เรื่องย่อ : "แมรี่" หญิงสาวที่เกิดมาโดยปราศจากนาฬิกาชีวิต ทำให้เธอเป็นอมตะ มหาเทพจึงมอบหมายให้เทพสีตลเดินทางมายังโลกมนุษย์เพื่อกำจัดแมรี่ทิ้ง และลบร่องรอยของความผิดพลาดดังกล่าว แต่เมื่อเทพไอเดนล่วงรู้ถึงเรื่องนี้จึงได้เข้ามาขัดขวางเทพสีตลเพื่อหวังจะนำความผิดพลาดนี้มาใช้อ้างเพื่อล้มบัลลังก์มหาเทพ
ตอนที่ 1 เมื่อเหมันตฤดูมาเยือน
สายลมที่พัดผ่านต้นไม้ใบหญ้า สายน้ำลำธาร
หมุนเปลี่ยนฤดูกาล ผ่านเรื่องราววิถีชีวิตเปลี่ยนแปลง
เหมันตฤดูเวียนมาบรรจบ เมื่อครบสารทยุติกาล
สีตลาสุรารักษ์บันดาล ประทานฤดูกาลหนาวเย็นนรากร
"คุณลุงสุดหล่อ ข้าอยากกินขนมนั่น ช่วยซื้อให้ข้าหน่อยได้หรือไม่"
"เจ้าโง่ เลิกเล่นแล้วกลับดินแดนของเจ้าไปซะ!!"
สีตลตอบกลับไปโดยมิได้ลืมตามอง
เด็กน้อยยิ้มให้และนั่งลงใกล้ ๆ บริเวณที่ชายหนุ่มนอนแอบอิงใต้โคนต้นไม้ที่เกือบจะไร้ซึ่งใบ พร้อมกับร่างกายที่ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปจากเด็กน้อยวัยอนุบาลสู่ชายหนุ่มวัยเจริญพันธุ์
"ท่านมิได้ลืมตามองข้าเลยแม้แต่น้อย เหตุใดท่านจึงรู้ได้ว่าเป็นข้า" บรูคเอ่ยถามด้วยแววตาฉงน
"เด็กมนุษย์จักมองเห็นข้าได้อย่างไร"
เสียงตอบกลับที่เรียบเฉย ยังคงแว่วดังอยู่ หากแต่ไร้ซึ่งผู้เป็นเจ้าของเสียงนั้น
"เกรย์ หยุดนะ หยุดวิ่งเดี๋ยวนี้นะ"
หญิงสาวร่างกายผอมบาง ร้องเรียกสุนัขสีขาวพันธุ์คอลลี่ ในมือถือเชือกที่คาดว่าเป็นสายจูงสุนัขสีขาวตัวนั้น เธอวิ่งมาหยุดลงตรงหน้าของชายหนุ่ม แล้วย่อตัวลงเกี่ยวตะขอสายจูงกับปลอกคอไว้
"กว่าจะหยุดได้นะ หึ! รีบกลับบ้านเดี๋ยวนี้เลย ฉันยังมีเรื่องมากมายที่ต้องทำอีกนะ"
"ขอโทษที่ปล่อยให้มันวิ่งซุกซนนะคะ ต่อไปฉันจะระวังให้มากกว่านี้ค่ะ"
แมรี่พูดพร้อมกับยิ้มให้และส่งสายตาแสดงความรู้สึกผิด ก่อนจะดึงสายจูงสุนัขให้มันเดินตามเธอไป
ชายหนุ่มก้มศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อตอบรับคำขอโทษจากหญิงสาว
แววตาสับสน ตกใจ และมึนงง ส่งผ่านใบหน้าขาวซีดของบรูค ด้วยไม่คิดว่าจะมีมนุษย์สามารถมองเห็นเขาได้ แต่เขาก็มิได้มีเวลามากพอให้สนใจเรื่องนี้อยู่นานนัก เขาต้องรีบจากโลกไปยังดินแดนเวเนซิส
"ค่ะ พี่
ค่ะ
ค่ะ
ค่ะ สวัสดีค่ะ"
แมรี่ตอบรับคำพูดอีกฝ่าย ด้วยใบหน้าอันเหน็ดเหนื่อย
ร่างกายทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเก่า ทิ้งศีรษะและแผ่นหลังบนพนักพิง ในมือที่กำโทรศัพท์ไว้แน่นถูกปล่อยให้ห้อยวางลงบนเบาะนั่งของเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง ลมหายใจที่ปล่อยออกมาผ่านช่องปาก บ่งบอกถึงความเหน็ดเหนื่อยอันมิอาจบรรยายผ่านคำพูดได้
แต่แล้ว ในเวลาถัดมาเพียงไม่นาน เธอกลับหยิบตำรากฎหมายขึ้นมาอ่านราวกับว่าความเหน็ดเหนื่อยนั้นเกิดขึ้นเพียงแค่บนใบหน้าเท่านั้น มิได้ส่งผลมาถึงร่างกายและสมองของเธอ ด้วยความใฝ่ฝันที่อยากจะเป็นผู้พิพากษาทำให้ความเหนื่อยล้าที่มีมาตลอดสัปดาห์เลือนหายไปราวกับว่าได้พักผ่อนมาแล้วแรมเดือน แมรี่มุ่งมั่นและตั้งใจเป็นอย่างมากในการไล่ตามความฝันของเธอ ในทุก ๆ วัน หากเธอมีเวลาว่าง เธอจะใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสืออย่างตั้งอกตั้งใจ
.
.
.
"มันคือความผิดพลาด เราไม่ควรเก็บมันไว้
ถ้าเธอไม่เชื่อฟังฉัน เธอจะต้องรับผิดชอบกับผลที่จะตามมาด้วยตนเอง
จำไว้!!"
สถานที่ซึ่งมืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากเปลวเทียนเล็ก ๆ ส่องสว่างไปไม่ทั่วถึงทุกบริเวณ เสียงสนทนาที่กำลังโต้เถียงกันแว่วดังมาจากจุดที่เปลวเทียนส่องถึงนั้น เป็นเสียงที่ฟังดูคุ้นหู ประหนึ่งว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นผู้ที่คุ้นเคยและผูกพันกันมาเนิ่นนาน
น้ำตาที่ไหลรินลงบนหมอนที่เปียกปอนจนชุ่ม ปลุกร่างกายที่หลับใหลอยู่ในห้วงนิทราให้ตื่นขึ้น ในเวลากลางดึกที่ดวงจันทร์ยังคงโคจรเป็นบริวารของโลก ปรากฏความสวยงามให้ผู้คนได้ยลโฉมจากการแบ่งปันแสงสว่างอันร้อนแรงของพระอาทิตย์ 🕐
"ทำไมถึงได้รู้สึกเศร้าขนาดนี้นะ
นี่มันฝันบ้าบออะไรกัน"
แมรี่พึมพำเบา ๆ ใช้นิ้วมืออันเรียวบางปาดสองแก้ม เช็ดคราบน้ำตาที่ไหลลง ปะปนไปด้วยความรู้สึกเศร้าหมองอย่างไร้เหตุผล ก่อนจะทรุดตัวลงนอนอีกครั้ง
.
.
.
.
.
อุ้งเท้าเล็ก ๆ อันอบอุ่น ค่อย ๆ สัมผัสร่างกายอันผอมบางที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนา พร้อมส่งเสียงเห่าเรียกให้ผู้เป็นเจ้าของรับรู้
"อือ... อือ... จะลุกแล้ว อือ....จะลุกแล้วจริง ๆ นะ.......
ขออีก 5 นาทีคงไม่เป็นไรหรอกใช่ไหม Zzzzz"
🕖 "เฮ้ย!! แย่แล้ว จะสายแล้วเนี่ย
เกรย์ ทำไมแกไม่ปลุกฉันด้วย
ถ้าไปสาย พวกพี่ ๆ ต้องบ่นจนแก้วหูระเบิดแน่เลย"
แมรี่ผลักร่างกายตัวเองลุกจากที่นอนอย่างรีบร้อน มุ่งตรงไปยังห้องอาบน้ำ และใช้เวลาด้วยความเร็วแสงประหนึ่งเพียงแค่วิ่งผ่านน้ำเท่านั้น รีบเร่งออกมาแต่งตัว สวมเครื่องแบบพนักงานด้วยความรวดเร็ว
“เกรย์ รีบไปกันเถอะ”
เธอใช้นิ้วมืออันเรียวบางเกี่ยวสายจูงสุนัขไว้อย่างหละหลวม พร้อมที่จะหลุดออกได้ตลอดเวลา และรีบวิ่งไปพลาง ใช้นิ้วมือดันส้นเท้าของเธอให้เข้าไปในรองเท้าผ้าใบโทรม ๆ พร้อมหอบสัมภาระไปอย่างทุลักทุเล
"เกรย์ ไม่นะ
อย่านะ อย่าซน เข้าใจมั้ย??"
สุนัขสีขาวพันธุ์คอลลี่ กำลังจ้องมองไปยังชายหนุ่มรูปร่างสันทัด ที่กำลังนั่งชมความวุ่นวายของการจราจรในยามเช้า เขาชื่นชมกับสิ่งนั้นประดุจดั่งว่า มันคือความงดงามอันหาที่เปรียบมิได้ ราวกับว่าภาพทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นเป็นดั่งงานศิลปะอันล้ำเลิศ ที่ควรค่าแก่การมอบเวลาทั้งชีวิตจ้องมองมัน
"นั่งรอรถเมล์ดี ๆ
เป็นเด็กดี เข้าใจมั้ย??
อย่าไปรบกวนพี่ชายเขา โอเค๊??"
เสียงสนทนาของหญิงสาวกับสุนัขข้างกายที่ดังแว่วเข้ามาในหูของชายหนุ่ม ทำให้อาร์ดีนอดเสียมิได้ที่จะต้องหันไปมอง
หญิงสาวยิ้มให้เขาเพื่อทักทาย
"รอยยิ้มของหญิงสาววัยแรกแย้มนี้ ช่างเปรียบดั่งแสงตะวันที่กำลังเฉิดฉาย สาดส่องแสงอันอบอุ่นแม้ในยามเหมันต์เช่นนี้ ก็สามารถทำให้ดอกไม้เบ่งบานได้เต็มท้องทุ่ง ช่างคุ้มค่าแก่การมาเยือนเสียจริง"
อาร์ดีนที่กำลังรู้สึกอิ่มเอม หลงใหลไปกับรอยยิ้มของเด็กสาว จนเผลอเอ่ยชมออกมาอย่างมิทันรู้ตัว
"เมื่อกี้...คุณพูดว่าอะไรนะคะ?
เหมันต์?? แสงตะวัน? มาเยือน???
นั่นคุณชมฉันใช่มั้ยคะ? ขอรับไว้ด้วยความเต็มใจเลยนะคะ ขอบคุณค่ะ"
เมื่อแมรี่พูดจบ ก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่รถเมล์มาถึง เธอรีบขึ้นไปทันที และไม่ลืมที่จะหันมาส่งรอยยิ้มหวานละมุนให้อีกครั้งแทนคำกล่าวลา แต่ทว่าคำพูดตอบกลับคำเอ่ยชมที่อาร์ดีนเผลอพูดหลุดไปนั้น ทำให้อาร์ดีนตกตะลึงเป็นอย่างมาก เขาครุ่นคิดอยู่นานว่าเธอพูดกับเขาหรือใครกันแน่ แต่ด้วย ณ สถานที่รอรถเมล์แห่งนี้ ไม่มีใครเลยนอกจากพวกเขา 2 คน และสุนัขอีก 1 ตัว มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะพูดกับผู้อื่น
"เธอตอบกลับข้าเป็นแน่แท้
เด็กสาวนั่นมองเห็นข้า อีกทั้งยังได้ยินคำพูดข้าด้วย
โลกมนุษย์นี้ มีสิ่งที่น่าพิศวงให้ข้าได้หลงใหลเยอะเสียจริง"
มุมปากค่อย ๆ ยกขึ้นด้วยความพึงพอใจ และจากไปพร้อมกับร่างกายของเขา
"สวัสดีค่ะพี่เอลล่า
พี่ฟารา สวัสดีค่ะ"
การทักทายในตอนเช้าที่เกิดขึ้นอย่างเป็นปกติ ภายในบรรยากาศอันเร่งรีบ ของหญิงสาวสองคนที่กำลังเตรียมตัวเปิดร้านต้อนรับลูกค้า และเด็กสาวอีกคนที่กำลังรู้สึกผิดอย่างมากที่ตนทำพลาดเรื่องเวลา
"แมรี่ ช่วยพี่เตรียมกุ้งหน่อย"
ฟาราออกคำสั่ง ปลุกความกระตือรือร้น
"ได้เลยค่าาา"
แมรี่ตอบรับด้วยความสดใส ใช้มือปลดสายจูงสุนัขออก และปล่อยให้มันนอนเล่นอยู่ภายในห้องหลังร้าน ก่อนจะเริ่มลงมือแกะเปลือกกุ้ง เตรียมพร้อมปรุงอาหาร
ในเวลา 9 นาฬิกา เหล่าลูกค้าต่างเดินเข้าร้านอาหารอย่างคึกคัก เก้าอี้ทุกตัวถูกจับจองด้วยเหล่าผู้คนจากทั่วทุกพื้นที่ ช่างเป็นภาพที่น่ายินดียิ่งนัก หญิงสาวทั้งสามจ้องมองผู้คนเหล่านั้นด้วยแววตาเปล่งประกาย พร้อมที่จะต้อนรับและบริการอาหารสุดพิเศษแก่พวกเขา
แต่ทว่า ประตูบานนั้นที่พวกเขาเลือก กลับมิใช่เป็นประตูร้านของพวกเธอ แต่เป็นร้านตรงข้ามกันต่างหาก
"โธ่! ทำไมร้านนั้นถึงได้ขายดีจังนะ แล้วดูร้านเราสิ ช่างเงียบเหงาเหลือเกิน
หรือว่าเขาจะมีของดี หรือเขาเล่นของ หรือมีเวทมนต์
เอลล่าลองร่ายมนต์ดูซิ"
"จงเดินมาหาฉัน เดินมาที่ฉัน
โอมมมมมม... จงเข้ามาร้านนี้"
เอลล่ารีบลงมือร่ายมนต์ไปตามคำสั่งของพี่ฟารา ทั้งสองแสดงท่าทางพึงพอใจในการกระทำของอีกฝ่าย ที่ต่างกำลังหยอกเล่นกันอย่างสนุกสนาน อย่างเข้าขากันได้ดี เปรียบดั่งเด็กน้อยวัยเยาว์ 2 คนก็มิปาน
"ฉันว่าพวกพี่ต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ ๆ ว่างงานจนเป็นบ้าไปแล้ว"
แมรี่นั่งมองการกระทำที่ไร้สาระของพี่สาวทั้งสอง ด้วยท่าทางที่ใช้มือข้างหนึ่งค้ำศีรษะไว้และส่ายหัวเบา ๆ ด้วยแววตาดูแคลนรุ่นพี่
"แมรี่เธอลองทำดูบ้างซิ"
ฟาราหันมาชักชวนแมรี่ให้ลองทำตามพวกเธอ
"นั่นสิ มันอาจจะต้องใช้หญิงสาวบริสุทธิ์ก็ได้ แมรี่!!"
เอลล่าจ้องมองแมรี่ด้วยประกายแววตาที่อยากให้สาวน้อยลองเล่นไร้สาระตามพวกเธอ
"..........."
รอยยิ้มสนุกสนานบนใบหน้าของเอลล่ากับฟาราเปลี่ยนเป็นความวิตก เกรงกลัวรุ่นน้องจะก่นด่าที่ตน
ความเงียบที่ตอบรับคำชักชวน
นิ้วมือที่กำลังค้ำยันศีรษะค่อย ๆ ดึงออก
ร่างกายผอมบางลุกยืนขึ้น และเดินออกจากที่นั่ง
แววตานิ่งเฉย ใบหน้านิ่งเรียบ
ริมฝีปากค่อย ๆ เปิดออก...
"โอมมมมมม... จงเดินมาหาข้า เดินเข้ามาร้านของข้า..."
เสียงแหบสั่น เอ่ยออกมาพร้อมมือที่ยกขึ้นและลง พร้อมกระดิกนิ้วสลับไปมาเป็นเกลียวคลื้น แมรี่แสดงท่าทางประหนึ่งกำลังร่ายเวทมนตร์
เสียงหัวเราะคิกคัก ดังครึกครื้นไปทั่วบริเวณ
หญิงสาวทั้งสามต่างเพลิดเพลินไปกับการกระทำไร้สาระ ประหนึ่งเสมือนเด็กน้อยเล่นด้วยกันของพวกตน
แต่แล้วเสียงหัวเราะที่เคยดังกึกก้อง ก็กลับกลายเป็นความเงียบสงบ
พวกเธอตกตะลึง ไปกับภาพที่ได้เห็น
บานประตูที่ปิดสนิท ถูกเปิดออกด้วยนิ้วมืออันเรียวยาวของชายหนุ่มวัยประมาณเบญจเพส รูปร่างสูงสง่า ผิวสีอำพันสะท้อนไปกับแสงอาทิตย์ยามสาย เส้นผมสีดำสนิทแต่กลับดูเป็นธรรมชาติ สันกรามและสันจมูกที่คมชัด ผู้เป็นเจ้าของสัดส่วนรูปลักษณ์ที่ดูดีเกินมาตรฐานนั้น กำลังเปล่งเสียงทุ้มละมุนอยู่ภายในร้านอาหารของพวกเธอ
นักเขียนนิยายมือใหม่ "My Immortal Love : ฉันอยากเป็นอมตะ"
"คุณลุงสุดหล่อ ข้าอยากกินขนมนั่น ช่วยซื้อให้ข้าหน่อยได้หรือไม่"
"เจ้าโง่ เลิกเล่นแล้วกลับดินแดนของเจ้าไปซะ!!"
สีตลตอบกลับไปโดยมิได้ลืมตามอง
เด็กน้อยยิ้มให้และนั่งลงใกล้ ๆ บริเวณที่ชายหนุ่มนอนแอบอิงใต้โคนต้นไม้ที่เกือบจะไร้ซึ่งใบ พร้อมกับร่างกายที่ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปจากเด็กน้อยวัยอนุบาลสู่ชายหนุ่มวัยเจริญพันธุ์
"ท่านมิได้ลืมตามองข้าเลยแม้แต่น้อย เหตุใดท่านจึงรู้ได้ว่าเป็นข้า" บรูคเอ่ยถามด้วยแววตาฉงน
"เด็กมนุษย์จักมองเห็นข้าได้อย่างไร"
เสียงตอบกลับที่เรียบเฉย ยังคงแว่วดังอยู่ หากแต่ไร้ซึ่งผู้เป็นเจ้าของเสียงนั้น
"เกรย์ หยุดนะ หยุดวิ่งเดี๋ยวนี้นะ"
หญิงสาวร่างกายผอมบาง ร้องเรียกสุนัขสีขาวพันธุ์คอลลี่ ในมือถือเชือกที่คาดว่าเป็นสายจูงสุนัขสีขาวตัวนั้น เธอวิ่งมาหยุดลงตรงหน้าของชายหนุ่ม แล้วย่อตัวลงเกี่ยวตะขอสายจูงกับปลอกคอไว้
"กว่าจะหยุดได้นะ หึ! รีบกลับบ้านเดี๋ยวนี้เลย ฉันยังมีเรื่องมากมายที่ต้องทำอีกนะ"
"ขอโทษที่ปล่อยให้มันวิ่งซุกซนนะคะ ต่อไปฉันจะระวังให้มากกว่านี้ค่ะ"
แมรี่พูดพร้อมกับยิ้มให้และส่งสายตาแสดงความรู้สึกผิด ก่อนจะดึงสายจูงสุนัขให้มันเดินตามเธอไป
ชายหนุ่มก้มศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อตอบรับคำขอโทษจากหญิงสาว
แววตาสับสน ตกใจ และมึนงง ส่งผ่านใบหน้าขาวซีดของบรูค ด้วยไม่คิดว่าจะมีมนุษย์สามารถมองเห็นเขาได้ แต่เขาก็มิได้มีเวลามากพอให้สนใจเรื่องนี้อยู่นานนัก เขาต้องรีบจากโลกไปยังดินแดนเวเนซิส
"ค่ะ พี่
ค่ะ
ค่ะ
ค่ะ สวัสดีค่ะ"
แมรี่ตอบรับคำพูดอีกฝ่าย ด้วยใบหน้าอันเหน็ดเหนื่อย
ร่างกายทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเก่า ทิ้งศีรษะและแผ่นหลังบนพนักพิง ในมือที่กำโทรศัพท์ไว้แน่นถูกปล่อยให้ห้อยวางลงบนเบาะนั่งของเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง ลมหายใจที่ปล่อยออกมาผ่านช่องปาก บ่งบอกถึงความเหน็ดเหนื่อยอันมิอาจบรรยายผ่านคำพูดได้
แต่แล้ว ในเวลาถัดมาเพียงไม่นาน เธอกลับหยิบตำรากฎหมายขึ้นมาอ่านราวกับว่าความเหน็ดเหนื่อยนั้นเกิดขึ้นเพียงแค่บนใบหน้าเท่านั้น มิได้ส่งผลมาถึงร่างกายและสมองของเธอ ด้วยความใฝ่ฝันที่อยากจะเป็นผู้พิพากษาทำให้ความเหนื่อยล้าที่มีมาตลอดสัปดาห์เลือนหายไปราวกับว่าได้พักผ่อนมาแล้วแรมเดือน แมรี่มุ่งมั่นและตั้งใจเป็นอย่างมากในการไล่ตามความฝันของเธอ ในทุก ๆ วัน หากเธอมีเวลาว่าง เธอจะใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสืออย่างตั้งอกตั้งใจ
ถ้าเธอไม่เชื่อฟังฉัน เธอจะต้องรับผิดชอบกับผลที่จะตามมาด้วยตนเอง
จำไว้!!"
สถานที่ซึ่งมืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากเปลวเทียนเล็ก ๆ ส่องสว่างไปไม่ทั่วถึงทุกบริเวณ เสียงสนทนาที่กำลังโต้เถียงกันแว่วดังมาจากจุดที่เปลวเทียนส่องถึงนั้น เป็นเสียงที่ฟังดูคุ้นหู ประหนึ่งว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นผู้ที่คุ้นเคยและผูกพันกันมาเนิ่นนาน
น้ำตาที่ไหลรินลงบนหมอนที่เปียกปอนจนชุ่ม ปลุกร่างกายที่หลับใหลอยู่ในห้วงนิทราให้ตื่นขึ้น ในเวลากลางดึกที่ดวงจันทร์ยังคงโคจรเป็นบริวารของโลก ปรากฏความสวยงามให้ผู้คนได้ยลโฉมจากการแบ่งปันแสงสว่างอันร้อนแรงของพระอาทิตย์ 🕐
"ทำไมถึงได้รู้สึกเศร้าขนาดนี้นะ
นี่มันฝันบ้าบออะไรกัน"
แมรี่พึมพำเบา ๆ ใช้นิ้วมืออันเรียวบางปาดสองแก้ม เช็ดคราบน้ำตาที่ไหลลง ปะปนไปด้วยความรู้สึกเศร้าหมองอย่างไร้เหตุผล ก่อนจะทรุดตัวลงนอนอีกครั้ง
"อือ... อือ... จะลุกแล้ว อือ....จะลุกแล้วจริง ๆ นะ.......
ขออีก 5 นาทีคงไม่เป็นไรหรอกใช่ไหม Zzzzz"
เกรย์ ทำไมแกไม่ปลุกฉันด้วย
ถ้าไปสาย พวกพี่ ๆ ต้องบ่นจนแก้วหูระเบิดแน่เลย"
แมรี่ผลักร่างกายตัวเองลุกจากที่นอนอย่างรีบร้อน มุ่งตรงไปยังห้องอาบน้ำ และใช้เวลาด้วยความเร็วแสงประหนึ่งเพียงแค่วิ่งผ่านน้ำเท่านั้น รีบเร่งออกมาแต่งตัว สวมเครื่องแบบพนักงานด้วยความรวดเร็ว
“เกรย์ รีบไปกันเถอะ”
เธอใช้นิ้วมืออันเรียวบางเกี่ยวสายจูงสุนัขไว้อย่างหละหลวม พร้อมที่จะหลุดออกได้ตลอดเวลา และรีบวิ่งไปพลาง ใช้นิ้วมือดันส้นเท้าของเธอให้เข้าไปในรองเท้าผ้าใบโทรม ๆ พร้อมหอบสัมภาระไปอย่างทุลักทุเล
"เกรย์ ไม่นะ
อย่านะ อย่าซน เข้าใจมั้ย??"
สุนัขสีขาวพันธุ์คอลลี่ กำลังจ้องมองไปยังชายหนุ่มรูปร่างสันทัด ที่กำลังนั่งชมความวุ่นวายของการจราจรในยามเช้า เขาชื่นชมกับสิ่งนั้นประดุจดั่งว่า มันคือความงดงามอันหาที่เปรียบมิได้ ราวกับว่าภาพทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นเป็นดั่งงานศิลปะอันล้ำเลิศ ที่ควรค่าแก่การมอบเวลาทั้งชีวิตจ้องมองมัน
"นั่งรอรถเมล์ดี ๆ
เป็นเด็กดี เข้าใจมั้ย??
อย่าไปรบกวนพี่ชายเขา โอเค๊??"
เสียงสนทนาของหญิงสาวกับสุนัขข้างกายที่ดังแว่วเข้ามาในหูของชายหนุ่ม ทำให้อาร์ดีนอดเสียมิได้ที่จะต้องหันไปมอง
หญิงสาวยิ้มให้เขาเพื่อทักทาย
"รอยยิ้มของหญิงสาววัยแรกแย้มนี้ ช่างเปรียบดั่งแสงตะวันที่กำลังเฉิดฉาย สาดส่องแสงอันอบอุ่นแม้ในยามเหมันต์เช่นนี้ ก็สามารถทำให้ดอกไม้เบ่งบานได้เต็มท้องทุ่ง ช่างคุ้มค่าแก่การมาเยือนเสียจริง"
อาร์ดีนที่กำลังรู้สึกอิ่มเอม หลงใหลไปกับรอยยิ้มของเด็กสาว จนเผลอเอ่ยชมออกมาอย่างมิทันรู้ตัว
"เมื่อกี้...คุณพูดว่าอะไรนะคะ?
เหมันต์?? แสงตะวัน? มาเยือน???
นั่นคุณชมฉันใช่มั้ยคะ? ขอรับไว้ด้วยความเต็มใจเลยนะคะ ขอบคุณค่ะ"
เมื่อแมรี่พูดจบ ก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่รถเมล์มาถึง เธอรีบขึ้นไปทันที และไม่ลืมที่จะหันมาส่งรอยยิ้มหวานละมุนให้อีกครั้งแทนคำกล่าวลา แต่ทว่าคำพูดตอบกลับคำเอ่ยชมที่อาร์ดีนเผลอพูดหลุดไปนั้น ทำให้อาร์ดีนตกตะลึงเป็นอย่างมาก เขาครุ่นคิดอยู่นานว่าเธอพูดกับเขาหรือใครกันแน่ แต่ด้วย ณ สถานที่รอรถเมล์แห่งนี้ ไม่มีใครเลยนอกจากพวกเขา 2 คน และสุนัขอีก 1 ตัว มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะพูดกับผู้อื่น
"เธอตอบกลับข้าเป็นแน่แท้
เด็กสาวนั่นมองเห็นข้า อีกทั้งยังได้ยินคำพูดข้าด้วย
โลกมนุษย์นี้ มีสิ่งที่น่าพิศวงให้ข้าได้หลงใหลเยอะเสียจริง"
มุมปากค่อย ๆ ยกขึ้นด้วยความพึงพอใจ และจากไปพร้อมกับร่างกายของเขา
"สวัสดีค่ะพี่เอลล่า
พี่ฟารา สวัสดีค่ะ"
การทักทายในตอนเช้าที่เกิดขึ้นอย่างเป็นปกติ ภายในบรรยากาศอันเร่งรีบ ของหญิงสาวสองคนที่กำลังเตรียมตัวเปิดร้านต้อนรับลูกค้า และเด็กสาวอีกคนที่กำลังรู้สึกผิดอย่างมากที่ตนทำพลาดเรื่องเวลา
"แมรี่ ช่วยพี่เตรียมกุ้งหน่อย"
ฟาราออกคำสั่ง ปลุกความกระตือรือร้น
"ได้เลยค่าาา"
แมรี่ตอบรับด้วยความสดใส ใช้มือปลดสายจูงสุนัขออก และปล่อยให้มันนอนเล่นอยู่ภายในห้องหลังร้าน ก่อนจะเริ่มลงมือแกะเปลือกกุ้ง เตรียมพร้อมปรุงอาหาร
ในเวลา 9 นาฬิกา เหล่าลูกค้าต่างเดินเข้าร้านอาหารอย่างคึกคัก เก้าอี้ทุกตัวถูกจับจองด้วยเหล่าผู้คนจากทั่วทุกพื้นที่ ช่างเป็นภาพที่น่ายินดียิ่งนัก หญิงสาวทั้งสามจ้องมองผู้คนเหล่านั้นด้วยแววตาเปล่งประกาย พร้อมที่จะต้อนรับและบริการอาหารสุดพิเศษแก่พวกเขา
แต่ทว่า ประตูบานนั้นที่พวกเขาเลือก กลับมิใช่เป็นประตูร้านของพวกเธอ แต่เป็นร้านตรงข้ามกันต่างหาก
"โธ่! ทำไมร้านนั้นถึงได้ขายดีจังนะ แล้วดูร้านเราสิ ช่างเงียบเหงาเหลือเกิน
หรือว่าเขาจะมีของดี หรือเขาเล่นของ หรือมีเวทมนต์
เอลล่าลองร่ายมนต์ดูซิ"
"จงเดินมาหาฉัน เดินมาที่ฉัน
โอมมมมมม... จงเข้ามาร้านนี้"
เอลล่ารีบลงมือร่ายมนต์ไปตามคำสั่งของพี่ฟารา ทั้งสองแสดงท่าทางพึงพอใจในการกระทำของอีกฝ่าย ที่ต่างกำลังหยอกเล่นกันอย่างสนุกสนาน อย่างเข้าขากันได้ดี เปรียบดั่งเด็กน้อยวัยเยาว์ 2 คนก็มิปาน
"ฉันว่าพวกพี่ต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ ๆ ว่างงานจนเป็นบ้าไปแล้ว"
แมรี่นั่งมองการกระทำที่ไร้สาระของพี่สาวทั้งสอง ด้วยท่าทางที่ใช้มือข้างหนึ่งค้ำศีรษะไว้และส่ายหัวเบา ๆ ด้วยแววตาดูแคลนรุ่นพี่
"แมรี่เธอลองทำดูบ้างซิ"
ฟาราหันมาชักชวนแมรี่ให้ลองทำตามพวกเธอ
"นั่นสิ มันอาจจะต้องใช้หญิงสาวบริสุทธิ์ก็ได้ แมรี่!!"
เอลล่าจ้องมองแมรี่ด้วยประกายแววตาที่อยากให้สาวน้อยลองเล่นไร้สาระตามพวกเธอ
"..........."
รอยยิ้มสนุกสนานบนใบหน้าของเอลล่ากับฟาราเปลี่ยนเป็นความวิตก เกรงกลัวรุ่นน้องจะก่นด่าที่ตน
ความเงียบที่ตอบรับคำชักชวน
นิ้วมือที่กำลังค้ำยันศีรษะค่อย ๆ ดึงออก
ร่างกายผอมบางลุกยืนขึ้น และเดินออกจากที่นั่ง
แววตานิ่งเฉย ใบหน้านิ่งเรียบ
ริมฝีปากค่อย ๆ เปิดออก...
"โอมมมมมม... จงเดินมาหาข้า เดินเข้ามาร้านของข้า..."
เสียงแหบสั่น เอ่ยออกมาพร้อมมือที่ยกขึ้นและลง พร้อมกระดิกนิ้วสลับไปมาเป็นเกลียวคลื้น แมรี่แสดงท่าทางประหนึ่งกำลังร่ายเวทมนตร์
เสียงหัวเราะคิกคัก ดังครึกครื้นไปทั่วบริเวณ
หญิงสาวทั้งสามต่างเพลิดเพลินไปกับการกระทำไร้สาระ ประหนึ่งเสมือนเด็กน้อยเล่นด้วยกันของพวกตน
แต่แล้วเสียงหัวเราะที่เคยดังกึกก้อง ก็กลับกลายเป็นความเงียบสงบ
พวกเธอตกตะลึง ไปกับภาพที่ได้เห็น
บานประตูที่ปิดสนิท ถูกเปิดออกด้วยนิ้วมืออันเรียวยาวของชายหนุ่มวัยประมาณเบญจเพส รูปร่างสูงสง่า ผิวสีอำพันสะท้อนไปกับแสงอาทิตย์ยามสาย เส้นผมสีดำสนิทแต่กลับดูเป็นธรรมชาติ สันกรามและสันจมูกที่คมชัด ผู้เป็นเจ้าของสัดส่วนรูปลักษณ์ที่ดูดีเกินมาตรฐานนั้น กำลังเปล่งเสียงทุ้มละมุนอยู่ภายในร้านอาหารของพวกเธอ