คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 14
จริงๆควรอยู่ฝั่งเดียวกันค่ะ ไม่ควรมาขัดขากันเพราะมันยิ่งทำให้มีดราม่าหนัก ถ้าทุกคนสนับสนุนกันต่างบอกว่าน้อมรับคำติชมเสนอแนะ ครั้งหน้าจะทำให้ดีขึ้นเหมือนที่พี่หน่องชอบพูดจะดีกว่านี้ ความเห็นส่วนตัวเราเลยนะ รอมแพงออกมาขัดขาละครหลายครั้ง ครั้งใหญ่ที่ดราม่าพ่อแม่ยังใช้ ปบ รอมบอกเสนอคนอื่นแล้วผู้จัดไม่เอา อีกครั้งใหญ่ที่ออกมาบ่นเสียดายที่ละครไม่มีหลายๆฉากในยุคทวารวดี พูดตรงๆในยุคลิขสิทธิ์ให้เกียรติผู้เขียน คุณออกมาพูดแบบนี้หมายความว่ายังไงคนไม่โง่คิดได้ คุณรอมควรคิดนะว่าขายบทให้ช่องแล้ว คุณดังมาจากบุพเพ จนช่องขอให้คุณเขียนภาค 2 ต่อ(เห็นว่าจะมีภาค 3 ภาคทวารดีที่ตอนนี้กำลังแต่งอยู่อีก ซึ่งนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ผู้กำกับไม่เน้นช่วงนี้ก็ได้) แต่คุณรอมโพสหลายโพสที่แสดงถึงความเห็นต่างของตัวละครซึ่งมันไม่สมควรนะ ขายนิยายได้เยอะก็เพราะช่องเอามาสร้างและสร้างภาคต่อ(ปบ ยังช่วยโปรโมทนิยายเซ็นชื่หนังสือให้อยู่เลย) ช่องให้เกียจติเชิญคุณรอมไปแสดงตัวเป็นผู้เขียนนิยายเรื่องชื่อนี้ตั้งหลายๆงาน บุพเพ 2 ยังเชิญไปด้วย
ถ้าละครมันจะผิดพลาดอะไรยังไงก็ไม่ควรออกมาขัดขากันเอง เพราะพูดตรงๆมันคือผลประโยชน์ร่วมกัน (ช่อง 3 ไม่ได้มีละครดังแค่บุพเพเรื่องเดียวนะ) อีกอย่าง นิยายเรื่องไหนประเทศไหนเอามาสร้างแล้วตรงเป๊ะๆบ้าง แฮรี่พอตเตอร์ยังมีเพี้ยนเลยเหอะ
ถ้าออกมาน้อมรับผิดร่วมกัน คือเงียบๆไป อ.ศัลยาคงไม่ออกมาโพส ใครจะว่าไงเราไม่รู้นะ แต่ถ้าเป็นเรา ร่วมงานกันควรสามัคคีและข่วยกันรับผิดชอบ ละครถึงจะโดนบ่นแต่มันก็ไม่ได้ถึงขั้นฉิบ...นะ เราเห็นคนชอบเกินครึ่งด้วยซ้ำ (พวดแฟนคลับ กับคนที่คิดว่าก็แค่ละครอะไรนักหนาจะไม่คิดมากเลยจริงๆ)
ถ้าละครมันจะผิดพลาดอะไรยังไงก็ไม่ควรออกมาขัดขากันเอง เพราะพูดตรงๆมันคือผลประโยชน์ร่วมกัน (ช่อง 3 ไม่ได้มีละครดังแค่บุพเพเรื่องเดียวนะ) อีกอย่าง นิยายเรื่องไหนประเทศไหนเอามาสร้างแล้วตรงเป๊ะๆบ้าง แฮรี่พอตเตอร์ยังมีเพี้ยนเลยเหอะ
ถ้าออกมาน้อมรับผิดร่วมกัน คือเงียบๆไป อ.ศัลยาคงไม่ออกมาโพส ใครจะว่าไงเราไม่รู้นะ แต่ถ้าเป็นเรา ร่วมงานกันควรสามัคคีและข่วยกันรับผิดชอบ ละครถึงจะโดนบ่นแต่มันก็ไม่ได้ถึงขั้นฉิบ...นะ เราเห็นคนชอบเกินครึ่งด้วยซ้ำ (พวดแฟนคลับ กับคนที่คิดว่าก็แค่ละครอะไรนักหนาจะไม่คิดมากเลยจริงๆ)
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
เห็นคนเขียนบทที่อยู่ฝัง ศลย
บอกว่า บางครั้ง นิยายก็มีจุดอ่อนเยอะ ก็เลยต้องมีปรับ มีแก้
แต่เท่าที่ดูมาหลายๆ เรื่อง
รู้สึกว่า ส่วนใหญ่คือปรับให้พังลง และตรรกะตัวละครผิดเพี้ยนไปหมดทั้งนั้นเลยนะคะ
ในกรณีที่บทโทรทัศน์คือคนละเรื่องจากนิยาย
สิ่งที่วัดได้ดีที่สุด คือความสนุก ของนิยาย กับละครโทรทัศน์ค่ะ
ใครสนุกกว่า = ชนะ
ถ้าปรับ แล้วสมบูรณ์กว่านิยาย ก็เอาคำชมไป แค่นั้นแหละ
ฝีมือการเขียนบทไม่ดีเอง ก็โทษตัวเองกันบ้างเถอะค่ะ
บอกว่า บางครั้ง นิยายก็มีจุดอ่อนเยอะ ก็เลยต้องมีปรับ มีแก้
แต่เท่าที่ดูมาหลายๆ เรื่อง
รู้สึกว่า ส่วนใหญ่คือปรับให้พังลง และตรรกะตัวละครผิดเพี้ยนไปหมดทั้งนั้นเลยนะคะ
ในกรณีที่บทโทรทัศน์คือคนละเรื่องจากนิยาย
สิ่งที่วัดได้ดีที่สุด คือความสนุก ของนิยาย กับละครโทรทัศน์ค่ะ
ใครสนุกกว่า = ชนะ
ถ้าปรับ แล้วสมบูรณ์กว่านิยาย ก็เอาคำชมไป แค่นั้นแหละ
ฝีมือการเขียนบทไม่ดีเอง ก็โทษตัวเองกันบ้างเถอะค่ะ
แสดงความคิดเห็น
“พรหมลิขิต” บทบ้งเพราะคุยกันไม่พอ? ใครกันแน่ควรรับผิดชอบ คนเขียนบท คนเขียนนิยาย หรือ ผู้จัด!!!
ข้อความที่รอมแพงกับศัลยาโพสต์โต้ตอบกัน
จากข้อความทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าทั้งสองคน ไม่ได้ พูดคุยทำความเข้าใจบทกันมากพอ แต่ละคนก็มีความคิดเป็นของตัวเอง
สิ่งที่ปรับแล้วดี หรือ ต้องปรับ
สำหรับเรามีหลายอย่างในบทของศัลยาที่ปรับปรุงให้ดีขึ้นจากในนิยาย เช่น
- การตัดบทที่ให้เกศสุรางค์ไปทูลขอให้ขุนหลวงเพทราชาช่วยแม่มะลิ
- การปรับแปลงตัวละครต่าง ๆ ให้มีความเป็นมนุษย์มากขึ้น เหมาะสมกับสื่อที่เป็นละคร เช่น แม่แพรจีน ถ้าร้ายแบบในนิยาย ปมปัญหาจะดูเบาเกินไปที่จะทำเป็นละคร (ทั้งนี้ทั้งนั้นเราไม่ได้เห็นด้วยที่แพรจีนจะร้ายไร้เหตุผลขนาดนี้นะ)
- ประเด็นประวัติศาสตร์ที่รอมแพงเองก็พลาดไปมาก เช่น
--> เรื่องศรีปราชญ์ที่อาจไม่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์(ไม่แน่ใจว่าเป็นเหตุผลที่ทำให้ศัลยาเลือกตัดประเด็นนี้ไปหรือไม่)
--> เรื่องบาร์บีคิวที่รอมแพงใส่ไว้ในบุพเพสันนิวาสแต่พลาดตรงที่มะเขือเทศเพิ่งเข้ามาในสยามสมัยรัตนโกสินทร์ ศัลยาก็อุตส่าห์เอามาใส่ในพรหมลิขิตให้แบบไม่มีมะเขือเทศ
--> เรื่องโกษาธิบดีจีนที่ไม่ทราบว่ารอมแพงรู้จุดจบของเขาหรือไม่ถึงผูกตัวละครลูกชายให้มาแต่งงานกับแม่ปราง แม้จะแต่งเข้าบ้านผู้หญิงตามธรรมเนียมสมัยนั้น แต่ก็น่าแปลกอยู่ดี
สิ่งที่ปรับแล้วไม่เหมาะสมหรือไม่ถูกใจคนดู
แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีอีกหลายยยยยจุดมาก ๆ ที่ปรับเปลี่ยนไปจากนิยายแล้วทำให้มันแย่ลง เช่น
-อุปนิสัยของตัวละครต่าง ๆ ทั้งพ่อริดที่ฉลาด ทันคน กลายเป็น ซื่อจนออกจะโง่ และขี้ขลาด เกศสุรางค์(ที่เราแอบคาดหวังไว้มาก) ก็กลายเป็นคุณแม่ที่ทำอะไรไม่ได้เลยนั่งรอเดสตินีอย่างเดียว ต่างจากในนิยายที่เป็นคุณแม่เจ้าแผนการ และแม่กลิ่น ที่ปรับจากร้ายตลกเป็นร้ายจริงจังจนอยากเลื่อนผ่าน(ถ้าไม่ใช่น้ำตาลนี่ไม่ดูต่อจริง ๆ )
- การสลับเหตุการณ์ รู้สึกว่าการเรียงไทม์ไลน์ในเรื่องนี้แปลกประหลาด เช่น ที่สลับให้แม่กลิ่นมาขโมยสร้อยพุดตานก่อนแล้วค่อยทำลายแปลงผัก อันนี้รู้สึกว่าแปลกมากกกก เพราะในนิยายแม่กลิ่นไม่ได้เริ่มมาร้ายเลย แต่ค่อย ๆ ไต่ระดับความร้ายและความเลวร้ายของการกระทำลง จึงไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องสลับเหตุการณ์ที่เรียงไว้อย่างดีแล้วในนิยาย
- การปรับเปลี่ยนโครงเรื่อง ปฏิเสธไม่ได้ว่าเนื้อหาในนิยายพรหมลิขิตเบามาก ถ้าละครทำเหมือนเป๊ะเลยก็คงสงบสุขเกินไป แต่การปรับโครงเรื่องพร้อมกับพยายามคงโครงเรื่องเก่าไปด้วย ถ้าเข้าใจตัวเรื่องเก่าไม่มากพอ ก็จะทำให้เรื่องราวขัดแย้งและทำลายกันเอง เช่น ประเด็นเมียพระราชทาน และประเด็นการถวายตัวใส่เข้ามาก็ไม่ได้แย่อะไร แต่ในรายละเอียด การเปิดปมปัญหาเรื่องเมียพระราชทานแล้วตัดอารมณ์ไปเล่าเรื่องที่พิษณุโลกเลย ยื้อปัญหานี้จนตอนจบถึงจะคลายเป็นปมสุดท้ายเราว่ามันนานเกินไป หรือประเด็นการถวายตัวที่ใส่มาเพิ่มความสนุก ก็ต้องหาให้เจอว่าเมื่อใส่เข้ามาแล้วส่งผลต่อเนื้อเรื่องเก่าที่รอมแพงสร้างไว้ตรงไหนยังไงบ้าง เช่น เป็นฉากที่แสดงให้เห็นถึงความรักของพ่อริดหรืออะไรก็ได้ แต่ฉากนี้ดูใส่มาแบบงง ๆ ลอยออกจากตัวเรื่องเดิม จนกลายเป็น ไม่รู้จะใส่มาทำไม
และอีกมายมายที่ตอนนี้ยังนึกไม่ออก
จากทั้งหมดนี้ทำให้เราคิดว่าว่าจุดร่วมของปัญหา คือ การที่คนเขียนนิยายและคนเขียนบทไม่ได้พูดคุยทำความเข้าใจกันมากพอ (เป็นการคาดเดาเอาเองจากการวิเคราะห์คำพูดของทั้งศัลยาและรอมแพงนะค้า)
คือศัลยาไม่เข้าใจบางสิ่งที่รอมแพงต้องการจะสื่อในพรหมลิขิตแต่ไม่ถามความเห็นของรอมแพง มั่นว่าตัวเองเก่ง มีประสบการณ์ แทนที่จะคุยกันให้ดี เปิดโอกาสให้รอมแพงได้อธิบายสิ่งที่พลาดไปเพื่อหาทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุด กลับดูถูกรอมแพงและใช้ "อำนาจ" ของคนเขียนบท ปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่องโดยขาดความเข้าใจ จนนำไปสู่ความพังพินาศในช่วงท้ายของละคร
ดังนั้นเราจึงคิดว่า ต้นเหตุของความบ้งของบทที่เกิดขึ้น เป็นเพราะผู้จัดไม่ใช้ 'อำนาจของผู้จัด' ในการทำให้คนเขียนบทและคนเขียนนิยายมาคุยกัน ทั้งที่สามารถทำได้ (แต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะคุณหน่องเป็นแบบนี้มาแล้วหลายเรื่อง และศัลยาเองก็คงมีอำนาจในการควบคุมหลาย ๆ อย่างในละครได้มาก อย่างการที่เอาหลานมาเล่นเป็นอึ่ง เขียนบทซัพพอร์ตให้แม่ได้มาปรากฏตัวในตอนจบ และให้เหลนมาเล่นเป็นลูกพุดตาน)
ท้ายที่สุด ขอลงท้ายว่าเราเข้าข้างรอมแพงเต็มที่ เนื่องจากเห็นว่าเรื่องนี้เหมือนผู้ใหญ่รังแกเด็ก ศัลยามีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก ไม่รับฟังความคิดเห็นของใครทั้งคนดูและรอมแพง โพสต์ของศัลยาก็เขียนอย่างไม่ชัดเจน เจือน้ำเสียงประชดและเสียดสี ไม่ได้อธิบายมากพอให้เราเข้าใจในประเด็นที่แฟนละครวิพากษ์วิจารณ์กัน ในขณะที่รอมแพงพยายามอธิบายเรื่องราวในส่วนที่ตนเองรับผิดชอบ(ถึงจะกลายเป็นว่าไปเหยียบหางใครเข้า) แต่เรารู้สึกว่าน่าเห็นใจที่ความคิดที่รอมแพงกลั่นกรองมาเป็นเวลานานกว่าจะออกมาเป็นนิยายได้เล่มหนึ่ง ถูกด้อยค่าและเปลี่ยนแปลงโดยขาดความเข้าใจ ไม่แปลกที่เขาจะตอบโต้ในลักษณะเช่นนี้เลย