5 สถานที่ลึกลับแห่งแดนอาทิตย์อุทัย

ยินดีต้อนรับสู่โลกแห่งความลึกลับและอุบายในขณะที่เราเจาะลึกเข้าไปในอาณาจักรอันลึกลับของญี่ปุ่น ตั้งแต่วัดโบราณที่ปกคลุมไปด้วยเสียงกระซิบแห่งอดีตไปจนถึงป่าอันบริสุทธิ์ที่ดูเหมือนจะเป็นความลับที่ไม่มีใครบอกเล่า ญี่ปุ่นเป็นดินแดนแห่งปริศนาอันน่าหลงใหลที่รอการเปิดเผยอยู่ ในบทความนี้เราจะมาสำรวจสถานที่ลึกลับที่สุดของประเทศที่น่าตื่นตาตื่นใจแห่งนี้ เข้าร่วมกับฉันในการเดินทางแห่งการค้นพบนี้ในขณะที่เราเปิดเผยสิ่งมหัศจรรย์ที่ซ่อนอยู่ของญี่ปุ่น 

1.Doryodo Ruins, Tokyo วัดหลอนแห่งโตเกียว
 
ซากโบราณสถานแห่งนี้อยู่ในสวนสาธารณะ Otukayama Park เมืองฮาจิโอจิ จังหวัดโตเกียว ในสมัยเอโดะนั้นที่นี่เคยเป็นวัดที่มีผู้คนเดินทางมาสักการะบูชาอย่างมากมาย เพราะตั้งอยู่ในเส้นทางสัญจรของผู้คนในสมัยนั้น
กระทั่งปี 1908 ประเทศญี่ปุ่นมีการสร้างทางรถไฟมากขึ้น เมื่อเทคโนโลยีทำให้การเดินทางสะดวกสบายมากขึ้น ผู้คนจึงเลิกเดินทางสัญจรผ่านเส้นทางนี้ วัดเลยไม่ค่อยมีคนเดินทางไปเยือนนับแต่นั้น แต่ความน่ากลัวที่แท้จริงไม่ได้เป็นเพราะวัดเริ่มร้างผู้คน แต่เพราะมีคนตายต่างหาก ในปี 1963 เกิดคดีฆาตกรรมขึ้นที่นี่ เหยื่อเป็นหญิงชราอายุ 82 ปี ที่คาดว่าน่าจะถูกฆ่าชิงทรัพย์ จากนั้นก็เริ่มมีคนได้ยินเสียงร้องไห้โหยหวนในยามค่ำคืน
ในปี 1973 มีหญิงสาวถูกฆาตกรรม โดยเชื่อว่าสาเหตุน่าจะมาจากเรื่องชู้สาว ศพของเธอถูกฝังโดยมีก้อนหินปิดทับไว้อย่างมิดชิด แม้หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จะพบศพ และนำร่างของเธอออกไปแล้ว แต่ผู้คนแถวนั้นยังคงได้ยินเสียงร้องออกมาจากป่า พูดว่า "ฉันอยู่ตรงนี้ ฉันอยู่ตรงนี้"
ปี 1983 วัดจึงถูกทิ้งร้างอย่างถาวรจนถึงปัจจุบัน และแม้ความเจริญจะเข้ามาถึง พื้นที่แถวนี้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของสวนสาธารณะแล้ว คนก็ยังเลือกที่จะไม่เดินเฉียดเข้ามาใกล้แถวนี้อยู่ดี

2.Himeji Castle, ปราสาทฮิเมจิ

ปราสาทฮิเมจิ ในเมืองฮิเมจิ นั้นนับว่าเป็นปราสาทที่มีความสวยงามมากที่สุดในญี่ปุ่นอีกเเห่ง แต่กลับเเฝงไว้ด้วยความหลอนที่ขึ้นชื่อลือชาของญี่ปุ่นเป็นอย่างมากจากเรื่องราวของ ซารายาชิกิ หรือผีนับจาน ซึ่งราวราวความหลอนนั้นเกิดขึ้นมาตั้งเเต่สมัยเอโดะ เมืองหญิงรับใช้ในปราสาทที่ชื่อว่า โอกิกุ ซึ่งวันหนึ่งเธอเกิดไปรับรู้เเผนการร้ายของเจ้านายตัวเองเข้า ก่อนที่จะเผลอไปเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้กับคนรักของเธอฟัง ซึ่งคนรักของเธอนั้นเป็นซามูไรของฝั่งตรงข้ามเจ้านายของเธอ ทำให้เเผนการของเจ้านายเธอนั้นต้องประสบกับความล้มเหลว
เเละหลังจากนั้นเจ้านายของเธอก็ล่วงรู้ว่าความลับนั้นรั่วไหลไปจากเธอนั่นเอง จึงได้วางเเผนให้เธอนำจานที่มีค่าออกไปทำความสะอาด เเละได้ขโมยจานออกไปหนึ่งใบ เเละใส่ร้ายเธอว่าทำจานอันมีค่าหายไป จากนั้นก็นำเธอไปประหารชีวิตเเละทิ้งศพลงไปที่บ่อน้ำภายในปราสาทนั่นเอง หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็จะมีผู้คนในปราสาทได้ยินเสียงของผู้หญิงนั่งนับจานจากใบที่ 1 ถึง 9 หลังจากสิ้นสุดการนับที่ 9 เเล้วก็จะร้องไห้เป็นเสียงโหยหวนอย่างมาก เเละมีคนพบเห็นดวงไฟออกมาจากบ่อน้ำ นับว่าเป็นเรื่องเล่าเเสนคลาสสิคอย่างมากของญี่ปุ่น 

3.okigahara, นทีแห่งไม้ 

อาโคคิกาฮาระ หรือที่ชาวญี่ปุ่นจะเรียกว่า จูไค ที่หมายถึง ป่าฆ่าตัวตาย นั้นเป็นสถานที่ที่ตั้งอยู่บริเวณภูเขาไฟฟูจิ อันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของญี่ปุ่น โดยบริเวณเเห่งนี้เป็นทั้งจุดชมวิวภูเขาฟุจิที่เเสนจะงดงามเเละเป็นสถานที่ที่มีคนมาจบชีวิตของตัวเองสูงเป็นอันดับที่สองของโลกเลยทีเดียว โดยสาเหตุที่ป่าเเห่งนี้มีคนมาฆ่าตัวตายเป็นจำนวนมากนั้นก็มาจากในอดีตครอบครัวที่ยากจนจะนำทั้งคนเเก่ คนพิการ เเละเด็ก มาทิ้งไว้ยังป่าเเห่งนี้ ทำให้ให้พวกเขาเหล่านั้นต้องอดตายเพราะหลงป่าเเห่งนี้ เเละกลายมาเป็นเเรงบันดาลใจของภาพยนตร์เรื่อง คิโนะอุมิ ที่กล่าวถึงป่าเเห่งนี้ จนมีหลายคนมาฆ่าตัวตายยังป่าเเห่งนี้เพิ่มมากขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยตามความเชื่อของคนญี่ปุ่นเเล้วการตายที่อยู่เเวดล้อมธรรมชาตินั้นจะทำให้วิญญาณกลับคืนสู่ธรรมชาติ เเต่มันกลับสร้างความหวาดกลัว เเละกลายเป็นสถานที่สยองขวัญไปเเเล้ว เเม้ว่าในปัจจุบันที่นี่จะกลายมาเป็นอีกจุดที่น่ามาท่องเที่ยว เเต่ก็ยังมีป้ายติดไว้ว่าห้ามมาฆ่าตัวตาย

4.Chibichiri, ถ้ำชิบิริ

ถ้ำชิบิชิริ นั้นตั้งอยู่บนเกาะโอกินาว่า โดยถ้ำเเห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความเฮี้ยนอย่างมาก เพราะในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น โอกินาว่า ถูกบุกอย่างหนักจากกองทัพสหรัฐอเมริกา เเละมีประชาชน เเละทหารเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในถ้ำหลายต่อหลายเเห่งด้วยกัน เเต่สำหรับถ้ำเเห่งนี้เเล้วเป็นจุดที่ทหารญี่ปุ่นไม่ยอมจำนนพากันมาฆ่าตัวตายด้วยระเบิดเป็นจำนวนมากทำให้ยังสามารถพบเห็นโครงกระดูกได้อย่างมากมายชัดเจน เเละมีคนเห็นดวงวิญญาณของทหารเหล่านั้นเเละเสียงโหยหวนอย่างน่าสยองในช่วงค่ำคืน

5. Kiyotaki Tunnel, อุโมงค์ผีสิงคิโยทากิ

อุโมงค์คิโยทากินั้นมีเรื่องเล่าอยู่มากมาย ได้แก่ เรื่องเล่าเกี่ยวกับวิญญาณของทหารญี่ปุ่นที่เสียชีวิตในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เชื่อกันว่าวิญญาณของทหารเหล่านี้ยังคงวนเวียนอยู่ในอุโมงค์ด้วยความทุกข์ทรมาน
       ตำนานอีกเรื่องหนึ่งคือตำนานเกี่ยวกับวิญญาณของหญิงสาวที่ฆ่าตัวตายใกล้ๆ กับอุโมงค์คิโยทากิ ในปี ค.ศ. 1998 หญิงสาวคนหนึ่งมาฆ่าตัวตายใกล้กับอุโมงค์คิโยทากิ หลังจากนั้นก็เริ่มมีคนพบเห็นวิญญาณของผู้หญิงชุดขาว ตกลงมากระแทกใส่ฝากระโปรงรถ หรืออาจยืนอยู่กลางอุโมงค์จ้องมองมาอย่างน่าหวาดกลัว
      ตำนานที่โด่งดังที่สุดของที่นี่ ก็คือ "กฎการเข้าอุโมงค์" ด้วยความที่อุโมงค์ยาว 500 เมตร มีเพียง 1 เลน และมีความโค้ง ผู้ขับขี่ไม่สามารถมองเห็นปลายอุโมงค์ได้ จึงมีการติดตั้งสัญญาณไฟจราจรเพื่อให้ขับเข้าไปได้ทีละคัน แต่ก็มีคำบอกเล่าว่า ถึงจะเห็นไฟสีเขียวก็ “ห้ามเข้าไป” กฎการเข้าอุโมงค์คือ ต้องหยุดรอให้เห็นว่าไฟเปลี่ยนเป็นสีแดงอีก 1 ครั้งก่อน แล้วพอไฟเขียวครั้งถัดมาค่อยเข้าไปได้ เล่ากันว่า ไฟเขียวในตอนแรกอาจเป็นวิญญาณที่เชิญชวนเราไปสู่โลกวิญญาณ
    อีกตำนานคือ ใกล้ๆ อุโมงค์ก็มีกระจกโค้งจราจรอยู่ ซึ่งปกติแล้วกระจกโค้งจะตั้งฉากกับพื้น แต่กระจกนี้ติดที่กำแพงแล้วขนานไปกับพื้น เวลามองกระจกต้องเงยหน้าขึ้นฟ้า เพราะถนนตรงนั้นสูงชัน รถที่อยู่บนเขาเมื่อมองกระจกจะได้เห็นว่าถนนด้านล่างมีรถกำลังขึ้นมาหรือไม่ ความหลอนคือ หากเงยหน้าขึ้นมองกระจก แล้วไม่เห็นเงาตัวเอง หมายถึงว่าเรากำลังจะตายเร็วๆ นี้ บางคนก็บอกว่าอาจจะเห็นวิญญาณเด็ก หรือวิญญาณคนแก่ในกระจก แปลว่าเรากำลังจะตายเช่นเดียวกัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่