เมื่อ30ปีก่อน ดิฉันกับสามีได้เดินทาง ไปจังหวัดหนองคาย และรถได้ติดหล่ม ทางกำลังก่อสร้างถนนมิตรภาพ ไทยลาว ขณะนั้นมีหญิงคนหนึ่งนั่งเลี้ยงคายอยู่ และได้เดินเข้ามาทัก และถามขายที่นาให้จำนวน14ไร่ บริเวณนี้ ติดทางถนนมิตรภาพพอดี แต่น่าเสียดาย ที่ห้ามโอนสิบปี ติดหลังแดงเราเลยไม่สนใจจะซื้อ หญิงเลี้ยงควายได้มาหาที่บ้าน ขอร้องมาตะล่อมให้ช่วยซื้อ ผ่อนได้ เป็นปี ปีละ 3-4 แสนบาท จนดิฉันและสามีใจอ่อน ไปกู้เงินจากธนาคารมา และยืมญาติพี่น้องมา
สุดท้ายหญิงเลี้ยงควายให้ไปทำสัญญาเช่า 30ปี ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดหนองคาย และต่อมาก็มาทำสัญญาจะซื้อจะขายไว้ จากนั้นเราก็เริ่ม ถมดิน ปรับดินทั้ง 14ไร่ เชื่อม ถนนเข้าออกทั้งสองทาง สร้างอาคาร ตึกแถวชั้นเดียว 21 ห้องและสร้างตลาด เปิด ตลาดนัดทุกวัน จ้าง ดนตรี หมอลำซิ้ง จ่ายค่าโฆษณา วิทยุ ทางจังหวัด สนับสนุนประชาสัมพันธ์สินค้าเกษตร ของพื้นบ้าน มาขาย ถูกๆ ตลาดเริ่มติด คนลาวข้ามมาซื้อของเป็นที่รู้จัก ตลาดขายของสดและถูก คนก็เยอะขึ้น เป็นตลาดที่ใหญ่ มีแม่ค้าตอนนั้น ประมาณ270กว่า แผงลอย ร้านขายของชำ 20กว่า ร้าน ไม่รวมรถ เปิดท้ายขายของในแต่ละวัน ตลาดคนติดรายได้ดี
ต่อมาปี 2542 สามีเริ่มป่วย เป็นมะเร็ง
ทางฝ่ายหญิงเลี้ยงควาย อาศัยช่วงสามีป่วย อยากได้ที่คืนและเห็นว่าตลาดเจริญ ถือโอกาส
ฟ้องขับไล่
บอกเลิกสัญญา
เรียกค่าเสียหาย
ต่อมาไม่นานปี2545 สามี เสียชีวิต
คดียังอยู่ศาลชั้นต้น (คดียังไม่สิ้นสุด)
สรุปผลจากศาลชั้นต้น เป็นโมคียะ กลับคืนสู่สภาพเดิม ให้เรา ออกจากพื้นที่พิพาท ส่งโฉนดคืนทั้งหมด และจ่ายค่าเสียหาย แก่โจทก์
ประมาณใน มีนาคมปี 2546 ( คดียังไม่สิ้นสุด)
ทางฝั่งนางคนเลี้ยงควาย ได้โอกาส ก่อกวนสร้างความไม่สงบสุข หญิงเลี้ยงควายได้เข้ายึดตลาด ขึ้นป้ายใหญ่ ว่าชนะคดีแล้ว หญิงเลี้ยงควายก็เข้าเก็บตลาดและห้องเช่าเอง
เพื่อความปลอดภัย พวกเราและ ลูกเล็กๆอีก2คน รวม4ชีวิต จึงหนีออกมา ในเดือน เมษายน 2546 เพราะดิฉัน ป่วยเป็นมะเร็งเต้านมยังอยู่ในขั้นตอนรักษาตัวอยู่ ไม่สามรถ มาทำอะไรได้ ตั้งแต่ศาลชั้นต้น เขาเข้าครอบครองแล้ว เก็บค่าตลาดค่าห้องแถวเอง
อุทธรณ์ ปี2545 (คดียังไม่สิ้นสุด)
เราก็สู้ ฟ้องร้องกัน ศาลสั่งให้คืนเงินที่จ่ายไปค่าที่ดิน จำนวนหนึ่ง ให้แก่จำเลย ล้านเจ็ดแสนบาท
ฏีกา ปี 2554
ที่ดินเป็นโมคียะ
อิงตามศาลชั้นต้น ให้ออกจากที่พิพาท คืนโฉนดที่ดิน ทั้งหมดและจ่ายค่าเสียหาย เดือนละ 12,000บาท ต่อเดือน และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจนกว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมด
เคยไปขอร้องหญิงเลี้ยงควาย เรื่อยมาว่า จะขอรื้อถอนอาคาร ตึกแถว นางไม่ให้ ไล่ไปหาทนายความ มีกันสองแม่ลูกจะไปสู้เขาอย่างไร
ดิฉัน จ้างทนาย มาหลายต่อหลายครั้ง คดีไม่คืบหน้า บางคนก็โดนขู่ไม่ให้ทำคดีนี้ บางคนก็เอาความฝั่งเราไปขาย หมดเงินไปมากกว่า3ล้าน ด้วยอิทธิพลทั้งนั้น ด้วยฐานะทางสังคมดิฉันจะสู้เขาอย่างไร
คนแล้วคนเล่า รู้ว่าเรายังมีสิทธิ ในตลาดและห้องแถว 21 ห้อง เพราะเรายังไม่ได้รื้อถอน
ทางหญิงเลี้ยงควาย รื้อ ทุบทำลาย ไปหลายห้อง และต่อเติม
รื้อโครงสร้างตลาดเดิมลง สร้างขึ้นใหม่ แทนของเดิม ซึ้งทางเราได้ถ่ายรูป เก็บไว้เป็นหลักฐาน และแจ้งความที่สถานีตำรวจไว้แล้ว แต่คดีก็ไม่คืบหน้า นี้แหละจึงขอร้องเรียนสื่อทุกวันนี้
เราไม่มีแม้ที่ดินจะอยู่ ไม่มีอาชีพ ที่ดินโดนยึดหมด บ้าน รถ ผลพวงตามมาจากการกู้เงินมาทำตลาดทั้งหมดเกือบ20ล้าน แบกหนี้อยู่คนเดียวหลังจากสามี เสียชีวิต ยังต้องหาเงินเลี้ยงลูกมาคนเดียวตลอด 20 ปี
บ้านที่กำลังอยู่กำลังจะโดนยึดในอีก4วัน
หนี้สิ้นรุมเร้า ด้วยร่างกายที่ไม่แข็งแรง
ทั้งดิฉันและลูกสาว ไม่รู้จะทำอย่างไง
ไม่มีทนทางจะไปต่อเลย แย่ทุกทาง มีกันสองคนแม่ลูก กับหลานน้อยวัย 5 เดือน ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนหลังวันที่ 22 ธันวานี้ หมดทุกสิ่งทุกอย่าง
แม้กระทั่งเงินจะกินข้าว
และการฟ้องร้องต้องใช้เงินและใช้เวลา
คนที่ชุบมือเปิบ ยังลอยหน้าลอยตาในสังคม
โกงกันหน้าด้านๆ เขาเก็บตลาดมานานมีเงินเยอะ เราจะสู้เขาได้อย่างไร วอนสื่อช่วยแชร์ด้วย มูลค่าตลาด เป็นร้อยล้าน จะมีใครบ้างนะที่พอจะช่วยเราได้ เมตตาครอบครัวดิฉันด้วย หมดแล้วทุกสิ่งอย่าง!!!!
โดนสวมรอย เก็บค่าตลาดหนองคาย!!! นานกว่า 20 ปี เสียหาย ร้อยล้าน ผู้มีอิทธิพลสั่ง เบรกคดี!
สุดท้ายหญิงเลี้ยงควายให้ไปทำสัญญาเช่า 30ปี ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดหนองคาย และต่อมาก็มาทำสัญญาจะซื้อจะขายไว้ จากนั้นเราก็เริ่ม ถมดิน ปรับดินทั้ง 14ไร่ เชื่อม ถนนเข้าออกทั้งสองทาง สร้างอาคาร ตึกแถวชั้นเดียว 21 ห้องและสร้างตลาด เปิด ตลาดนัดทุกวัน จ้าง ดนตรี หมอลำซิ้ง จ่ายค่าโฆษณา วิทยุ ทางจังหวัด สนับสนุนประชาสัมพันธ์สินค้าเกษตร ของพื้นบ้าน มาขาย ถูกๆ ตลาดเริ่มติด คนลาวข้ามมาซื้อของเป็นที่รู้จัก ตลาดขายของสดและถูก คนก็เยอะขึ้น เป็นตลาดที่ใหญ่ มีแม่ค้าตอนนั้น ประมาณ270กว่า แผงลอย ร้านขายของชำ 20กว่า ร้าน ไม่รวมรถ เปิดท้ายขายของในแต่ละวัน ตลาดคนติดรายได้ดี
ต่อมาปี 2542 สามีเริ่มป่วย เป็นมะเร็ง
ทางฝ่ายหญิงเลี้ยงควาย อาศัยช่วงสามีป่วย อยากได้ที่คืนและเห็นว่าตลาดเจริญ ถือโอกาส
ฟ้องขับไล่
บอกเลิกสัญญา
เรียกค่าเสียหาย
ต่อมาไม่นานปี2545 สามี เสียชีวิต
คดียังอยู่ศาลชั้นต้น (คดียังไม่สิ้นสุด)
สรุปผลจากศาลชั้นต้น เป็นโมคียะ กลับคืนสู่สภาพเดิม ให้เรา ออกจากพื้นที่พิพาท ส่งโฉนดคืนทั้งหมด และจ่ายค่าเสียหาย แก่โจทก์
ประมาณใน มีนาคมปี 2546 ( คดียังไม่สิ้นสุด)
ทางฝั่งนางคนเลี้ยงควาย ได้โอกาส ก่อกวนสร้างความไม่สงบสุข หญิงเลี้ยงควายได้เข้ายึดตลาด ขึ้นป้ายใหญ่ ว่าชนะคดีแล้ว หญิงเลี้ยงควายก็เข้าเก็บตลาดและห้องเช่าเอง
เพื่อความปลอดภัย พวกเราและ ลูกเล็กๆอีก2คน รวม4ชีวิต จึงหนีออกมา ในเดือน เมษายน 2546 เพราะดิฉัน ป่วยเป็นมะเร็งเต้านมยังอยู่ในขั้นตอนรักษาตัวอยู่ ไม่สามรถ มาทำอะไรได้ ตั้งแต่ศาลชั้นต้น เขาเข้าครอบครองแล้ว เก็บค่าตลาดค่าห้องแถวเอง
อุทธรณ์ ปี2545 (คดียังไม่สิ้นสุด)
เราก็สู้ ฟ้องร้องกัน ศาลสั่งให้คืนเงินที่จ่ายไปค่าที่ดิน จำนวนหนึ่ง ให้แก่จำเลย ล้านเจ็ดแสนบาท
ฏีกา ปี 2554
ที่ดินเป็นโมคียะ
อิงตามศาลชั้นต้น ให้ออกจากที่พิพาท คืนโฉนดที่ดิน ทั้งหมดและจ่ายค่าเสียหาย เดือนละ 12,000บาท ต่อเดือน และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจนกว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมด
เคยไปขอร้องหญิงเลี้ยงควาย เรื่อยมาว่า จะขอรื้อถอนอาคาร ตึกแถว นางไม่ให้ ไล่ไปหาทนายความ มีกันสองแม่ลูกจะไปสู้เขาอย่างไร
ดิฉัน จ้างทนาย มาหลายต่อหลายครั้ง คดีไม่คืบหน้า บางคนก็โดนขู่ไม่ให้ทำคดีนี้ บางคนก็เอาความฝั่งเราไปขาย หมดเงินไปมากกว่า3ล้าน ด้วยอิทธิพลทั้งนั้น ด้วยฐานะทางสังคมดิฉันจะสู้เขาอย่างไร
คนแล้วคนเล่า รู้ว่าเรายังมีสิทธิ ในตลาดและห้องแถว 21 ห้อง เพราะเรายังไม่ได้รื้อถอน
ทางหญิงเลี้ยงควาย รื้อ ทุบทำลาย ไปหลายห้อง และต่อเติม
รื้อโครงสร้างตลาดเดิมลง สร้างขึ้นใหม่ แทนของเดิม ซึ้งทางเราได้ถ่ายรูป เก็บไว้เป็นหลักฐาน และแจ้งความที่สถานีตำรวจไว้แล้ว แต่คดีก็ไม่คืบหน้า นี้แหละจึงขอร้องเรียนสื่อทุกวันนี้
เราไม่มีแม้ที่ดินจะอยู่ ไม่มีอาชีพ ที่ดินโดนยึดหมด บ้าน รถ ผลพวงตามมาจากการกู้เงินมาทำตลาดทั้งหมดเกือบ20ล้าน แบกหนี้อยู่คนเดียวหลังจากสามี เสียชีวิต ยังต้องหาเงินเลี้ยงลูกมาคนเดียวตลอด 20 ปี
บ้านที่กำลังอยู่กำลังจะโดนยึดในอีก4วัน
หนี้สิ้นรุมเร้า ด้วยร่างกายที่ไม่แข็งแรง
ทั้งดิฉันและลูกสาว ไม่รู้จะทำอย่างไง
ไม่มีทนทางจะไปต่อเลย แย่ทุกทาง มีกันสองคนแม่ลูก กับหลานน้อยวัย 5 เดือน ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนหลังวันที่ 22 ธันวานี้ หมดทุกสิ่งทุกอย่าง
แม้กระทั่งเงินจะกินข้าว
และการฟ้องร้องต้องใช้เงินและใช้เวลา
คนที่ชุบมือเปิบ ยังลอยหน้าลอยตาในสังคม
โกงกันหน้าด้านๆ เขาเก็บตลาดมานานมีเงินเยอะ เราจะสู้เขาได้อย่างไร วอนสื่อช่วยแชร์ด้วย มูลค่าตลาด เป็นร้อยล้าน จะมีใครบ้างนะที่พอจะช่วยเราได้ เมตตาครอบครัวดิฉันด้วย หมดแล้วทุกสิ่งอย่าง!!!!