เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 10 ปี ที่แล้วค่ะ เราชื่อ หมู นะคะ ตอนนี้ อายุ 26 แล้วค่ะ เรื่องที่จะเล่านี้เกิดขึ้นเมื่อตอนที่ยังเป็นเด็กค่ะ
เราเป็นคนอีสาน แต่ขอไม่ระบุจังหวัดนะคะ ในช่วงนั้น การสร้างบ้านของเรานั้น เขาจะสร้างติดๆกันเลย ในที่ดินผืนนั้นๆ โดยจะอาศัยกันเป็นครอบครัวๆแต่ว่า อยู่รวมกันในเครือญาติ ค่อนข้างอบอุ่นค่ะ แต่ ทว่า ในหมู่บ้าน ก็ไม่ได้มีแค่ครอบครัวเรานะคะที่ตั้งบ้านอยู่ในละแวกนั้น ด้านซ้ายด้านขวาก็มีบุคคลอื่นๆ หรือที่เรียกว่าเพื่อนบ้านอาศัยอยู่เหมือนกันค่ะ จากที่เกริ่นมา ก็ดูเหมอนจะไม่มีอะไรนะคะ แต่มันก็มีจนได้ค่ะ เนื่องจากว่า ข้างบ้านของเราาทางด้านขวานั้น มันจะมีบ้านยายแก่ๆที่ดูเท่าไหร่ก็ไม่แก่อยู่คนนึงค่ะ ยายคนนั้น แกชื่อว่า ใจ ดูผิวเผิน แกก็ดูเป็นคนปกติดีนะคะแถมยังเป็นคนใจดี ที่บ้านของแกจะดู อุดมสมบูรณ์ เป็นพิเศษกว่าบ้านใกล้เรือนเคียง ปลูกอะไรก็ดูสมบูรณ์ ไปหมด จำได้ดีว่าบ้านแกมีต้นกะท้อน ซึ่งทั้งหมู่บ้านน่าจะมีอยู่ต้นเดียว ตอนเด็กๆเรากับเพื่อนๆชอบไปขอเก็บจากต้นที่บ้านของแกค่ะ ซึ่งตอนนั้นเรายังเด็กเลยไม่รู้ว่าแกเป็นอะไรหรือเป็นคนยังไง เพราะเราก็ไม่ได้ถามใคร(ผู้ใหญ่)เหมือนกัน ก็ดำเนินชีวิตมาแบบนั้นเป็นปกติค่ะ อยู่มาวันหนึ่ง วันนั้นในช่วงเวลาหัวค่ำ ประมาณ สาม-สี่โมงเย็น ซึ่งแถวบ้านเรามันก็มืดตึดตื๋อแล้วค่ะ วันนั้น เราอยู่บ้านคนเดียว พ่อกับแม่ยังไม่กลับจากทุ่งนาค่ะ (เรากลับมาจาก รร ) จู่ๆยายใจเขาก็เดินมาที่บ้าน (ลืมบอก บ้านของเรามีใบพูลที่คนแก่ๆเค้านิยมเคี้ยวหมากกันค่ะ / ไม่ได้มีทุกบ้าน) เราที่นั่งอยู่ในบ้าน เมื่อเห็นว่ามีคนมาเดินอยู่หน้าบ้านเลยเดินออกไปดู ก็เห็นยายใจยืนถือไม้ด้ามยาว กำลังยืนสอยอะไรสักอย่างบนต้นไม้ เราเลยตะโกนถามแกไปว่า “ยาย สอยอะไรอยู่” เป็นคำถามปกติเลยค่ะ ในใจไม่ได้คิดอะไรเลย จนกระทั่งไ้ฟังคำตอบของยายที่ตอบกลับมา ทำเอาเราตกใจไม่น้อยเลยค่ะ ยายตอบเรามาว่า “สอยเครื่องในอยู่” ตอนนั้นตกใจค่ะ แต่งงนิดหน่อย เพราะไม่รู้ว่าแกหมายถึงอะไร แต่งง นะว่า เครื่องในอะไรจะอยู่บนต้นไม้สูงขนาดนั้น จนกระทั่งแม่เรากลับมาเราก็เลยเล่าให้แม่ฟัง แม่เราเขาดูตกใจมากค่ะ แต่ไม่ไดบอกอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับยายใจ เพียงแต่เตือนมาอย่างนึงว่า ถ้าเขาเอาอะไรมาให้ หรือให้กินอะไร ให้ไหนกับเขา อย่ากิน อย่าไปเด็ดขาดนะ เราก็ไม่ได้ถามอะไรต่อนะคะ จนต่อมา วันนั้น เป็นวันเป็นวันหยุด เสาร์-อาทิตย์ค่ะ ตอนนั้น เรานั่งเล่นอยู่ข้างบ้าน ส่วนแม่เราไปบ้านยายของเรา ที่อยู่เยื้องๆ กันค่ะ แต่ก็ไม่ได้ไกลมาก ตอนนั้น น่าจะเป็นเวลาช่วงบ่ายๆเหมือนกัน จู่ๆยายใจก็เดินมาที่บ้านเราค่ะ (เริ่มสังเกตว่า แกชอบมาหาเราตอนที่เราอยู่บ้านคนเดียว) เขาเดินมาถึงก็ถามเราว่า “แม่ไปไหนละหนู” เราเลยตอบเขาไป ว่า “แม่ไปบ้านยายค่ะ กำลังจะกลับมา” แล้วพักนึงยายใจ เขาก็ยื่นขวดใส่น้ำให้เรา (เป็นขวดที่เก่า เหมือนขวดเครื่องดื่มชูกำลังที่แกะฉลากออกแล้วล้างขวด จากนั้นก็เติมน้ำดื่มใส่เข้าไป)
เขายื่นให้เรา พร้อมพูดว่า “อ่ะ ยายให้ยายไปวัดในเมืองมา เขาให้น้ำมนต์มาหลายขวดเลย ยายเลยเอามาแบ่ง” ด้วยความที่นึกถึงคำที่แม่บอกเมื่อวานได้ เราจึงบอกยายใจไปว่า “ขอบคุณค่ะยาย วางไว้หน้าบ้านก่อนนะคะ พอดีหนูกำลังทำการบ้านอยู่ค่ะ” เหมือนตอนนั้น เราก็เริ่มกลัวแกนิดๆแล้วค่ะ เหมือนว่าแม่เรากำลังกลับมาพอดี แล้วสักพักยายแกก็เดินกลับบ้านไป เราเลยรีบบอกแม่ว่า เมื่อกี้ยายขาเอาน้ำขวดนี้มาให้ โน่นวางอยู่โน่น เราก็ชี้ไปบอกแม่ สักพักแม่เราเขาก็เดินไปหยิบขวดน้ำขวดนั้นแล้วเอาไปวางไว้ที่คอกควาย และก็บอกเราว่าห้ามไปหยิบมาดู หรือหยิบมาดื่มกินเด็ดขาดนะ เราก็ทำตามที่แม่ได้บอกเอาไว้ค่ะ จนเวลาผ่านมาเรื่อยๆจนเราโตขึ้นค่ะ เหมือนว่าผ่านมาหลายปีแล้วล่ะค่ะ ในช่วงนี้เริ่มมีข่าวแปลกๆที่ปนความสยองอยู่ด้วยก็คือ มีคนในหมู่บ้านเสียชีวิตแบบที่ไม่รู้สาเหตุการตาย ถ้าเป็นในทางวิทยาศาสตร์ คุณจะแจ้งว่า เป็นอาการที่เรียกว่า หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน แต่ในทางโลกนั้น ชาวบ้านไม่ได้เชื่อแบบนั้นค่ะ เพราะคนที่ตายในตอนนั้น พื้นฐานเขาเป็นคนที่แข็งแรง ไม่ได้มีโรคภัยใดใดเบียดเบียน เลย แต่กลับมาตายแบบง่ายดายด้วยเหตุผลที่ ง่ายๆ ตอนแรกนั้นชาวบ้านก็มีสงสัยยายคนนึงในหมู่บ้านแต่ก็ยังไม่ได้กล่าวหาแก จนกระทั่งเช้าวันนึงหลังจากที่งานศพคนในหมู่บ้านจบไป ตอนนั้นที่วัดเขามีการทำขนมที่ห่อด้วยไปตอง ก็มีชาวบ้านหลายคน รวมถึงยายใจก็นั่งอยู่ในนั้นด้วย ก็นั่งไปห่อขนมไป จู่ๆยายใจแกก็พูดโพล่งขึ้นมาเลยว่า “กูนี่แหละที่เป็นคนกินมันเอง” แบบที่ไม่ได้มีคำถามจากใคร ที่นั่งอยู่ตรงนั้น ตั้งคำถามขึ้นมาเลย แต่มีคำตอบที่น่าตกใจขึ้นมา ทุกคนยังนั่งนิ่งอยู่นะคะ ราวกลับว่าไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมา จนกิจกรรมในวัดเสร็จเรียบร้อยทุกอย่าง ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้านแล้ว แต่ไม่แล้วแค่นั้น ชาวบ้านที่นั่งห่อขนมที่วัด จึงตั้งกลุ่ม สนทนากันอีกครั้ง ว่าที่ยายใจ พูดขึ้นมาคืออะไร นี่มันเกิดขึ้นอีกแล้วใช่ไหม (เกิดขึ้นอีกแล้วแปลว่า เรื่องแบบนี้เคยขึ้นแลวหลายปีก่อนนี้ แต่ก็เหมือนเงียบหายไป แต่ก็กลับมาเป็นเรื่องอีกครั้ง ) จากนั้นค่ะ คนในหมู่บ้านก็ได้ทราบข่าวสาร ที่ส่งต่อกันเรื่อยๆ จากปากต่อปาก ที่เล่ามานี้ ดูเหมือนว่าเรื่องราวจะจบลงตรงนี้ ที่พอรู้ข่าวสารแล้วก็พากันป้องกันระมัดระวังขึ้น แต่เปล่าเลยค่ะ หลังจากเคสนั้นเกิดขึ้น ก็มีอีกหลายๆเคสที่เกิดขึ้นต่อ อีก จนเหตุการณ์มันหนักขึ้นเรื่อยๆ ชาวบ้านเริ่มมีความกังวลใจในการใช้ชีวิต จากนั้นคนในหมู่บ้านจึงมีความเห็นว่า เราต้องทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะ แต่ทว่ายังไม่ทันได้ข้อตกลงอะไร ยายใจก็สร้างเรื่องราวขึ้นอีกค่ะ (เดี๋ยวมาต่อ)
คุณยายฮาร์ทบีท
เราเป็นคนอีสาน แต่ขอไม่ระบุจังหวัดนะคะ ในช่วงนั้น การสร้างบ้านของเรานั้น เขาจะสร้างติดๆกันเลย ในที่ดินผืนนั้นๆ โดยจะอาศัยกันเป็นครอบครัวๆแต่ว่า อยู่รวมกันในเครือญาติ ค่อนข้างอบอุ่นค่ะ แต่ ทว่า ในหมู่บ้าน ก็ไม่ได้มีแค่ครอบครัวเรานะคะที่ตั้งบ้านอยู่ในละแวกนั้น ด้านซ้ายด้านขวาก็มีบุคคลอื่นๆ หรือที่เรียกว่าเพื่อนบ้านอาศัยอยู่เหมือนกันค่ะ จากที่เกริ่นมา ก็ดูเหมอนจะไม่มีอะไรนะคะ แต่มันก็มีจนได้ค่ะ เนื่องจากว่า ข้างบ้านของเราาทางด้านขวานั้น มันจะมีบ้านยายแก่ๆที่ดูเท่าไหร่ก็ไม่แก่อยู่คนนึงค่ะ ยายคนนั้น แกชื่อว่า ใจ ดูผิวเผิน แกก็ดูเป็นคนปกติดีนะคะแถมยังเป็นคนใจดี ที่บ้านของแกจะดู อุดมสมบูรณ์ เป็นพิเศษกว่าบ้านใกล้เรือนเคียง ปลูกอะไรก็ดูสมบูรณ์ ไปหมด จำได้ดีว่าบ้านแกมีต้นกะท้อน ซึ่งทั้งหมู่บ้านน่าจะมีอยู่ต้นเดียว ตอนเด็กๆเรากับเพื่อนๆชอบไปขอเก็บจากต้นที่บ้านของแกค่ะ ซึ่งตอนนั้นเรายังเด็กเลยไม่รู้ว่าแกเป็นอะไรหรือเป็นคนยังไง เพราะเราก็ไม่ได้ถามใคร(ผู้ใหญ่)เหมือนกัน ก็ดำเนินชีวิตมาแบบนั้นเป็นปกติค่ะ อยู่มาวันหนึ่ง วันนั้นในช่วงเวลาหัวค่ำ ประมาณ สาม-สี่โมงเย็น ซึ่งแถวบ้านเรามันก็มืดตึดตื๋อแล้วค่ะ วันนั้น เราอยู่บ้านคนเดียว พ่อกับแม่ยังไม่กลับจากทุ่งนาค่ะ (เรากลับมาจาก รร ) จู่ๆยายใจเขาก็เดินมาที่บ้าน (ลืมบอก บ้านของเรามีใบพูลที่คนแก่ๆเค้านิยมเคี้ยวหมากกันค่ะ / ไม่ได้มีทุกบ้าน) เราที่นั่งอยู่ในบ้าน เมื่อเห็นว่ามีคนมาเดินอยู่หน้าบ้านเลยเดินออกไปดู ก็เห็นยายใจยืนถือไม้ด้ามยาว กำลังยืนสอยอะไรสักอย่างบนต้นไม้ เราเลยตะโกนถามแกไปว่า “ยาย สอยอะไรอยู่” เป็นคำถามปกติเลยค่ะ ในใจไม่ได้คิดอะไรเลย จนกระทั่งไ้ฟังคำตอบของยายที่ตอบกลับมา ทำเอาเราตกใจไม่น้อยเลยค่ะ ยายตอบเรามาว่า “สอยเครื่องในอยู่” ตอนนั้นตกใจค่ะ แต่งงนิดหน่อย เพราะไม่รู้ว่าแกหมายถึงอะไร แต่งง นะว่า เครื่องในอะไรจะอยู่บนต้นไม้สูงขนาดนั้น จนกระทั่งแม่เรากลับมาเราก็เลยเล่าให้แม่ฟัง แม่เราเขาดูตกใจมากค่ะ แต่ไม่ไดบอกอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับยายใจ เพียงแต่เตือนมาอย่างนึงว่า ถ้าเขาเอาอะไรมาให้ หรือให้กินอะไร ให้ไหนกับเขา อย่ากิน อย่าไปเด็ดขาดนะ เราก็ไม่ได้ถามอะไรต่อนะคะ จนต่อมา วันนั้น เป็นวันเป็นวันหยุด เสาร์-อาทิตย์ค่ะ ตอนนั้น เรานั่งเล่นอยู่ข้างบ้าน ส่วนแม่เราไปบ้านยายของเรา ที่อยู่เยื้องๆ กันค่ะ แต่ก็ไม่ได้ไกลมาก ตอนนั้น น่าจะเป็นเวลาช่วงบ่ายๆเหมือนกัน จู่ๆยายใจก็เดินมาที่บ้านเราค่ะ (เริ่มสังเกตว่า แกชอบมาหาเราตอนที่เราอยู่บ้านคนเดียว) เขาเดินมาถึงก็ถามเราว่า “แม่ไปไหนละหนู” เราเลยตอบเขาไป ว่า “แม่ไปบ้านยายค่ะ กำลังจะกลับมา” แล้วพักนึงยายใจ เขาก็ยื่นขวดใส่น้ำให้เรา (เป็นขวดที่เก่า เหมือนขวดเครื่องดื่มชูกำลังที่แกะฉลากออกแล้วล้างขวด จากนั้นก็เติมน้ำดื่มใส่เข้าไป)
เขายื่นให้เรา พร้อมพูดว่า “อ่ะ ยายให้ยายไปวัดในเมืองมา เขาให้น้ำมนต์มาหลายขวดเลย ยายเลยเอามาแบ่ง” ด้วยความที่นึกถึงคำที่แม่บอกเมื่อวานได้ เราจึงบอกยายใจไปว่า “ขอบคุณค่ะยาย วางไว้หน้าบ้านก่อนนะคะ พอดีหนูกำลังทำการบ้านอยู่ค่ะ” เหมือนตอนนั้น เราก็เริ่มกลัวแกนิดๆแล้วค่ะ เหมือนว่าแม่เรากำลังกลับมาพอดี แล้วสักพักยายแกก็เดินกลับบ้านไป เราเลยรีบบอกแม่ว่า เมื่อกี้ยายขาเอาน้ำขวดนี้มาให้ โน่นวางอยู่โน่น เราก็ชี้ไปบอกแม่ สักพักแม่เราเขาก็เดินไปหยิบขวดน้ำขวดนั้นแล้วเอาไปวางไว้ที่คอกควาย และก็บอกเราว่าห้ามไปหยิบมาดู หรือหยิบมาดื่มกินเด็ดขาดนะ เราก็ทำตามที่แม่ได้บอกเอาไว้ค่ะ จนเวลาผ่านมาเรื่อยๆจนเราโตขึ้นค่ะ เหมือนว่าผ่านมาหลายปีแล้วล่ะค่ะ ในช่วงนี้เริ่มมีข่าวแปลกๆที่ปนความสยองอยู่ด้วยก็คือ มีคนในหมู่บ้านเสียชีวิตแบบที่ไม่รู้สาเหตุการตาย ถ้าเป็นในทางวิทยาศาสตร์ คุณจะแจ้งว่า เป็นอาการที่เรียกว่า หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน แต่ในทางโลกนั้น ชาวบ้านไม่ได้เชื่อแบบนั้นค่ะ เพราะคนที่ตายในตอนนั้น พื้นฐานเขาเป็นคนที่แข็งแรง ไม่ได้มีโรคภัยใดใดเบียดเบียน เลย แต่กลับมาตายแบบง่ายดายด้วยเหตุผลที่ ง่ายๆ ตอนแรกนั้นชาวบ้านก็มีสงสัยยายคนนึงในหมู่บ้านแต่ก็ยังไม่ได้กล่าวหาแก จนกระทั่งเช้าวันนึงหลังจากที่งานศพคนในหมู่บ้านจบไป ตอนนั้นที่วัดเขามีการทำขนมที่ห่อด้วยไปตอง ก็มีชาวบ้านหลายคน รวมถึงยายใจก็นั่งอยู่ในนั้นด้วย ก็นั่งไปห่อขนมไป จู่ๆยายใจแกก็พูดโพล่งขึ้นมาเลยว่า “กูนี่แหละที่เป็นคนกินมันเอง” แบบที่ไม่ได้มีคำถามจากใคร ที่นั่งอยู่ตรงนั้น ตั้งคำถามขึ้นมาเลย แต่มีคำตอบที่น่าตกใจขึ้นมา ทุกคนยังนั่งนิ่งอยู่นะคะ ราวกลับว่าไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมา จนกิจกรรมในวัดเสร็จเรียบร้อยทุกอย่าง ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้านแล้ว แต่ไม่แล้วแค่นั้น ชาวบ้านที่นั่งห่อขนมที่วัด จึงตั้งกลุ่ม สนทนากันอีกครั้ง ว่าที่ยายใจ พูดขึ้นมาคืออะไร นี่มันเกิดขึ้นอีกแล้วใช่ไหม (เกิดขึ้นอีกแล้วแปลว่า เรื่องแบบนี้เคยขึ้นแลวหลายปีก่อนนี้ แต่ก็เหมือนเงียบหายไป แต่ก็กลับมาเป็นเรื่องอีกครั้ง ) จากนั้นค่ะ คนในหมู่บ้านก็ได้ทราบข่าวสาร ที่ส่งต่อกันเรื่อยๆ จากปากต่อปาก ที่เล่ามานี้ ดูเหมือนว่าเรื่องราวจะจบลงตรงนี้ ที่พอรู้ข่าวสารแล้วก็พากันป้องกันระมัดระวังขึ้น แต่เปล่าเลยค่ะ หลังจากเคสนั้นเกิดขึ้น ก็มีอีกหลายๆเคสที่เกิดขึ้นต่อ อีก จนเหตุการณ์มันหนักขึ้นเรื่อยๆ ชาวบ้านเริ่มมีความกังวลใจในการใช้ชีวิต จากนั้นคนในหมู่บ้านจึงมีความเห็นว่า เราต้องทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะ แต่ทว่ายังไม่ทันได้ข้อตกลงอะไร ยายใจก็สร้างเรื่องราวขึ้นอีกค่ะ (เดี๋ยวมาต่อ)