แม้ว่า Alphabet และ Microsoft จะโดดเด่นในด้านกลยุทธ์ธุรกิจ Generative AI แต่ขณะเดียวกัน กลยุทธ์ของ Amazon ใน Generative AI นั้นหลากหลายและซับซ้อนซึ่งอานทำให้ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซสามารถเป็นผู้ชนะได้ในช่วงท้าย โดย Amazon มีโมเดลธุรกิจด้านเอไอตั้งแต่
จัดหาโมเดล AI ที่หลากหลาย: แทนที่จะพัฒนาโมเดล AI เพียงยี่ห้อ Amazon ขึ้นมาเอง Amazon เลือกที่จะเปิดกว้างรองรับโมเดลต่างๆ จากผู้พัฒนาหลากหลาย ผ่านบริการอย่าง Bedrock ซึ่งเปรียบได้กับ "ร้านรวมทุกค่าย" ของโมเดล AI แทนที่จะจำกัดแค่ของ Amazon เอง
สร้างระบบนิเวศที่ยืดหยุ่นและเข้าถึงได้: Amazon พยายามสร้างระบบนิเวศ AI ที่ผู้ใช้งานสามารถเลือกใช้โมเดลต่างๆ ได้อย่างอิสระ สะดวก ปรับแต่งได้ตามต้องการ ไม่ถูกผูกขาดกับผู้ให้บริการใดรายเดียว
สิ่งนี้แตกต่างจากกลยุทธ์ของคู่แข่งอย่างชัดเจน โดย Google เน้นพัฒนาโมเดล AI ของตัวเองอย่าง PaLM และ Gemini เป็นหลัก ส่วน Microsoft เน้นผนึกกำลังกับ OpenAI และโมเดล GPT
นอกจากนี้ Amazon ยังมีกลยุทธ์ที่น่าสนใจอีกข้อ CodeWhisperer ฟรีสำหรับบุคคลทั่วไป โดยบริการ CodeWhisperer ช่วยแนะนำคอมเมนต์และโค้ดสำหรับนักพัฒนา โดยการเปิดให้ใช้ฟรีสำหรับบุคคลทั่วไป ถือเป็นการท้าทายโมเดลที่มีอยู่ อย่าง GitHub Copilot และแสดงให้เห็นว่า Amazon เข้าใจความสำคัญของการดึงดูดนักพัฒนาเข้ามาสู่ระบบนิเวศ AI ของตน
ข้อได้เปรียบสำคัญของ Amazon ในการแข่งขัน Generative AI คือ การเป็นผู้นำตลาด Cloud ผ่าน AWS นั่นเอง AWS มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่และหลากหลาย ตั้งแต่สตาร์ทอัพจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ การเข้าถึงลูกค้าจำนวนมากนี้ทำให้ Amazon สามารถปรับใช้และขยายโซลูชัน AI ได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ การพัฒนาชิพ AI เฉพาะทางอย่าง Trainium และ Inferentia ยังเสริมความแข็งแกร่งให้ AWS โดยเป็นทางเลือกที่ประหยัดและมีประสิทธิภาพเทียบกับ GPU ของ NVIDIA การขยับครั้งนี้ไม่เพียงดึงดูดผู้พัฒนา AI ให้มาใช้ AWS มากขึ้น แต่ยังทำให้ Amazon โดดเด่นในแง่ของต้นทุนการดำเนินงานและความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ในโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี
ประโยชน์ที่จับต้องได้ และนวัตกรรมส่วนใหญ่ของ AI สร้างสรรค์จะมาจากวิธีการนำโมเดล AI เหล่านี้ไปใช้ในอุตสาหกรรมและสาขาต่างๆ Amazon มีบริการและภาคส่วนที่หลากหลาย ตั้งแต่ e-commerce และความบันเทิง ไปจนถึงระบบอัตโนมัติภายในบ้านและบริการ cloud อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่จะผสาน AI สร้างสรรค์เข้ากับผลิตภัณฑ์มากมาย
ด้าน e-commerce ตัวอย่างเช่น AI สร้างสรรค์สามารถปฏิวัติประสบการณ์การช็อปปิ้งแบบเปอร์โซนัล ระบบแนะนำสินค้า และบริการลูกค้า ผู้ช่วยเสียงของ Amazon อย่าง Alexa เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางอยู่แล้ว การผสาน AI สร้างสรรค์ขั้นสูงจะช่วยเพิ่มความสามารถในการสนทนาและประโยชน์ใช้สอย
แวดวงบริการ cloud เช่นเดียวกัน AWS สามารถนำเสนอโซลูชันขับเคลื่อนด้วย AI สร้างสรรค์สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และอื่นๆ อีกมากมาย มอบเครื่องมือล้ำสมัยให้แก่ลูกค้าของ Amazon เพื่อปรับปรุงการดำเนินงาน
บทสรุปคือ Amazon ไม่มุ่งพัฒนาโมเดลของตัวเองเพียงอย่างเดียว แต่เปิดกว้างรองรับโมเดลต่างๆ ผ่านบริการ Bedrock ให้ผู้ใช้เลือกสรรได้ตามต้องการ ความแข็งแกร่งของ AWS ด้านโครงสร้างพื้นฐาน Cloud ช่วยให้ Amazon ปรับใช้และขยายโซลูชัน AI ได้อย่างรวดเร็ว และ Amazon มุ่งทำ AI ให้ใช้งานง่ายและเน้นการนำไปใช้จริงในหลากหลายอุตสาหกรรม
ทำไม Amazon มีโอกาสเป็นผู้ชนะในสงคราม AI เหนือ Alphabet และ Microsoft
สร้างระบบนิเวศที่ยืดหยุ่นและเข้าถึงได้: Amazon พยายามสร้างระบบนิเวศ AI ที่ผู้ใช้งานสามารถเลือกใช้โมเดลต่างๆ ได้อย่างอิสระ สะดวก ปรับแต่งได้ตามต้องการ ไม่ถูกผูกขาดกับผู้ให้บริการใดรายเดียว
สิ่งนี้แตกต่างจากกลยุทธ์ของคู่แข่งอย่างชัดเจน โดย Google เน้นพัฒนาโมเดล AI ของตัวเองอย่าง PaLM และ Gemini เป็นหลัก ส่วน Microsoft เน้นผนึกกำลังกับ OpenAI และโมเดล GPT
นอกจากนี้ Amazon ยังมีกลยุทธ์ที่น่าสนใจอีกข้อ CodeWhisperer ฟรีสำหรับบุคคลทั่วไป โดยบริการ CodeWhisperer ช่วยแนะนำคอมเมนต์และโค้ดสำหรับนักพัฒนา โดยการเปิดให้ใช้ฟรีสำหรับบุคคลทั่วไป ถือเป็นการท้าทายโมเดลที่มีอยู่ อย่าง GitHub Copilot และแสดงให้เห็นว่า Amazon เข้าใจความสำคัญของการดึงดูดนักพัฒนาเข้ามาสู่ระบบนิเวศ AI ของตน
ข้อได้เปรียบสำคัญของ Amazon ในการแข่งขัน Generative AI คือ การเป็นผู้นำตลาด Cloud ผ่าน AWS นั่นเอง AWS มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่และหลากหลาย ตั้งแต่สตาร์ทอัพจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ การเข้าถึงลูกค้าจำนวนมากนี้ทำให้ Amazon สามารถปรับใช้และขยายโซลูชัน AI ได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ การพัฒนาชิพ AI เฉพาะทางอย่าง Trainium และ Inferentia ยังเสริมความแข็งแกร่งให้ AWS โดยเป็นทางเลือกที่ประหยัดและมีประสิทธิภาพเทียบกับ GPU ของ NVIDIA การขยับครั้งนี้ไม่เพียงดึงดูดผู้พัฒนา AI ให้มาใช้ AWS มากขึ้น แต่ยังทำให้ Amazon โดดเด่นในแง่ของต้นทุนการดำเนินงานและความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ในโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี
ประโยชน์ที่จับต้องได้ และนวัตกรรมส่วนใหญ่ของ AI สร้างสรรค์จะมาจากวิธีการนำโมเดล AI เหล่านี้ไปใช้ในอุตสาหกรรมและสาขาต่างๆ Amazon มีบริการและภาคส่วนที่หลากหลาย ตั้งแต่ e-commerce และความบันเทิง ไปจนถึงระบบอัตโนมัติภายในบ้านและบริการ cloud อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่จะผสาน AI สร้างสรรค์เข้ากับผลิตภัณฑ์มากมาย
ด้าน e-commerce ตัวอย่างเช่น AI สร้างสรรค์สามารถปฏิวัติประสบการณ์การช็อปปิ้งแบบเปอร์โซนัล ระบบแนะนำสินค้า และบริการลูกค้า ผู้ช่วยเสียงของ Amazon อย่าง Alexa เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางอยู่แล้ว การผสาน AI สร้างสรรค์ขั้นสูงจะช่วยเพิ่มความสามารถในการสนทนาและประโยชน์ใช้สอย
แวดวงบริการ cloud เช่นเดียวกัน AWS สามารถนำเสนอโซลูชันขับเคลื่อนด้วย AI สร้างสรรค์สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และอื่นๆ อีกมากมาย มอบเครื่องมือล้ำสมัยให้แก่ลูกค้าของ Amazon เพื่อปรับปรุงการดำเนินงาน
บทสรุปคือ Amazon ไม่มุ่งพัฒนาโมเดลของตัวเองเพียงอย่างเดียว แต่เปิดกว้างรองรับโมเดลต่างๆ ผ่านบริการ Bedrock ให้ผู้ใช้เลือกสรรได้ตามต้องการ ความแข็งแกร่งของ AWS ด้านโครงสร้างพื้นฐาน Cloud ช่วยให้ Amazon ปรับใช้และขยายโซลูชัน AI ได้อย่างรวดเร็ว และ Amazon มุ่งทำ AI ให้ใช้งานง่ายและเน้นการนำไปใช้จริงในหลากหลายอุตสาหกรรม