได้ เพราะนอกจากจะทำให้สามารถต่อกรกับอำนาจจากนรกได้แล้ว "Diablo" ยังหวาดกลัวดาบเล่มนี้ด้วยเหมือนกัน โดยแผนการคร่าวคร่าวคือ "อัครเทวทูตทีเรียล" จะสัมผัสถึงตำแหน่งของดาบได้ หากเขาได้อยู่ใกล้เพียงพอ ถึงตอนนั้นค่อยว่ากัน สิ่งที่น่ากังวลนั้นคือสภาพของแดนเถื่อนที่ถูกทำลายและสิ่งมีชีวิตที่เปลี่ยนสภาพต่างหาก จากนั้นนักผจญภัยจึงได้ออกเดินทางไปยังดินแดนทางตอนเหนือทันที
เมื่อนักผจญภัยเดินทางมาถึง "Southern Dreadlands" โดยการข้ามผ่านทาง "Frozen tundra" ที่มีสะพานข้ามไปยังอีกฝั่งของพื้นที่ราบได้ จึงได้พบเข้ากับดินแดนที่เหมือนกับดินแดนรกร้าง มีแต่สิ่งมีชีวิตประหลาดและซากศพของชาวบ้านในพื้นที่ ที่บางส่วนก็กลายสภาพไม่ก็ถูกสัตว์กลายพันธุ์กินเป็นอาหารอย่างทุกข์ทรมาน การเดินทางเป็นไปอย่างยากลำบากด้วยศัตรูที่มากมายและภูมิประเทศที่ไม่เป็นมิตร แต่นักผจญภัยก็สามารถฝ่าฟันมันมาได้ และได้ยินเสียงร้องเรียกจากใครบางคนใต้ชายคาบริเวณใกล้ใกล้
ใต้ชายคานั้นเป็นหญิงสาวผู้หนึ่งที่กำลังรักษาพยาบาลและรักษาคนเจ็บอยู่ นางได้แนะนำตัวกับนักผจญภัยว่านางชื่อ "Marenna" เป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในเมืองใกล้ใกล้นี้ ยังได้บอกอีกว่าคนเจ็บเหล่านี้ถูกพายุสีแดงที่มีอณูประหลาดพัดใส่ ทำให้มีเศษชิ้นส่วนบางอย่างปักอยู่ทั่วตัว พายุนั้นพัดกรีดอากาศทำให้บ้านเรือนทั้งหมู่บ้านขาดเป็นชิ้นชิ้น ผู้คนถูกเปลี่ยนเป็นสัตว์ประหลาด นักผจญภัยเอ่ยขึ้นว่า แน่นอนพวก "Shardborne" แต่ยังไม่ทันได้คุยอะไรกันมากนัก คนทั้งหมดยกเว้นชายที่ชื่อ "Yesenka" ได้กลายสภาพและจู่โจมพวกเขา แต่ก็ได้ถูกนักผจญภัยจัดการได้ในที่สุด
จากนั้นมาเรนน่าได้ขอร้องกับนักผจญภัยว่าให้ช่วยตามหาลูกชายของนางให้หน่อยและพาเขากลับมาหานางด้วย โดยสถานที่ที่เขามักจะไปเป็นโบสถ์เก่าที่อยู่ไม่ห่างจากที่นี่ เขามักจะไปสวดมนต์กับเพื่อนของเขาอย่าง "Evie" หากเจอก็ขอให้พากลับมาโดยเร็ว โดยนักผจญภัยขอสิ่งแลกเปลี่ยนเป็นการตอบคำถามสักสองสามคำถามจากนางและนางได้ตกลง ก่อนที่มาเรนน่าจะพาคนเจ็บออกเดินทางไปยังที่ปลอดภัยนางได้บอกว่านางเป็นหนี้นักผจญภัย
เมื่อเดินทางตามร่องรอยและพบรอยเท้าเล็กเล็กจึงมั่นใจว่านี่น่าจะเป็นลูกชายของมาเรนน่าที่น่าจะชื่อ "Jacob" ตามที่นางได้บอกไว้อย่างแน่นอน จึงเข้าไปบริเวณด้านในโบสถ์ที่สภาพไม่ค่อยดี เพราะน่าจะถูกพายุกระหน่ำเข้าไปอย่างแรง เมื่อนักผจญภัยเดินเข้าไปก็พบกับเด็กชายที่หลบซ่อนอยู่และบอกให้เจ้าเด็กนี่อยู่นิ่งนิ่งแต่ไม่ทันได้กล่าวอะไรต่อจากนั้น เด็กน้อยได้ก้าวขาออกมา ก้าวแรกไม่ไม่เป็นไร ก้าวต่อไปพื้นด้านล่างพังยับ ทำให้คนทั้งคู่ร่วงลงไปยังด้านล่างของโบสถ์
เมื่อตกลงมายังด้านล่างนักผจญภัยและเจคอบนั้นไม่เป็นอะไรมาก จึงได้เริ่มถามไถ่ว่าทำไมเด็กชายถึงได้มาที่แห่งนี้ทั้งทั้งที่มันอันตรายขนาดนี้ เด็กชายได้เล่าว่ามารดาของเขานั้นรักษาผู้คนที่บาดเจ็บ จนตอนนี้แทบไม่เหลือยารักษาหรือเครื่องมือแล้ว แต่ที่โบสถ์แห่งนี้มีคุณพ่อ "Benford" ผู้ที่เป็นบาทหลวงประจำโบสถ์แห่งนี้นั้นมียารักษาและคอยทำหน้าที่รักษาผู้คนมาโดยตลอด เขาถึงได้มาที่แห่งนี้ เพื่อหายารักษาไปให้มารดาของตน นับว่าเป็นเด็กดีที่กล้าหาญมากมากหากเทียบในวัยเดียวกัน นักผจญภัยจึงได้บอกให้เด็กน้อยคนนี้ซ่อนตัวไว้ก่อน เดี๋ยวจะไปหาทางออกจากที่นี่ให้ ก่อนไปก็อ่านบันทึกบนโต๊ะเล็กน้อยเนื้อความไม่ชัดเจนแต่เหมือนว่าที่แห่งนี้ไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว เพราะมีการกล่าวถึงผู้คนที่ถูกเปลี่ยน....แล้วพวกเขาหายไปไหน?
นักผจญภัยได้สำรวจชั้นใต้ดินจนมาหยุดอยู่ในห้องที่มืดสนิทที่ จึงได้จุดไฟที่เตา แสงสว่างทำให้บริเวณรอบรอบนั้นสว่างมากพอที่จะทำให้เห็นสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด มันคือผู้คนที่ถูกเปลี่ยนให้กลายสภาพเป็นสัตว์ประหลาด ที่ตรงนี้เองที่พวกมันมารวมตัวกัน ในเงามืดนั้นมีร่างนึงที่เผยตัวออกมา มันคือร่างของคุณพ่อ "เบนฟอร์ด" ที่ได้กลายสภาพเป็นปิศาจร้าย แต่สภาพดูเหมือนก่อนที่จะเสียสติไปนั้นคงพันธนาการตัวของเขาเองไว้กับที่ล๊อคและตรงด้วยโซ่ เพื่อกันให้ตนเองไม่ออกไปทำร้ายใครได้อีก
นักผจญภัยต้องต่อสู้และสังหารผู้ที่ถูกเปลี่ยนเหล่านี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้พวกเขาจะเคยเป็นอะไรหรือเคยเป็นใครมาก่อนก็ตาม แต่เมื่อการต่อสู้จบลง ดูเหมือนว่ามันยังไม่สิ้นสุดเสียทีเดียว สิ่งที่เกิดขึ้นคือมีอณูที่ปล่อยออกมาจากซากศพที่ถูกสังหารไปลอยออกมาและสัมผัสกับตัวของนักผจญภัย ทำให้เกิดภาพหลอนหรืออะไรบางอย่างเกิดขึ้นภายในจิตใจของนักผจญภัยในทันที
ภาพที่เห็นเป็นเหมือนกับอดีตที่เคยเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีก่อน ในตอนที่นักผจญภัยได้เริ่มออกไล่ล่าเศษชิ้นส่วนที่แตกสลาย มันได้พานักผจญภัยกลับมายัง หมู่บ้าน "BlackStone" และได้พบกับเด็กหญิงที่บิดาของนาง "Lucian" ได้ขอให้นักผจญภัยไปปกป้องนางจากนั้นเขาก็ได้สิ้นใจไป แต่ภาพที่เกิดขึ้นซ้ำย้ำความจริงที่ว่าแม้กลับมาอีกครั้งนักผจญภัยนักผจญภัยก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ เด็กน้อย "Alyssa" ถูกสังหารและตายตามบิดาของนางไป แล้วภาพเหล่านั้นก็บิดเบี้ยวกลายเป็นจอมมารดิอาโบลที่ออกมาหลอกหลอนนักผจญภัยจนแทบสิ้นสติ แต่แล้วก็มีเสียงเรียกที่ปลุกนักผจญภัยให้ตื่นจากฝันร้ายนี้
มันคือเสียงของมาเรนน่านั่นเอง ที่ได้ตามมาหลังจากพาคนเจ็บไปยังที่ปลอดภัยเป็นที่เรียบร้อย นางได้เผาทำลายซากศพไม่ให้เหลือเศษของอณูที่จะทำให้เห็นภาพหลอนเหล่านั้นได้อีก และได้บอกนักผจญภัยให้เจอกันที่แคมป์ที่อยู่ด้านนอกของเมือง "Staalbreak" เพื่อพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้และเรื่องที่อยากจะถามด้วย
ไม่นานจากนั้นนักผจญภัยได้เดินทางมาถึงที่หมาย มาเรนน่าได้รออยู่และกำลังจะบอกเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง และตอบคำถามของนักผจญภัยเกี่ยวกับสิ่งของบางอย่างที่ส่องแสงเหมือนกับแสงของอาทิตย์ แต่นางก็ไม่เคยเห็นแสงแบบนั้นเลย มีเพียงแต่แสงที่เกิดขึ้นจากการทำลายล้าง
มันคือภาพการทำลายล้างของ "Mount Arreat" ไม่มีแสงแห่งความหวัง มีเพียงแต่การทำลายล้าง อนูสีแดงเปลี่ยนเป็นพายุ คร่าชีวิตและเปลี่ยนผู้คนที่ยังรอดอยู่ให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดที่รู้จักแต่การฆ่า เปลวเพลิงสีแดงผลาญชีวิตผู้คนและความหวังในการเอาชีวิตรอดหมดไป มันเป็นภาพที่ลืมได้ยาก และคงเป็นเรื่องเดียวที่นางจดจำได้ไม่ลืม แต่ก่อนพูดคุยและแยกย้าย นางได้บอกให้นักผจญภัยเดินทางไปหาสามีของนางที่ชื่อ "Geoffrey" เขาคนนี้เคยไปยังใต้ขุนเขาหลายต่อหลายครั้ง ครั้งล่าสุดเขาอยู่แถวแถว "Gray ward" เขาอาจจะช่วยได้ก็ได้ นักผจญภัยจึงได้ออกเดินทางอีกครั้ง
ระหว่างเดินทางไปยังจุดหมาย นักผจญภัยได้พบเห็นการกระทำของทหารประจำเมืองแห่งนี้ ที่สังหารผู้คนที่ป่วยและดูเหมือนจะติดเชื้อจากอนูสีแดง แต่พวกเขาไม่แม้แต่จะตรวจสอบด้วยซ้ำ กลับสังหารคนแก่ คนหนุ่ม ผู้หญิงหรือเด็กก็ตามที่มีอาการ แม้จะป่วยเป็นไข้หวัดก็ตาม โดยมีป้ายประกาศจากผู้ปกครองเมือง ได้ออกคำสั่งให้ทหารทุกนายทำตาม หากไม่ทำครอบครัวของพวกเขาก็จะเป็นอันตรายไปด้วย จึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น นักผจญภัยได้ช่วยเหลือชาวบ้านและมาถึงหน้าประตูเมือง พบกับชายที่มีนามว่า "Alpert" กำลังขอให้ช่วยอยู่ เพราะเขาถูกผูกไว้กับเสาเพื่อการลงโทษ นักผจญภัยได้ช่วยนำเขาลงมาและกำลังจะขอบคุณกัน ก็มีลูกศรจากมือธนูที่กำแพง ยิงลูกศรนั้นปักเขาหัวใจของอัลเพิร์ตจนสิ้นในทันที
ผู้ที่ที่ออกคำสั่งสังหารนั่งอยู่บนเก้าอี้บนหน้าประตูเมือง เขาคือ "Laird Aymer" นั้นเอง ทั้งนี้เขายังได้ใช้พลังบางอย่าง เพื่อเพิ่มพลังให้กับเหล่าทหารที่หน้าประตูเมืองก่อนจะสั่งให้ทหารเหล่านั้นโจมตีนักผจญภัย การต่อสู้จึงเริ่มขึ้น ทหารเหล่านี้แข็งแกร่งพอที่จะต่อกรกับนักผจญภัยได้นิดหน่อยเท่านั้น แต่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ประตูเมืองไม่สามารถมีใครผ่านเข้าไปได้ เมื่อนักผจญภัยจัดการทหารเหล่านั้นได้หมด จึงได้ออกเดินทางต่อทันที เพราะเสียเวลาอยู่ที่นี่ไปคงไม่ได้อะไร
นักผจญภัยได้เก็บจดหมายของอัลเพิร์ตมาด้วย เพื่อมอบให้กับใครสักคนที่เขาอยากมอบให้ ใจความสำคัญคือ "การสู้ในสงครามที่ไม่อาจชนะนี้ ไม่ใช่เพราะผู้ครองเมืองมีคนเยอะกว่า แต่เพราะคนดีดีไม่ยอมลุกขึ้นมาต่อต้านคนแบบนี้ต่างหาก" จากนั้นนักผจญภัยจึงเดินทางต่อในทันที
Diablo Immortal Lore Master -Splintered souls Part I-