JJNY : ไทยอันดับ 81 ดัชนีการแข่งขันโลก│ช่อ มองนโยบาย OFOS อาจไม่ถึงฝัน│ราคาพลังงานของจริงกลับมาแล้ว!│ยูเครนจวกรัสเซีย

สถาบันเกาหลีใต้จัดไทยอันดับ 81 ดัชนีการแข่งขันโลก พบคะแนนดีสุดด้านทุนทางปัญญา
https://www.isranews.org/article/isranews-news/124331-isranews-inddex-2.html
 
 
สถาบันเกาหลีใต้จัดอันดับไทย 81 ดัชนีความสามารถการแข่งขันยั่งยืน จาก 180 ประเทศทั่วโลก ได้ 43.6 คะแนน พบด้านดัชนีทุนทางปัญญาได้คะแนนสูงสุด 50.7 ส่วนด้านประสิทธิภาพทรัพยากรได้คะแนนต่ำสุด 37.5 คะแนน
 
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าสถาบันSolAbility ที่ตั้งอยู่ในประเทศเกาหลีใต้ ได้มีการเผยแพร่ดัชนีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน (Global Sustainable Competitiveness Index)ประจำปี 2566 เมื่อช่วงเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา โดยประเทศไทยพบว่าอยู่ในอันดับที่ 81 จาก 180 ประเทศทั่วโลกที่ได้มีการจัดอันดับ และประเทศไทยมีคะแนนอยู่ที่ 43.6 คะแนน

โดยประเทศไทยได้คะแนนในปลีกย่อยได้แก่คะแนนในด้านดัชนีทุนทางธรรมชาติ 38.6 คะแนน คะแนนดัชนีด้านดัชนีประสิทธิภาพทรัพยากร 37.5 คะแนน คะแนนด้านดัชนีทุนทางปัญญา 50.7 คะแนน คะแนนดัชนีทุนทางสังคม 49.4 คะแนน คะแนนความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ 44.6 คะแนน คะแนนดัชนีประสิทธิภาพการกํากับดูแล 49.2 คะแนน
 
สำหรับอันดับของประเทศอื่นๆในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือว่าอาเซียนพบว่า สิงคโปร์ได้อันดับที่ 36 มีคะแนน 49.4 คะแนน เวียดนามอันดับที่ 54 มีคะแนน 46.3 คะแนน มาเลเซียได้อันดับ 71 มีคะแนน 44.3 คะแนน อินโดนีเซียได้อันดับ 86 มีคะแนน 42.8 คะแนน ฟิลิปปินส์ได้อันดับ 90 มีคะแนน 42.3 คะแนน ลาว อันดับที่ 101 มีคะแนน 41.5 คะแนน เมียนมาอันดับที่ 104 มีคะแนน 41.2 คะแนน  กัมพูชาอันดับที่111 มีคะแนน 41.0 คะแนน บรูไนอันดับที่ 119 มีคะแนน 40.4 คะแนน

ส่วนประเทศที่ได้อันดับหนึ่งในดัชนีได้แก่ ประเทศสวีเดน มีคะแนน 59.6 คะแนน และประเทศที่ได้อันดับสุดท้ายในอันดับที่ 180 ได้แก่ประเทศซูดาน มีคะแนน 32.7 คะแนน



ช่อ ชี้รบ.จัดสงกรานต์ตลอดเมษาฯ ทุ่มงบก้อนใหญ่ หวั่นได้ผลไม่ต่างจากเดิม มองนโยบาย OFOS อาจไม่ถึงฝัน
https://www.matichon.co.th/politics/news_4313257

‘ช่อ‘ ไร้กังวล จัดสงกรานต์ตลอดเดือนเมษา แต่หวั่น ทุ่มงบก้อนใหญ่จัดอีเวนท์ ทำผลลัพธ์ไม่ต่างจากเดิม มอง นโยบาย OFOS อาจไปไม่ถึงฝัน เหตุงบประมาณอุดหนุนไม่เพียงพอ
 
เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์เพาเวอร์แห่งชาติ ได้โพสต์ความคืบหน้าการประชุมคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์เพาเวอร์ฯ บนเฟซบุ๊ก ระบุว่า จะจัดงานสงกรานต์เฟสติวัลตลอดทั้งเดือนเมษายน โดยจะทยอยจัดทั้ง 77 จังหวัด ว่า เป็นเรื่องที่เกิดจากการพาดหัวจัดสงกรานต์ 30 วัน ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันไป แต่เมื่อไปดูในรายละเอียด สิ่งที่ตนกังวลใจ ไม่ใช่เรื่องสงกรานต์ 30 วัน แน่นอน จัดเฟสติวัลทั้งเดือน แต่สลับสถานที่ หรือจัดโซนนิ่ง ก็สามารถจัดการได้

น.ส.พรรณิการ์กล่าวต่อว่า สิ่งที่เราอยากตั้งคำถามจริงๆ เกี่ยวกับงานเฟสติวัล คือ 1. อย่าลืมว่างบประมาณ 5,164 ล้านบาท ที่ถูกเปิดออกมาล่าสุด มีถึง 1,009 ล้านบาท ในส่วนของเฟสติวัล ทั้งที่มีถึง 11 กลุ่มอุตสาหกรรม การที่กลุ่มอุตสาหกรรมเฟสติวัลได้มากที่สุด ทำให้เกิดคำถามที่ว่า สุดท้ายจะลงเอยด้วยการจัดอีเวนท์แล้วก็จบหรือไม่
 
ที่ผ่านมาก็ไม่ใช่ว่าประเทศไทยจะว่างเว้นจากอีเวนท์ แต่จะมีอะไรที่แตกต่างออกไป ในเมื่อเราทุ่มเงินจัดอีเวนท์ระดับพันล้านบาท ไม่นับอีเวนท์ที่มีอยู่แล้วของกระทรวงต่างๆ” น.ส.พรรณิการกล่าว

2. การจัดสงกรานต์เป็นเฟสติวัลยาวหนึ่งเดือน และหมุนเวียนกันไปในแต่ละจังหวัดทั่วประเทศ ข้อสังเกตจากกรณีที่นางชฎาทิพ จูตระกูล ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านเฟสติวัล ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า จะเน้นในพื้นที่กรุงเทพมหานคร คำถามคือ ถ้านโยบายซอฟต์เพาเวอร์ของพรรค พท. จะเป็นไปอย่างที่พรรค พท. ได้หาเสียงไว้ ซึ่งคือการสร้างงาน สร้างอาชีพใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นในประเทศ การไปหาสถานที่ใหม่ สร้างจุดหมายปลายทางทางการท่องเที่ยวใหม่ๆ ในเทศกาลสงกรานต์ ที่ไม่ว่าอย่างไรคนก็มาท่องเที่ยวอยู่แล้ว อาจจะดีกว่าหรือไม่ คงเป็นความเห็นที่แตกต่างในเชิงนโยบาย
 
ถ้ารัฐบาลยืนยันว่าจะทำแบบนี้ ก็ย่อมสามารถทำได้ แต่ถ้าคิดจะสร้างเม็ดเงิน สร้างรายได้ สร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับประเทศ รวมถึงต่อยอดต่อไปในปีต่างๆ จุดหมายปลายทางใหม่ๆ อาจจะน่าสนใจมากกว่าการไปจัดในที่ที่แออัด คับคั่ง จนแทบจะมีการจองเกินจำนวนอยู่แล้วในเมืองท่องเที่ยวต่างๆ” น.ส.แพทองธารกล่าว
 
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หลายฝ่ายกังวลว่าสุดท้ายแล้วงบประมาณก้อนนี้จะถูกกินโดยคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอยู่ดี น.ส.พรรณิการ์กล่าวว่า ขณะนี้ตนกำลังติดตามว่า เมื่องบประมาณออกมาจากกรรมการซอฟต์เพาเวอร์ฯ ซึ่งไม่ใช่หน่วยรับงบประมาณ แต่งบประมาณก้อนที่จะต้องถูกยัดลงไปในแผนของส่วนรับงบประมาณอื่นๆ กระทรวง ทบวง กรมใด จะเป็นผู้รับไป เบื้องตนเท่าที่เห็น คิดว่ากระจายไป 2-3 หน่วยงานที่เป็นผู้รับผิดชอบ คาดว่าน่าจะเป็นกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่า ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้รับผิดชอบ หรือผู้ประสานหลัก จะหมายถึงเป็นเจ้าของงบประมาณด้วยหรือไม่ ซึ่งคงต้องรอความชัดเจนจากทางรัฐบาลอีกครั้ง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า งบประมาณซอฟเพาเวอร์ในปี 2567 จะต้องอยู่ในสถานะงบฝาก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเต็มเม็ดเต็มหน่วยได้มากน้อยเพียงใด
 
ตกลงแล้วจะสร้างผลที่เป็นรูปธรรมจริงๆ ได้ หรือสุดท้ายแล้วคำว่า ซอฟต์เพาเวอร์ ก็แค่ถูกเติมลงไปในงบประมาณที่มีอยู่เดิม ไม่ต่างจากคำว่าบูรณาการ ดิจิทัล พอเพียง ที่เติมท้ายโครงการ ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งในประเทศไทย ถามว่าจะเกิดผลเป็นรูปธรรม เกิดเป็นซอฟต์เพาเวอร์ เกิดเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ หรือสร้างงาน สร้างอาชีพใหม่ๆ ให้กับคนไทยในระยะยาวได้จริงหรือไม่ เป็นสิ่งที่น่าตั้งคำถามเหมือนกัน ไม่นับว่างบประมาณก้อนนี้ถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับสิ่งที่พรรคเพื่อไทยบอกว่า นี่คือการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาว” น.ส.พรรณิการ์กล่าว
 
น.ส.พรรณิการ์ยังกล่าวถึงนโยบาย 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์เพาเวอร์ ที่พรรค พท. ระบุว่า จะสร้างรายได้ให้ครอบครัว ครอบครัวละ 200,000 บาท จำนวน 20 ล้านครอบครัวต่อปี (OFOS) ว่า ถ้าต้องการผลที่ใหญ่ขนาดนั้น ตัวเลขการลงทุนเบื้องต้นในปี 2567 อาจยังไม่สามารถคาดหวังได้มากขนาดนั้น อย่าลืมว่า งบประมาณปี 2568 แทบจะต้องพิจารณาต่อกันเลย เนื่องจากงบประมาณปี 2567 ล่าช้า ปี 2567 อาจจะพูดได้ว่าเป็นปีแรกของรัฐบาล อาจจะยังเตรียมการไม่ทัน แต่ปี 2568 จะเริ่มพิจารณากลางปีหน้าแล้ว ต้องรอดูว่า จะซ้ำรอยในการจัดงบประมาณซอฟต์เพาเวอร์ ที่ยังไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยกันสองปี ซึ่งคือครึ่งหนึ่งของการทำงานของรัฐบาลนี้หรือไม่
 
เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ว่างบจะกลายเป็นตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ น.ส.พรรณิการ์กล่าวว่า เท่าที่เห็นรายละเอียดของกระทรวงวัฒนธรรมในขณะนี้ จะเป็นไปในลักษณะของการจัดอีเวนท์ การอบรม และการสัมมนามากกว่า ส่วนตัวหากมองนโยบายของพรรค พท. สิ่งที่สำคัญจริงๆ อยู่ที่นโยบาย OFOS การสร้างเสริมทักษะในด้านสร้างสรรค์ให้กับคนในแต่ละครอบครัว นี่คือการรีสกิล อัปสกิล ที่จำเป็นต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมาก ยกตัวอย่าง มีหนึ่งโครงการจากกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งใช้งบประมาณ 160 กว่าล้านบาทเท่านั้นเอง และมีอีเวนท์อยู่ในนั้นแล้วด้วย เพราะฉะนั้น ไม่แน่ใจว่า OFOS จะถูกขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรมมากน้อยเพียงใด ในปีงบประมาณ 2567 นี้
 
เมื่อถามว่า ไม่กังวลเรื่องการทุจริต หรือการฉวยโอกาสจากกลุ่มบุคคลใดใช่หรือไม่ น.ส.พรรณิการ์กล่าวว่า การทุจริตคอร์รัปชัน ไม่ว่าจะเป็นโครงการใด ก็สามารถทุจริตได้ทั้งนั้น แต่ที่เรากลัวซอฟต์เพาเวอร์ เนื่องจากยังไม่มียุทธศาสตร์ที่ชัดเจน และใช้เงินไปกับทุกกลุ่มอุตสาหกรรม สุดท้ายจะได้แบบคนละนิดละหน่อย แล้วทำให้ยังไม่ทันเห็นผลชัดเจนในปีแรกที่ทำงาน รวมถึงเท่าที่ในรายละเอียด งบประมาณก้อนนี้ จะถูกใช้ไปในอีเวนท์ อบรม สัมมนา ซึ่งเป็นงบประมาณตัวที่เขียน และใช้ง่ายที่สุด
 
ต้องตั้งคำถามถึงตัวชี้วัดด้วยว่า จัดอีเวนท์แล้ว ต่างจากปีที่ผ่านมาอย่างไร คาดหวังว่าจะมีตัวชี้วัดความสำเร็จอย่างไร แต่ที่แน่ๆ ปีหน้าจะได้เห็นอีเวนท์เยอะแน่นอน” น.ส.พรรณิการ์กล่าว


 
ราคาพลังงานของจริงกลับมาแล้ว! เตรียมรับมือ 'น้ำมัน-ไฟฟ้า' ขึ้นราคา ม.ค.67
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1101591

ราคาพลังงานของจริงกลับมาแล้ว! ประชาชนเตรียมพร้อมรับมือราคา 'น้ำมัน-ไฟฟ้า' ทะยอยปรับขึ้นราคา เริ่ม  1 ม.ค. 2567
 
จากกรณีที่คณะกรรมการบริหาร (บอร์ด) สำนักงานกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติเมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2566 ประกาศค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าFt) และมีมติเห็นชอบให้ปรับค่าเอฟทีขายปลีก สำหรับเรียกเก็บในงวดเดือน ม.ค. - เม.ย. 2567 เท่ากับ 89.55 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 69.07 สตางค์ต่อหน่วย เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วย ทำให้ค่าไฟฟ้าเรียกเก็บของผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภทเฉลี่ยรวมอยู่ที่ 4.68 บาทต่อหน่วย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)    
 
ราคาพลังงาน ส่งผลให้ภาคเอกชนโดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมออกมาเรียกร้องขอให้ภาคนโยบายออกมาดำเนินการแก้ไขปัญหาในเรื่องของการปรับลดราคาค่าไฟงวดดังกล่าวให้ลดลง เพราะส่งผลกระทบถึงต้นทุนต่ออุตสาหกรรมจากการที่ไฟฟ้าถือเป็นต้นทุนเดิมในกระบวนการผลิตสินค้าที่  20% บวกเพิ่มขึ้นไปอีกระดับ 4-6%  
 
รวมถึงกระทรวงพลังงาน โดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้สั่งการให้นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน ดำเนินการในเรื่องของราคาค่าไฟฟ้างวดเดือนม.ค.เม.ย. 2567 ให้ลดลงกว่ามติ กกพ.
 
นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กระทรวงพลังงาน มีแผนปรับลดการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า และเพิ่มพลังงานหมุนเวียนซึ่งเป็นพลังงานสะอาด แต่ด้วยพลังงานหมุนเวียนยังมีต้นทุนที่ค่อนข้างสูง หากนำมาใช้มากเกินไปอาจจะยิ่งกระทบต่อค่าไฟฟ้ามากขึ้น 
 
ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานจึงเตรียมหารือกับ กกพ. เพื่อให้พิจารณาการคำนวณค่า Ft ว่าจะมีส่วนใดบ้างที่สามารถปรับลดได้เพิ่มขึ้นบ้าง เบื้องต้นคาดว่าจะมีการปรับโครงสร้างราคาพลังงานให้มีความเป็นธรรมมากขึ้น มีการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากแหล่งที่มีต้นทุนต่ำ  รวมทั้งจะหารือกับสำนักงบประมาณเพื่อของบกลางมาช่วยเหลือเพื่อลดค่าไฟฟ้าสำหรับกลุ่มเปราะบาง พร้อมทั้งการเพิ่มการใช้พลังงานสะอาด และรณรงค์การอนุรักษ์พลังงาน และจะพยายามทางหาลดให้ได้ ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะลดค่าไฟฟ้าให้เหลือได้ประมาณ 4.20 บาทต่อหน่วย
 
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า นอกจากปัญหาค่าไฟที่จะปรับขึ้นเดือนม.ค. 2567 แล้ว ยังมีราคาน้ำมันที่หากไม่มีมาตรการอุดหนุนจากภาครัฐ จะส่งผลให้ ราคาน้ำมันดีเซลหน้าสถานีบริการที่ปัจจุบันภาครัฐใช้กลไกลดภาษีสรรพสามิตร่วมกับใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงคุมราคาอยู่ที่ 29.94 บาทต่อลิตร จะครบกำหนดในวันที่ 31 ธ.ค. 2566 นี้
 
ในขณะที่ราคาน้ำมันเบนซิน แบ่งเป็น แก๊สโซฮอล์ 91 ลดลง 2.50 บาทต่อลิตร, แก๊สโซฮอล์ 95 ลดลงประมาณ 1 บาทต่อลิตร และแก๊สโซฮอล์ E20 และ E85 ลดลงประมาณ 80 สตางค์ต่อลิตร ก็จะครบกำหนดวันที่ 31 ม.ค. 2567 ตามมาเช่นกัน

ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างเตรียมข้อมูลว่าจะสามารถพยุงราคาน้ำมันดีเซลได้ต่อหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาได้มีการกู้เงินเข้าบัญชีเพื่อเสริมสภาพคล่อง และจ่ายคืนหนี้ให้กับคู่ค้ามาตรา 7 แล้ว 65,000 ล้านบาท ส่งผลให้ ณ วันที่ 26 พ.ย. 2566 บัญชีรวมติดลบที่ 77,717 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 31,891 ล้านบาท และบัญชีก๊าซหุงต้ม (LPG) ภาคครัวเรือนติดลบ 45,826 ล้านบาท
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่