น้องวิทย์ กับคดีดินสอสีฟ้าที่หายไป

กระทู้สนทนา
น้องวิทย์ กับคดีดินสอสีฟ้าที่หายไป
 
            อีกาขนสีดำสนิทหลายตัว ยังคงบินตีวงส่งเสียงร้องดังลั่นฟังน่ากลัว อยู่บนท้องฟ้าภายนอกห้องเรียนชั้นอนุบาลสามทับหนึ่ง เด็กชายวิทย์ยืนนิ่งขรึมด้วยสีหน้าครุ่นคิด อยู่ที่ช่องหน้าต่างซึ่งมองเห็นอีกาเหล่านั้นได้อย่างพอดิบพอดีราวกับฉากในหนังสืบสวนสอบสวน

              นี่ถ้าหากบังเอิญว่าสภาพอากาศจะขมุกขมัว เมฆหนาครึ้มฟ้าครึ้มฝน มีฟ้าแลบฟ้าร้องขึ้นมาสักหน่อยนะ ก็ต้องบอกว่าเป๊ะเลยละ

              “ถึงอย่างไร ความจริงก็มีเพียงหนึ่งเดียว และผมก็จะเป็นคนไขข้อข้องใจนั้นเองครับ”

              แล้วเด็กชายตัวน้อยก็ประกาศกร้าวออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นใจ
 

              ก่อนหน้านี้เล็กน้อย...

              ในช่วงที่ใกล้จะหมดชั่วโมงเรียนวาดเขียน ขณะเด็ก ๆ ช่วยกันเก็บดินสอสีเข้ากล่อง เพื่อเตรียมตัวเปลี่ยนไปเรียนวิชาถัดไป พวกเราก็พบว่าดินสอสีฟ้าจากกล่องสีของน้องมายด์ เด็กหญิงตัวเล็ก ที่มีเอกลักษณ์เป็นผมเปียทั้งสองข้าง หนึ่งในสมาชิกของห้องอนุบาลสามทับหนึ่งได้หายไป

              ระหว่างที่ฉันและเหล่าบรรดาเพื่อน ๆ ของน้องมายด์ ช่วยกันรื้อค้นตามหาดินสอสีฟ้าแท่งนั้น ฉันก็แอบสังเกตเห็นว่า มีเพียงน้องวิทย์คนเดียวเท่านั้นที่แทบไม่ได้ทำแบบนั้นเลย แทนที่จะช่วยกันสอดส่องตามซอกโต๊ะ หลังตู้ เด็กชายกลับเอาเวลาไปเดินดูตรงนั้นทีตรงนี้ที แถมยังเดินไปคุยกับเพื่อนคนนั้นคนนี้แทนอีกต่างหาก

              ครูดาว...ครูประจำชั้นอนุบาลสามทับหนึ่ง ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงลาคลอดเคยเล่าและเอ่ยชื่นชมให้ฉันฟังอยู่บ่อย ๆ เกี่ยวกับความฉลาดของน้องวิทย์คนนี้ แค่นึกถึงคำพูดเหล่านั้นของครูดาว ฉันก็อดตื่นเต้นที่จะได้สัมผัส ได้เห็นด้วยตาตัวเองไม่ได้แล้ว

              น้องวิทย์เดินกลับมาหยุดยืนนิ่งตรงหน้าห้อง เริ่มแล้วสินะ มาเลย จะวิเคราะห์อย่างไร ฉันพร้อมฟังแล้ว

              “คดีนี้...เรื่องเริ่มจาก อั่งเปาที่อยู่กลุ่มเดียวกับน้องมายด์ เป็นคนที่สังเกตเห็นและพูดออกมาเป็นคนแรก ว่าสีไม้ของน้องมายด์หายไปแท่งหนึ่ง”

              ราวต้องมนตร์สะกด พอน้องวิทย์เริ่มพูด เด็กที่เหลือซึ่งกำลังกึ่งเล่นกึ่งหากันอยู่อย่างสนุกสนาน ก็พร้อมใจกันเงียบเสียงลง ก่อนจะทยอยเดินมาจับกลุ่มกันที่ตรงหน้าห้อง โดยมีเด็กน้อยผู้นี้เป็นศูนย์กลาง

              “น้องมายด์ไม่กล้าบอกใคร แต่อั่งเปาเห็นน้องมายด์ทำท่าจะร้องไห้ ชายชาตรีอย่างอั่งเปา ทนเห็นผู้หญิงร้องไห้ไม่ได้ อั่งเปาก็เลยบอกแทน”

              น้องอั่งเป่า เด็กน้อยตาตี่ อ้วนจ้ำม่ำจนแก้มเบียดปากสีชมพูดสดเสียจนเหลือเล็กนิดเดียว ยกมือขึ้นพร้อมให้ข้อมูล อย่างกับนัดคิวกันไว้อย่างไรอย่างนั้น

              “ก็น้องมายด์ยืมสีกล่องนี้มาจากพี่มิ้นท์ พี่มิ้นท์ต้องโกรธ แล้วก็ดุน้องมายด์แน่ ๆ เลย ที่น้องมายด์ทำสีหายไปแท่งหนึ่งแบบนี้”

              คราวนี้เด็กหญิงผมเปีย เจ้าของสีฟ้าที่หายไปให้ข้อมูลด้วยเสียงสั่นเครือบ้าง พี่มิ้นท์ที่ถูกกล่าวอ้างถึง หมายถึงพี่สาวแท้ ๆ ที่กำลังเรียนอยู่ชั้นประถมสอง ที่โรงเรียนเดียวกันนี่เอง

              น้องวิทย์ที่ฟังข้อมูลอย่างสงบหลับตาลงหน่อยหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ แล้วก็ลืมตาออกมาพร้อมด้วยรอยยิ้ม

              “เอาละ เราค่อย ๆ มาไล่เรียง แล้วก็สรุปกันเป็นข้อ ๆ ก็แล้วกัน”

              แหม...คำพูดคำจา การเว้นวรรค จังหวะจะโคน ท่วงท่าลีลาเป๊ะเหลือเกินเชียวนะ น้องวิทย์ของครู

              “ก่อนอื่น ถ้าสีไม้ของน้องมายด์ตกลงพื้นแล้วกลิ้งหายไปตามใต้โต๊ะ หลังตู้ หรือมีใครเห็นแล้วก็หยิบเอาไปวางไว้ตามโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ทำไมพวกเราตั้งยี่สิบคน ที่กำลังช่วยกันหาอยู่ ถึงหาไม่เจอกันสักที”

              ก็จริง ห้องเรียนห้องนี้ไม่ได้กว้างขวางอะไรขนาดนั้น แถมยังค่อนข้างจะโล่ง ๆ โปร่ง ๆ แทบไม่มีซอกมุมให้อะไรหลบซ่อนได้เลย ถ้าดินสอสีแท่งนั้นหล่นลงพื้น ก็น่าจะหาเจอไปแล้วอย่างที่ว่าจริง ๆ นั่นละ...เหลียวซ้ายแลขวาสำรวจสภาพห้องแล้ว ก็ต้องพยักหน้าคล้อยตาม

              “ก็แสดงว่า สีแท่งนั้นไม่ได้หล่นพื้น...”

              “จากความจริงข้อนี้ ก็คิดได้แบบนี้แบบเดียวครับ”

              น้องวิทย์พูดเสริมคำพูดของฉัน แล้วก็จับขยับกรอบแว่นสีดำ ทรงสี่เหลี่ยมหนาเตอะ ที่มีขนาดใหญ่ไปนิดเมื่อเทียบกับรูปหน้าของตัวเองอย่างมีสไตล์ แสงสะท้อนบนเลนส์แว่นตานั่น ทำเอาฉันรู้สึกคุ้นตาแปลก ๆ พิกลเหมือนกัน คล้ายกับว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

              “ถ้าสีไม้ไม่ได้กลิ้งตกพื้นจนหายไป ก็คิดได้แค่ว่า มีคนหยิบมันไปไว้ที่ไหนสักแห่ง แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจริง คนที่น่าสงสัยที่สุด ก็ไม่พ้นต้องเป็น อั่งเปา มิกซ์ เอ และใบข้าว คนใดคนหนึ่งจากสี่คนนี้เท่านั้น”

              น้ำเสียงของหนูน้อยนักสืบผ่อนหนักผ่อนเบาอย่างมีชั้นเชิง แต่แทนที่จะน่าเกรงขาม กลับทำให้ฉันรู้สึกว่าแบบนั้นก็น่ารักไปอีกแบบเหมือนกัน

              ทั้งสี่ชื่อที่น้องวิทย์พูดถึง ไม่ได้อ้างขึ้นมาแบบลอย ๆ แต่เป็นเพราะทั้งสี่คน คือเพื่อนร่วมกลุ่มระบายสีเดียวกันกับน้องมายด์นั่นเอง ทั้งหมดนั่งอยู่โต๊ะตัวเดียวกัน ใช้สีที่ฉันแจกให้กล่องเดียวกัน แต่พิเศษตรงที่กลุ่มนี้มีสีส่วนตัวของน้องมายด์มาด้วย

              ทั้งห้าคนก็เลยได้ใช้สีสองกล่อง ไม่ต้องแย่ง ไม่ต้องรอคิวใช้สีเดียวกันให้นานแบบกลุ่มอื่น ๆ เขา

              แต่ความสะดวกสบายอันนั้น ก็กลายเป็นปัญหาขึ้นมาเสียนี่

              ฉันหันมองไปทางเด็กน้อยทั้งสี่ ที่ยืนเกาะกลุ่มกันอยู่เยื้องไปทางซ้ายมือ เห็นเหล่าหนูน้อยเริ่มออกอาการเสียขวัญ ส่งสายตาวิบวับวิงวอนมาทางฉัน ก็ทำเอาอยากโผเข้าไปกอดปลอบขวัญเสียเหลือเกิน

              “หนูไม่ได้เอาไปนะคะ ครูแอน”

              น้องใบข้าวที่อาการหนักสุด แก้ตัวเสียงสั่นเครือ เบะปากแบบจวนเจียนจะร้องไห้ออกมาเต็มที

              “โอ๋ ไม่ร้องนะจ๊ะ เด็กดี ครูเชื่อว่าใบข้าวไม่ได้เอาไปจ้ะ” ทำเอาฉันถึงกับต้องรีบคว้าตัวหนูน้อยมากอดไว้ ก่อนที่เธอจะปล่อยโฮออกมาจริง ๆ

              “ปัญหาก็คือ ตอนที่พวกเราทั้งหมดช่วยกันหาดินสอสีฟ้าเมื่อกี้นี้ จากการสังเกต ผมไม่เห็นว่าใครมีพิรุธเลยสักคน เพราะฉะนั้น ถ้าจะบอกว่าหนึ่งในสี่คนนี้เป็นคนร้าย ที่เอาดินสอสีฟ้าของน้องมายด์ไป ก็น่าจะยังเร็วเกินไปที่จะสรุปแบบนั้น”

              โธ่ น้องวิทย์ขา ถ้ายังไม่ใช่ แล้วน้องวิทย์จะพูดแบบนั้นให้เพื่อน ๆ เสียขวัญทำไมล่ะคะ น้องวิทย์ต้องพูดประโยคนี้มาก่อนสิคะ เห็นไหมว่าเพื่อน ๆ จะร้องไห้กันยกกลุ่มหมดแล้วเนี่ย...ประโยคนี้ฉันแค่พูดในใจเท่านั้น ส่วนที่ทำก็แค่แจกยิ้มไปทั่ว ให้เหล่าเด็ก ๆ ได้สบายใจคลายกังวลเท่านั้น

              น้องวิทย์ขยับท่าจากยืนตัวตรงมากอดอก ยกมือข้างหนึ่งขึ้นจับบริเวณคางของตนเอง แล้วก็เอี้ยวเบี่ยงตัวไปนิดหน่อยอย่างรู้มุมกล้อง

              “แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น ใครกันล่ะ ที่เป็นคนหยิบดินสอสีไม้แท่งนั้นของน้องมายด์ไป โดยที่คนในกลุ่มตั้งห้าคนไม่มีใครรู้ใครเห็นเลย”

              จังหวะนี้ เด็กน้อยนักสืบก้มหน้าลงนิดหน่อย พูดเสียงเบาจนคล้ายพึมพำกับตัวเอง ทิ้งช่วงหน่อยหนึ่งแล้วจึงเงยหน้าขึ้น เหม่อมองออกไปทางนอกหน้าต่าง นิ่งจนคล้ายกำลังส่งกระแสจิตไปหาฝูงอีกาเบื้องนอก ซึ่งยังคงบินวนไปวนมา อยู่ตั้งแต่ช่วงกลางชั่วโมงเรียนวิชาวาดเขียนแล้ว

              “อีกา...อีกามาบินโฉบเอาไปหรือ” จู่ ๆ ความคิดนี้ก็แวบเข้ามาในหัวสมอง ทำเอาฉันโพล่งออกมาเสียงดังจนเด็ก ๆ หลายคนตกใจ

              อืม...ก็มีเหตุผลอยู่นะ ถึงจะไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเองก็เถอะ แต่เคยได้ยินจากผู้เฒ่าผู้แก่ว่ากัน ว่าอีกามีนิสัยชอบขโมย ชอบบินมาคาบนั่นคาบนี่เอากลับไปเก็บสะสมไว้ที่รังของพวกมันเอง

              ตอนที่เจ้าอีกาพวกนี้บินถลาเข้ามาภายในห้อง ก็ทำเอาเด็ก ๆ ตกใจ ชุลมุนจนปั่นป่วนกันไปหมดพักใหญ่ ๆ อยู่เหมือนกัน จนฉันต้องบอกให้ทุกคนรีบเก็บของ รวบรวมสมุดวาดเขียน เอากลับมาวางไว้บนโต๊ะครู ต้องเลิกวิชาเรียนกันกลางคันเลยทีเดียว

              “มีเหตุผลและความเป็นไปได้ แต่สมมติฐานนั้นยังมีจุดอ่อนอยู่ครับ”

              ฉันทำสีหน้าฉงน แต่เลือกที่จะนิ่งเงียบไว้ เพื่อปล่อยให้เด็กน้อยนักสืบได้พูดต่อ

              “หากมีอีกาตัวไหนบินมาคาบสีไม้ไปจริง มันก็ควรจะบินเอากลับไปเก็บไว้ที่รังมากกว่า แต่ตอนนี้...อีกายังมีหกตัวเท่าเดิม ไม่มีตัวไหนหายไปเลยครับ”

              คราวนี้ทำเอาฉันนึกทึ่งจริง ๆ ด้วยเพราะคิดไม่ถึงว่า นักสืบจิ๋วคนนี้จะช่างสังเกต ขนาดที่นับจำนวนอีกาเอาไว้ด้วย

              “เอ๊ะ...หรือว่า จะอยู่ที่โต๊ะครู ถูกหน้าสมุดวาดเขียนทับอยู่” คิดดูก็มีความเป็นไปได้เหมือนกัน ตอนที่เด็ก ๆ กำลังรีบเก็บของหนีอีกา ดินสอสีอาจติดอยู่ในหน้าสมุดวาดเขียน แล้วถูกเก็บรวบไปด้วยทั้ง ๆ อย่างนั้น

              “นั่นก็ไม่ใช่หรอกครับ เพราะผมตรวจหน้าสมุดวาดเขียนทั้งหมดแล้ว”

              ขณะที่ฉันกำลังนึกชื่นชมในความช่างจดจำ และความรอบคอบของนักสืบจิ๋วอยู่นั้น เด็กชายวิทย์ก็ได้เริ่มเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ โดยการก้าวเท้าไปยังโต๊ะครูที่ฉันเพิ่งพูดถึง หยิบสมุดวาดเขียนหลายเล่มขึ้นมาเปิดกาง กวาดสายตามองผ่าน ๆ แล้วก็เผยรอยยิ้มออกมา

              “เอาละ ได้เวลาคลี่คลายปริศนาแล้วครับ”

              เอาอีกแล้ว...ฉันเหมือนกับเห็นเลนส์แว่นตาของหนูน้อย สะท้อนแสงวิบวับออกมาอีกแล้ว

              “คดีนี้ จะว่าไปก็คล้ายการโจรกรรมเพชร ภายในห้องที่มีการคุ้มกันภัยอย่างแน่นหนา เป็นเวทมนตร์หรือไม่ก็ทริคของปีศาจร้ายอันคาดไม่ถึงครับ”

              หืม...เดี๋ยว เดี๋ยวนะ โจรกรรมเพชรอะไร ใครคุ้มกันแน่นหนา แล้วเวทมนตร์กับปีศาจร้ายนั่นมาจากไหน โอ๊ย ฉันคันปากยุบยิบไปหมด อยากตบมุกของเด็กน้อยชะมัด แต่ด้วยจรรยาบรรณและภาพลักษณ์ ฉันเลยทำแบบนั้นไม่ได้

              อีกอย่าง เดี๋ยวจะเสียรูปคดี เอ๊ย ไม่สิ เดี๋ยวพ่อนักสืบจิ๋วที่โดนเบรก อาจจะเขินจนขาดความมั่นใจไปก็ได้ต่างหากล่ะ

              “สีไม้ไม่ได้หล่นลงพื้น ไม่อยู่ตามตู้ โต๊ะ ซอกมุมต่าง ๆ อีกาก็ไม่ได้คาบเอาไปไหน แล้วดินสอสีฟ้าของน้องมายด์หายไปได้อย่างไร”

              หลังสรุปประเด็นทั้งหมดอีกครั้ง น้องวิทย์ก็หยิบชอล์กขึ้นมา เขียนกระดานเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวใหญ่เบิ้มสามตัวอย่างหนักแน่นมั่นใจ

              Q.E.D.

              สามตัวนี้ก็คุ้น ๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนเหมือนกันแฮะ

              “เอ่อ น้องวิทย์จ๊ะ เฉลยเลยดีกว่าไหม เพื่อน ๆ คงอยากรู้ แล้วน้องมายด์เอง ก็คงอยากได้สีคืนเต็มแก่แล้วละจ้ะ”

              แม้จะอยากตบมุกตัวอักษรสามตัวบนกระดานขนาดไหน แต่ก็ต้องหักห้ามใจแล้วตัดบท เพราะไม่แน่ใจว่าหากปล่อยให้ยืดเยื้อไปกว่านี้ จะมีการ์ตูนเรื่องไหนที่เหลืออยู่ปรากฏตัวออกมาอีกไหม ขืนเป็นอย่างนั้นเรื่องนี้ก็จะยาวออกทะเล จนหาทางกลับเข้าฝั่งไม่เจอแน่ ๆ

              “คนที่ทำให้ดินสอสีฟ้าของน้องมายด์หายไป ก็คือนายนั่นละ มิกซ์”

              อ้าว...บทจะเร็วก็เร็ว พอจะเฉลยก็เฉลยซะไม่ทันตั้งตัวเสียอย่างนั้น หันไปมอง น้องมิกซ์ที่เพิ่งถูกพาดพิงไปถึงกับตกใจจนหน้าถอดสีให้ได้เห็น

              “เราไม่ได้ขโมยนะวิทย์ เราไม่ได้เอาดินสอสีของเธอไปนะมายด์ ผมไม่ได้เอาไปนะครับ ครูแอน”

              แล้วก็เป็นอีกครั้ง ที่ฉันต้องรีบถลันตัวเข้าไปกอดปลอบเป็นการใหญ่ ก่อนที่น้ำตาของลูกผู้ชายที่ชื่อมิกซ์จะได้ทันไหลออกมาอาบแก้มยุ้ย ๆ ของเขา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่