JJNY : ดราม่า #TPAT1 กสพท.│“หญิงหน่อย”ชี้เปลี่ยนนายกฯแน่│ส่อง“จีดีพีไทย” ปีมังกร│“กาตาร์-อียิปต์”พยายามผลักดันครั้งใหม่

ระอุโซเชียล! ดราม่า #TPAT1 กสพท. ลอกข้อสอบ BMAT มาแปลไม่เปลี่ยนโจทย์
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_8012862

 
 
ระอุโซเชียล! ดราม่า #TPAT1 จนแฮชแท็กพุ่งติดเทรนด์ นักเรียนแฉ กสพท. ลอกข้อสอบ BMAT มาแปลไม่เปลี่ยนโจทย์-ชอยส์ จี้ กสพท แจงด่วน
 
เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ที่ผ่านมา มีการสอบคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต หลักสูตรทันตแพทยศาสตร์บัณฑิต หลักสูตรสัตวแพทยศาสตรบัณฑิต และหลักสูตรเภสัชศาสตรบัณฑิต ในระบบรับตรงของกลุ่มสถาบันแพทย์แห่งประเทศไทย (กสพท) หรือ TPAT1 เพื่อนำมาเข้าร่วมการคัดเลือกในระบบทีแคส ในรอบที่ 3 แอดมิสชั่นส์นั้น
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้โลกออนไลน์ได้วิพากษ์วิจารณ์ถึงข้อสอบที่นำมาใช้สอบอย่างมาก เนื่องจากผู้เข้าสอบพบว่าข้อสอบฉบับที่ 1 ซึ่งเป็นข้อสอบเชาว์ปัญญา จำนวนข้อสอบ 45 ข้อ มีส่วนหนึ่งที่นำข้อสอบ The BioMediacal Admissions Test (BMAT) ซึ่งเป็นข้อสอบเฉพาะทางสำหรับผู้ที่ต้องการเข้าศึกษาต่อในสาขาการแพทย์ สัตวแพทย์ และทันตแพทย์ ที่เป็นข้อสอบภาษาอังกฤษทั้งหมด จัดทำโดย Cambridge Assessment Admissions Testing มาแปลเป็นภาษาไทย โดยไม่มีการเปลี่ยนโจทย์หรือชอยส์ด้วย!
 
จึงกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก เพราะการสอบ BMAT ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับใครที่ต้องการสอบเข้าแพทย์ แต่ไม่อยากสอบ TPAT1 ของ กสพท. เพื่อยื่นสมัครคัดเลือดในรอบ 3 สามารถนำคะแนนสอบ BMAT มาในการยื่นในการคัดเลือกรอบ 1 หรือ แฟ้มสะสมผลงานได้

เมื่อ กสพท ผู้จัดสอบ TPAT1 นำข้อสอบ BMAT มาแปลโดยไม่เปลี่ยนโจทย์และชอยส์ ทำให้หลายคนมองว่าการกระทำเช่นนี้ ไม่ก่อให้เกิดความเป็นธรรมในการสอบ เพราะอาจจะเอื้อประโยชน์ให้คนบางกลุ่มที่เคยสอบ BMAT และมาสอบ TPAT 1 ต่อ หรือคนที่เคยติวสอบข้อสอบ BMAT มาก่อน ก็อาจจะรู้คำตอบ ซึ่งทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบกันอย่างมาก
 
เมื่อวันที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา ผู้เข้าสอบ ต่างติดแฮชแท็ก #TPAT1 วิพากษ์วิจารณ์ข้อสอบดังกล่าว จนติดเทรนด์ใน (X) พร้อมกับเรียกร้องให้ กสพท ออกมาชี้แจงและรับผิดชอบ
 
ต่อมา ปารมี ไวจงเจริญ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ได้โพสต์ข้อความระบุว่า 
 
ดิฉันได้รับการร้องเรียนจากผู้ปกครองบางท่าน และบางท่านร้องเรียนผ่าน อ.เดชรัต สุขกำเนิด กรณีข้อสอบ TPAT 1 กสพท. พาร์ทเชาวน์
 
ซึ่งประเด็นสำคัญ คือ ทาง กสพท. หรือกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย อาจจะออกข้อสอบ TPAT 1 ในปีนี้ ด้วยการแปลมาจากข้อสอบ BMAT โดยตรง โดยไม่มีการเปลี่ยนโจทย์และชอยส์ใด ๆ เลย
 
กรณีเช่นนี้อาจทำให้เกิดผลกระทบอย่างใดอย่างหนึ่งต่อผู้เข้าสอบ หรืออาจทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบต่อผู้เข้าสอบได้ ดิฉันได้รับเรื่องไว้แล้ว และได้สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากครูพี่โดม แห่งเฟสบุ๊คเพจ P’Dome ขอขอบคุณครูพี่โดม ไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
 
ดิฉันจะประสานงานกับทาง กสพท. เพื่อขอคำชี้แจงในกรณีนี้ต่อไปค่ะ
 
https://www.facebook.com/aj.juang/posts/pfbid02ZkmDNRQKvAttjRyV6Zy7gaetXJXvV3QsJYdQDXRnjvt1z1GdELiEoBhNSjn6e5cgl
 

 
รายการ มีเรื่องมาเคลียร์ by ศิโรตม์ EP.37 # “หญิงหน่อย”ชี้การเมืองปี67 ร้อนแรง เปลี่ยนนายกฯแน่
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_4334947

รายการ มีเรื่องมาเคลียร์ by ศิโรตม์ EP.37 ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ คุยกับ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย ถึงเรื่องสถานการณ์ทางการเมืองในปี 2567 เชื่อว่าจะมีความร้อนแรงมากกว่าปี 2566 และเชื่อว่าจะมีการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีอย่างแน่นอน  ติดตามรายละเอียดจากคลิปด้านล่างนี้

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

 
นักเศรษฐศาสตร์ส่อง “จีดีพีไทย” ปีมังกร ไร้เครื่องยนต์ใหม่-โตไม่ถึง 4%
https://www.prachachat.net/finance/news-1460877

ว่ากันด้วยเรื่องภาพเศรษฐกิจไทย แม้ปี 2566 จะโตแผ่วลง ๆ จนทุกสำนักต้องปรับลดประมาณการอัตราขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ (จีดีพี) ลงต่อเนื่อง โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้ว่า เศรษฐกิจไทยฟื้นต่อเนื่อง เพียงแต่ฟื้นช้า ขณะที่ภาพในปี 2567 ก็มีการประเมินกันออกมาแล้ว ซึ่งดูเหมือนยังมีหลายปัจจัยต้องลุ้นไม่ต่างจากปี 2566 ที่ผ่านมา
 
เศรษฐกิจไทย “ฟื้นช้า-โตต่ำ”
 
โดย “ปิติ ดิษยทัต” ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า ธปท.ประเมินจีดีพีปีหน้าโตที่ 3.2% ต่อปี แต่หากรวมดิจิทัลวอลเลตจะโตได้ 3.8% ซึ่งเป็นการขยายตัวอย่างสมดุลมากขึ้น ทั้งนี้ การขยายตัว 3.2% ถือเป็นตัวเลขระดับกลาง ๆ เมื่อเทียบกับสำนักพยากรณ์อื่น

โดยภาคการส่งออกจะเป็นแรงส่ง แม้ว่าในปี 2566 ส่งออกจะหดตัว แต่ปีหน้าจะฟื้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์ที่กลับมา ภายใต้บริบทที่ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่านักท่องเที่ยวปีหน้าจะอยู่ที่ 34.5 ล้านคน
 
จีดีพีฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่ฟื้นช้า ไม่เท่ากัน และมีเรื่องความไม่แน่นอน ทั้งบวกและลบ โดยด้านลบ เช่น เศรษฐกิจจีนชะลอตัวกว่าคาด สงครามอิสราเอล-ฮามาส รวมถึงว่าไทยจะได้ประโยชน์แค่ไหนจากวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์ที่ดีขึ้น เพราะไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้าง
 
“3 สำนัก” คาดปี’67 โต 3.1%
 
ขณะที่ “บุรินทร์ อดุลวัฒนะ” กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ประเมินปีหน้าจีดีพีไทยจะขยายตัวที่ 3.1% และหากรวมมาตรการแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท จะขยายตัวได้ 3.6% โดยการเติบโตจะมาจากภาคการบริโภคที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 2.8% ซึ่งหากรวมดิจิทัลวอลเลตจะโต 3.8% รวมถึงนโยบายกระตุ้นภาครัฐ
 
ขณะที่การส่งออกคาดขยายตัว 2% ตามการฟื้นตัวของการค้าโลก ส่วนนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 30.6 ล้านคน
 
เศรษฐกิจไทยปีหน้า Down Side Risk มากขึ้น หากการค้าและการส่งออกไม่ได้ฟื้นตัวตามที่คาด ดังนั้น ไทยต้องการเครื่องจักรใหม่ ๆ มาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพราะเรายังไม่ได้ฟื้นตัวเท่าคนอื่น
 
ฟาก “ดร.อมรเทพ จาวะลา” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า ปี 2567 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3.1% จากปี 2566 อยู่ที่ 2.4% โดยสิ่งท้าทายสำคัญ คือ การออกแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านดิจิทัลวอลเลต ซึ่งต้องการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ
 
โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย แม้ว่านโยบายนี้สามารถส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ (โดยอาจเพิ่มเป็น 3.6% เทียบกับ 3.1% กรณีไม่มีนโยบายนี้) แต่ยังทำให้เกิดความกังวลต่อการเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะ ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับลดอันดับเครดิตและการไหลออกของเงินทุน
  
ด้านศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics) ประเมินว่า จีดีพีปี 2567 คาดว่าจะขยายตัว 3.1% มาจากภาคการบริโภคภาคเอกชนและภาคการท่องเที่ยว และผลบวกชั่วคราวจากมาตรการกระตุ้นการบริโภค
 
อย่างไรก็ดี มองว่าเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้ายังเผชิญความไม่แน่นอนสูงทั้งปัจจัยภายในและภายนอก ทั้งการฟื้นตัวเศรษฐกิจและการค้าโลกที่ยังไม่แน่นอนสูง ตลาดการเงินผันผวนทั่วโลก ความเสี่ยงจากความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ รวมถึงความเปราะบางของเสถียรภาพด้านต่างประเทศที่อาจกระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุน
 
หลังโควิดไทยโตต่ำสุดในภูมิภาค
 
ด้าน “เกียรติพงศ์ อริยปรัชญา” นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ประจำประเทศไทย ธนาคารโลก กล่าวว่า ธนาคารโลกคาดการณ์จีดีพีไทยปี 2567 ที่ 3.2%  จากเดิมคาดที่ 3.5% หากรวมเงิดิจิทัลวอลเลต จะหนุนจีดีพีเพิ่มราว 1% กระจายไปใน 2 ปีข้างหน้า แต่จะส่งผลให้การขาดดุลทางการคลังอาจเพิ่มขึ้นเป็น 4-5% ของจีดีพี และหนี้สาธารณะอาจเพิ่มสูงขึ้นเป็น 65-66% ของจีดีพี
 
การเติบโตของจีดีพีไทยหลังโควิด-19 นับว่าอยู่ในอัตราที่ต่ำสุดเมื่อเทียบกับภูมิภาค ส่วนหนึ่งมาจากเศรษฐกิจโลกที่เติบโตชะลอลง และมีปัญหาโครงสร้างที่ไทยพึ่งพาการท่องเที่ยวสูง
 
ดังนั้น การแก้ไขในเชิงโครงสร้างเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อหาแรงขับเคลื่อนใหม่ ขณะที่พื้นที่ทางการคลังแม้ว่าจะยังมีเหลือ แต่ก็ควรตั้งเป้าหมายให้ถูกจุด รวมถึงการเพิ่มพื้นที่ทางการคลังด้วย
 
นิยามเศรษฐกิจไทย 3 คำ
 
สมประวิณ มันประเสริฐ” รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงาน Intelligence Center (EIC) กล่าวว่า EIC ประเมินจีดีพีปีหน้าโตได้ 3% จากเดิมคาด 3.5% กรณีรวมดิจิทัลวอลเลตจะบวกเพิ่ม 1-2% ภายในระยะเวลา 2 ปี โดยเครื่องยนต์ส่งออกจะเป็นแรงสนับสนุน โดยกลับมาขยายตัว 3.7% ตามมูลค่าการค้าโลกและวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์ปรับดีขึ้น ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวยังเห็นการเติบโตต่อเนื่องอยู่ที่ 38 ล้านคน
 
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังขยายตัวต่ำบนศักยภาพการเติบโตที่ลดลง เนื่องจากยังมีความเปราะบางจากภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่ฟื้นตัวไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อยและธุรกิจขนาดเล็กที่ยังมีหนี้สูง แต่รายได้เติบโตช้า รวมถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมมานาน ดังนั้น มองว่าในระยะต่อไปเศรษฐกิจไทยอยู่ใน 3 คำ ก็คือ โตช้า เปราะบาง และไม่แน่นอน
 
ตอนนี้เศรษฐกิจไทยเป็นภาวะปกติที่ไม่เหมือนเดิม แม้ว่าจีดีพีจะกลับเข้าสู่ระดับศักยภาพ แต่ในระยะต่อไปศักยภาพจะลดลง เพราะหากดูข้อมูลในอดีต 20 ปีก่อน จีดีพีโต 8% และ 10 ปีต่อมาเหลือโต 5% และตอนนี้เราโตได้ 3% ซึ่งหากต้องการให้เศรษฐกิจไทยเดินต่อได้เข้มแข็ง มีภูมิคุ้มกัน จะต้องมี 4 สร้าง คือ 
1. สร้างภูมิคุ้มกันในประเทศ 
2. สร้างกล้ามเนื้อผ่านนำธุรกิจเข้าตลาดง่ายขึ้น และส่งเสริมการแข่งขัน
3.สร้างการลงทุนใหม่อย่างมีกลยุทธ์
และ 4.สร้างความยั่งยืน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่