เรายกตัวอย่างจากตัวเอง หลานๆ( ลูกของพี่ๆน้องๆหรือลูกของเพื่อนๆ )เค้าบอกว่าชอบวิธีการปฏิบัติของเราที่มีต่อพวกเค้า โดยบอกว่าเราไม่จ้ำจี้จ้ำไชเหมือนพ่อแม่เค้า ทำให้พวกเค้าไม่รู้สึกกดดัน และสบายใจที่จะพูดคุยและแสดงความคิดเห็นด้วย
ข้อคิด/มุมมองที่เราได้จากเรื่องนี้คือ
1.การที่เราพูดคุยแบบสบายๆชีลด์กับเด็กๆเหล่านี้ได้ อาจเป็นเพราะเด็กวัยรุ่นเหล่านี้ไม่ใช่ลูกของเรา ทำให้เราไม่มีความคาดหวังกับพวกเขา ( ส่วนนึงคือเราไม่ต้องรับผิดชอบกับความเป็นอยู่/ค่าใช้จ่ายของพวกเค้า แค่คนผ่านมาก็ผ่านไป เท่านั้นเอง🤣)
2.เวลาพูดคุยกัน พวกเราจะคุยกันเหมือนเพื่อนๆ บางเรื่องที่เค้าไม่คุยกับพ่อแม่ แต่มาคุยมาปรึกษาเราก็มี อาจจะเพราะเราไม่ใช่พ่อแม่ เลยไม่อิน ไม่มีอคติ ไม่ต่อต้านขณะเดียวกันก็ไม่ได้เข้าข้างเด็ก แค่รับฟังและมองปัญหาตามความเป็นจริง ( เพราะเราไม่มีส่วนได้เสีย ก็เลยพูดได้เต็มที่ไง 555)
3.ยังนึกเลยว่า ถ้าพ่อแม่ใช้วิธีเลี้ยงลูกแบบเดินสายกลาง ไม่ยึดติดในความเป็นพ่อแม่ลูก ไม่คาดหวังในตัวลูกมากจนกลายเป็นความกดดัน ปล่อยให้เขามีอิสระ มีความคิดของตัวเองในระดับนึง ( แต่ไม่ใช่ปล่อยอิสระจนออกนอกลู่นอกทางนะคะ ) น่าจะเป็นอะไรที่พอดีๆ win-win ทั้ง2ฝ่าย
4.แต่อย่างว่า เราก็พูดได้แหละ เพราะไม่ใช่ลูกของเรานิ จะห้ามพ่อแม่ไม่ให้คาดหวังในลูกเต้าเลยก็คงเป็นเรื่องยาก ( หลายคนคงบอก ลองมาเป็นดูสิ🤣)
ก็ถือซะว่า เป็นการแชร์มุมมอง/practiceที่เราเจอ
จริงๆ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับใครบ้าง
( นึกๆไปก็เหมือนการปฏิบัติธรรมเลย ที่พระท่านบอก“ ไม่ให้ต่อต้าน แต่ก็ไม่ให้คล้อยตาม ” พูดง่ายทำยากเหมือนกันนะคะ 🙏
ขอบคุณค่ะ ( บางทีก็ทำให้นึกไปถึงจิตแพทย์ที่ให้คำแนะนำผู้ป่วย เพราะหมอเอาตัวเองออกมายืนดูห่างๆทำให้ได้ทางออกที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความเป็นจริง อีกอย่างหมอเองก็ไม่มีส่วนได้เสียกับชีวิตเด็ก ก็เลยให้คำแนะนำได้เต็มที่ ถ้าเป็นลูกคุณหมอเองก็ไมีแน่น้าาา 🤣)
วิธีการเลี้ยงดู/แนะนำเด็กวัยรุ่นของพ่อแม่ที่เข้มงวดVS กับคนอื่นที่ไม่ใช่พ่อแม่ น้า อา ที่ใช้วิธียืดหยุ่นกว่า
ข้อคิด/มุมมองที่เราได้จากเรื่องนี้คือ
1.การที่เราพูดคุยแบบสบายๆชีลด์กับเด็กๆเหล่านี้ได้ อาจเป็นเพราะเด็กวัยรุ่นเหล่านี้ไม่ใช่ลูกของเรา ทำให้เราไม่มีความคาดหวังกับพวกเขา ( ส่วนนึงคือเราไม่ต้องรับผิดชอบกับความเป็นอยู่/ค่าใช้จ่ายของพวกเค้า แค่คนผ่านมาก็ผ่านไป เท่านั้นเอง🤣)
2.เวลาพูดคุยกัน พวกเราจะคุยกันเหมือนเพื่อนๆ บางเรื่องที่เค้าไม่คุยกับพ่อแม่ แต่มาคุยมาปรึกษาเราก็มี อาจจะเพราะเราไม่ใช่พ่อแม่ เลยไม่อิน ไม่มีอคติ ไม่ต่อต้านขณะเดียวกันก็ไม่ได้เข้าข้างเด็ก แค่รับฟังและมองปัญหาตามความเป็นจริง ( เพราะเราไม่มีส่วนได้เสีย ก็เลยพูดได้เต็มที่ไง 555)
3.ยังนึกเลยว่า ถ้าพ่อแม่ใช้วิธีเลี้ยงลูกแบบเดินสายกลาง ไม่ยึดติดในความเป็นพ่อแม่ลูก ไม่คาดหวังในตัวลูกมากจนกลายเป็นความกดดัน ปล่อยให้เขามีอิสระ มีความคิดของตัวเองในระดับนึง ( แต่ไม่ใช่ปล่อยอิสระจนออกนอกลู่นอกทางนะคะ ) น่าจะเป็นอะไรที่พอดีๆ win-win ทั้ง2ฝ่าย
4.แต่อย่างว่า เราก็พูดได้แหละ เพราะไม่ใช่ลูกของเรานิ จะห้ามพ่อแม่ไม่ให้คาดหวังในลูกเต้าเลยก็คงเป็นเรื่องยาก ( หลายคนคงบอก ลองมาเป็นดูสิ🤣)
ก็ถือซะว่า เป็นการแชร์มุมมอง/practiceที่เราเจอ
จริงๆ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับใครบ้าง
( นึกๆไปก็เหมือนการปฏิบัติธรรมเลย ที่พระท่านบอก“ ไม่ให้ต่อต้าน แต่ก็ไม่ให้คล้อยตาม ” พูดง่ายทำยากเหมือนกันนะคะ 🙏
ขอบคุณค่ะ ( บางทีก็ทำให้นึกไปถึงจิตแพทย์ที่ให้คำแนะนำผู้ป่วย เพราะหมอเอาตัวเองออกมายืนดูห่างๆทำให้ได้ทางออกที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความเป็นจริง อีกอย่างหมอเองก็ไม่มีส่วนได้เสียกับชีวิตเด็ก ก็เลยให้คำแนะนำได้เต็มที่ ถ้าเป็นลูกคุณหมอเองก็ไมีแน่น้าาา 🤣)