หลังจากอิ่มตัวกับการเที่ยวญี่ปุ่นมาเกือบจะทั่วประเทศแล้ว ปี 2019 ผมมีโอกาสตามเพื่อนในกลุ่มถ่ายรูปไปจีนแล้วได้ค้นพบว่า ธรรมชาติที่จีนมันอลังการมาก ค่าใช้จ่ายก็ถูกกว่าญี่ปุ่นราว 30-40% เลย ช่วงนี้ก็เลยจะเริ่มไปเที่ยวจีนแทน ซึ่งทริปแรกที่ผมไปก็ซ้ำเส้นทางเดิมกับที่ไปเมื่อปี 2019 แต่คราวนี้ไปถึงย่าติงเลย (คราวก่อนจบแค่แชงกรีล่า)
เดิมทีว่าจะไปกัน 4 คนกับน้องๆผู้ชายในกลุ่มถ่ายรูปที่เที่ยวกันอยู่บ่อยๆ แต่ช่วงหาข้อมูลมีไปเข้าเพจเที่ยวจีนต่างๆ มีคนทักมาขอไปด้วย เลยได้สมาชิกผู้หญิงมาเพิ่มอีก 4 คนซึ่งแต่ละคนไม่รู้จักกันเลย และได้สมาชิกผู้หญิงมาจอยช่วงย่าติงอีก 2 คน
ประเทศจีน ต้องขอวีซ่าท่องเที่ยวก่อน ซึ่งวีซ่าได้ไม่ยาก มันยากตอนกรอกข้อมูลลงใบสมัคร เพราะรายละเอียดที่ต้องกรอกมันเยอะ และก่อนจะยื่นเอกสารได้ ต้องทำการจองตั๋วเครื่องบินและที่พักให้เรียบร้อยก่อน ส่วนเอกสารทางการเงินและการทำงาน ไม่ต้องใช้
ขั้นตอนการกรอกแบบฟอร์มวีซ่า รวมถึงการยื่นขอต่างๆ ลองหาดูตามเพจหรือคลิปยูทูปต่างๆได้ มีคนทำเอาไว้เยอะพอสมควร
หลังจากจองตั๋วเครื่องบินกันเรียบร้อยแล้ว ที่พักเราจองผ่าน Trip.com เพราะเป็นเอเย่นต์ที่มีที่พักในจีนให้เลือกเยอะสุด
ที่พักในจีนบางที่จะไม่รับคนต่างชาติ หากจองกับเอเย่นต์รายอื่น ควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่าคนต่างชาติสามารถเข้าพักได้ เพราะเคยมีหลายคนที่ไปถึงแล้วโดนปฏิเสธไม่ให้เข้าพัก ทำให้ต้องไปเสียเวลาหาที่พักใหม่
ทริปนี้บินโดยแอร์เอเชีย ออกจากดอนเมือง วันแรกไปลงคุนหมิงก่อน ค้าง 1 คืน ถ้าใครเวลาน้อย บินไปถึงแล้วจะต่อรถไฟความเร็วสูงไปต้าหลี่หรือลี่เจียงเลยก็ได้ หรือจะตัดตอน บินไปลงลี่เจียง ตอนนี้ก็มีไฟล์ทเปิดให้บริการแล้ว
เรานอนคุนหมิง 1 คืน วันแรกไปวัดหยวนทง (ซึ่งผมไม่ได้เข้าไป เพราะเคยเข้าไป 2 รอบแล้ว มานั่งกินไอติมรอสมาชิกคนอื่น ก็เลยไม่มีรูป) จากนั้นก็ไปประตูม้าทอง-ไก่เงิน เดินเล่นที่ Street Food ใกล้ๆกัน (พยายามหารูปที่ไม่ติดตัวเอง แต่ไม่ค่อยมีครับ ทนๆดูไปหน่อยละกันครับ)

ที่พักคืนนี้ที่คุนหมิง คนละ 375 บาท (ขี้เกียจทำรูปนะครับ เลยลงเป็นรูปเดี่ยวๆเลย)


มาถึงจีนแล้ว ต้องมาลองหมาล่าหม้อไฟกัน
ร้านนี้อยู่แถว Street Food นั่นแหละครับ เห็นคนเยอะและเนื้อวัวดูน่ากิน เลยเข้าไปลองกัน
สั่งเนื้อวัวกันเน้นๆ จ่ายไปคนละ 72 หยวน ทีเด็ดคือลูกชิ้นเนื้อ ถึงกับต้องกลับมาซ้ำอีกรอบตอนวันสุดท้ายของทริปเลยครับ







ช่วงนี้ที่จีน องุ่นออกเยอะ แวะซื้อข้างทางโลละ 10 หยวน รสหวานหอม แต่เปลือกจะฝาดหน่อย ถ้าจะกินให้อร่อยต้องลอกเปลือกออกก่อน
วันที่ 12 ออกเดินทางกันแต่เช้า ขึ้นรถไฟความเร็วสูงเพื่อไปต้าหลี่
มื้อเช้าเราก็กินง่ายๆแถวๆสถานีรถไฟความเร็วสูง





ก่อนจะมา เราจองตั๋วรถไฟความเร็วสูงกันผ่านแอป Railway12306 ซึ่งเป็นแอปของการรถไฟจีน
แอปนี้จะสามารถใช้ได้ทั้งภาษาจีนและอังกฤษ ซึ่งถ้าใช้เป็นภาษาจีน จะสามารถเลือกที่นั่งได้ และไม่มีค่าบริการเพิ่มเติม
อีกทางเลือกหนึ่งก็คือจองผ่านแอป Trip แต่จะเสียค่าบริการเพิ่มนิดหน่อย
การจองทั้ง 2 ช่องทาง จะสามารถจองและออกตั๋วได้แค่ 15 วันล่วงหน้าเท่านั้น และการจอง 1 บุ๊คกิ้ง จะใส่ชื่อได้แค่ 5 คน กลุ่มผมเลยต้องแบ่งจองเป็น 4:4 และถูกจับไปนั่งกันคนละตู้ แต่ยังดีที่ว่า แต่ละกลุ่มได้ที่นั่งติดกัน
กินมื้อเช้าเสร็จก็มาเตรียมขึ้นรถไฟกัน
ด้านหน้าและด้านในสถานีก็ประมาณนี้ครับ
ภายในตู้ขบวน ก๊อปชินคังเซนของญี่ปุ่นมาแทบจะ 100% เลย ไม่ว่าจะเป็นที่นั่ง โต๊ะพับด้านหน้า ที่แขวนเสื้อ ฯลฯ
อ่อ บนรถไฟมีน้ำร้อนให้ด้วย สามารถซื้อมาม่าถ้วยแล้วไปกดน้ำร้อนมานั่งกินได้ และก็ด้านล่างจะมีปลั๊กไฟให้เสียบชาร์จมือถือได้





ใช้เวลาไม่ถึง 3 ชั่วโมงเราก็มาถึงต้าหลี่ ลากกระเป๋าไปโรงแรม
ที่พักของเราคืนนี้อยู่ห่างจากประตูเมืองฝั่งใต้แค่ 100 กว่าเมตร
ถนนฝั่งนี้ร้านอาหารเยอะ มีอาหารให้เลือกหลากหลาย ไม่ต้องกลัวอดกันเลย
ห้องพักคืนนี้ เราจ่ายไปคนละ 340 บาท
นอนห้องละ 2 คน เตียงใหญ่มาก ผ้าม่านใช้สั่งเปิด-ปิดด้วยเสียง และสั่งเปิด-ปิดวิทยุด้วยเสียงเช่นกัน



มื้อกลางวันเราออกมากินกันใกล้ๆโรงแรม
จากนั้น นั่งรถเมล์สาย 4 ไปวัดฉงเซิ่ง หรือที่คนไทยจะรู้จักกันดีว่าวัด 3 เจดีย์
วัดฉงเซิ่ง เป็นวัดหลวงของผู้ครองเมืองต้าหลี่ จุดเด่นของวัดอยู่ที่เจดีย์สามองค์อันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองต้าหลี่ เจดีย์องค์ใหญ่ ลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยม สูง 69.13 เมตร มีทั้งหมด 16 ชั้น สร้างขึ้นพร้อมกับวัดฉงเซิ่งในสมัยราชวงศ์ถังตามความเชื่อที่ว่าโลกเป็นผืนสี่เหลี่ยม ส่วนเจดีย์อีกสององค์ถูกสร้างขึ้นมาในภายหลังในสมัยราชวงศ์ซ่งราว 100 ปีต่อมา รูปแบบเป็นทรงแปดเหลี่ยม สูง 43 เมตร มีทั้งหมด 10 ชั้น
แนะนำให้นั่งรถกอล์ฟขึ้นไปด้านบนแล้วค่อยๆเดินลงมาด้านล่างเพราะวัดนี้ใหญ่มาก ยอมเสียเงินขานึงดีกว่า เพราะถ้าเดินขึ้นไปน่าจะเหนื่อยมาก เนื่องจากเป็นทางเดินขึ้นเนินด้วย




เราใช้เวลากันที่วัดฉงเซิ่งกันตลอดช่วงบ่าย กว่าจะออกจากวัดก็ 6 โมงครึ่ง
นั่งรถเมล์กลับมาเมืองเก่า กินก๋วยเตี๋ยวคนละชาม ร้านนี้น้ำซุปอร่อยมาก แต่ร้านนี้ไม่มีแก้วน้ำให้นะครับ จะกินน้ำต้องใช้ชาม และมีน้ำให้กดดื่ม ซึ่งตอนแรกก็เข้าใจว่าเป็นชาจีนเย็น แต่พอจิบแล้วตื่นเลย เพราะมันเปรี้ยวมาก มันคือน้ำบ๊วยครับ

เสร็จแล้วก็มาเดินเล่นในเมืองเก่า คนค่อนข้างเยอะ ร้านค้าขายของกันคึกคัก
เจอร้านกาแฟอยู่หลายร้าน แต่ละร้านก็จะชงใส่ถ้วยเล็กๆมาให้นักท่องเที่ยวชิม
เท่าที่ชิมดูทุกเจ้า รสชาติเดียวกันหมด ออกถั่วๆหน่อย จะต่างกันก็ตรงความหวาน



เรานอนที่ต้าหลี่แค่คืนเดียว เพราะที่เที่ยวหลักๆก็มีแค่เมืองเก่า กับวัดฉงเซิ่ง ส่วนทะเลสาบเอ๋อไห่ ถ้าไม่ได้ล่องเรือก็ไม่มีอะไร
เช้าวันที่ 13 เราก็กลับไปสถานีรถไฟต้าหลี่เพื่อนั่งรถไฟความเร็วสูงต่อไปยังลี่เจียง
มีเหตุนิดหน่อยช่วงนี้คือ ผมใส่ข้อมูลของสมาชิกคนนึงผิด ดันเอานามสกุลไปใส่ในช่องเลขพาสปอร์ต เจ้าหน้าที่ตรวจเลยไม่ให้ผ่านไปขึ้นรถไฟ แต่ยังโชคดีที่มีเจ้าหน้าที่อีกคนมาช่วยประสานงานให้ ทำให้สามารถเปลี่ยนไปขบวนช่วงบ่ายได้แบบไม่เสียเงิน แต่คนที่ใส่ข้อมูลผิดต้องทิ้งตั๋วแล้วซื้อใหม่คนเดียว
ช่วงนี้เราแยกกันเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ไม่มีปัญหาก็ไปตามเวลาที่จองไว้ แล้วเดี๋ยวเย็นๆค่อยไปเจอกันที่ลี่เจียง ส่วนกลุ่มผมต้องรอรถไฟรอบบ่าย
เวลาพอมีเหลือ เลยหาที่เที่ยวฆ่าเวลากัน ก็ได้เจ้าหน้าที่คนเดิมพาไปหาร้านฝากกระเป๋าหน้าสถานีรถไฟ รู้สึกว่า คนจีนเค้ามีน้ำใจ พยายามช่วยเหลือนักท่องเที่ยวอย่างเราเต็มที่เลย
สมาชิกในกลุ่มเจอพิพิธภัณฑ์แห่งนึงซึ่งอยู่ไม่ไกลมาก ตอนแรกว่าจะนั่งรถเมล์ไป แต่ระหว่างที่กำลังหาว่านั่งรถเมล์สายไหนไป สมาชิกอีกคนในกลุ่มก็ลองกดเรียกรถ (คล้ายๆ Grab บ้านเรา) จากแอป Alipay ก็เลยได้ลองเรียกรถแบบนี้เป็นครั้งแรกของทริป ราคาก็ไม่แพง จ่ายไปราว 11 หยวน ซึ่งถ้านั่งรถเมล์ก็คนละ 3 หยวน รวมเป็น 12 หยวน แพงกว่าอีก





พิพิธภัณฑ์รัฐบาลเข้าฟรีนะครับ ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะเดินดูทั่ว
กินมื้อเที่ยงแล้วไปร้านกาแฟต่อ และก็เรียกรถกลับมาสถานีรถไฟ
กลุ่มผมมาถึงลี่เจียง 5 โมงครึ่ง นั่งรถเมล์ไปโรงแรม ที่พักอยู่นอกเขตเมืองเก่า โรงแรมที่จองไปไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อาศัยว่าราคาถูก ก็ทนๆนอนไปครับ มีแค่ที่ลี่เจียงที่โรงแรมแย่สุด นอกนั้นดีหมด

กว่าจะกินข้าวเสร็จก็มืดแล้ว เลยได้เดินเล่นเมืองเก่าตอนค่ำๆ เก็บรูปมาไม่เยอะ พาสมาชิกเดินขึ้นไปถ่ายรูปเมืองเก่าจากมุมสูง จากนั้นก็ลงมาเดินเล่นต่อกันในเมืองจนถึงเกือบ 5 ทุ่มถึงจะกลับโรงแรมกัน


[CR] ทริปคุนหมิง-ต้าหลี่-ลี่เจียง-แชงกรีล่า-ย่าติง :- 11-21 ตุลาคม 2566
เดิมทีว่าจะไปกัน 4 คนกับน้องๆผู้ชายในกลุ่มถ่ายรูปที่เที่ยวกันอยู่บ่อยๆ แต่ช่วงหาข้อมูลมีไปเข้าเพจเที่ยวจีนต่างๆ มีคนทักมาขอไปด้วย เลยได้สมาชิกผู้หญิงมาเพิ่มอีก 4 คนซึ่งแต่ละคนไม่รู้จักกันเลย และได้สมาชิกผู้หญิงมาจอยช่วงย่าติงอีก 2 คน
ประเทศจีน ต้องขอวีซ่าท่องเที่ยวก่อน ซึ่งวีซ่าได้ไม่ยาก มันยากตอนกรอกข้อมูลลงใบสมัคร เพราะรายละเอียดที่ต้องกรอกมันเยอะ และก่อนจะยื่นเอกสารได้ ต้องทำการจองตั๋วเครื่องบินและที่พักให้เรียบร้อยก่อน ส่วนเอกสารทางการเงินและการทำงาน ไม่ต้องใช้
ขั้นตอนการกรอกแบบฟอร์มวีซ่า รวมถึงการยื่นขอต่างๆ ลองหาดูตามเพจหรือคลิปยูทูปต่างๆได้ มีคนทำเอาไว้เยอะพอสมควร
หลังจากจองตั๋วเครื่องบินกันเรียบร้อยแล้ว ที่พักเราจองผ่าน Trip.com เพราะเป็นเอเย่นต์ที่มีที่พักในจีนให้เลือกเยอะสุด
ที่พักในจีนบางที่จะไม่รับคนต่างชาติ หากจองกับเอเย่นต์รายอื่น ควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่าคนต่างชาติสามารถเข้าพักได้ เพราะเคยมีหลายคนที่ไปถึงแล้วโดนปฏิเสธไม่ให้เข้าพัก ทำให้ต้องไปเสียเวลาหาที่พักใหม่
ทริปนี้บินโดยแอร์เอเชีย ออกจากดอนเมือง วันแรกไปลงคุนหมิงก่อน ค้าง 1 คืน ถ้าใครเวลาน้อย บินไปถึงแล้วจะต่อรถไฟความเร็วสูงไปต้าหลี่หรือลี่เจียงเลยก็ได้ หรือจะตัดตอน บินไปลงลี่เจียง ตอนนี้ก็มีไฟล์ทเปิดให้บริการแล้ว
เรานอนคุนหมิง 1 คืน วันแรกไปวัดหยวนทง (ซึ่งผมไม่ได้เข้าไป เพราะเคยเข้าไป 2 รอบแล้ว มานั่งกินไอติมรอสมาชิกคนอื่น ก็เลยไม่มีรูป) จากนั้นก็ไปประตูม้าทอง-ไก่เงิน เดินเล่นที่ Street Food ใกล้ๆกัน (พยายามหารูปที่ไม่ติดตัวเอง แต่ไม่ค่อยมีครับ ทนๆดูไปหน่อยละกันครับ)
ที่พักคืนนี้ที่คุนหมิง คนละ 375 บาท (ขี้เกียจทำรูปนะครับ เลยลงเป็นรูปเดี่ยวๆเลย)
มาถึงจีนแล้ว ต้องมาลองหมาล่าหม้อไฟกัน
ร้านนี้อยู่แถว Street Food นั่นแหละครับ เห็นคนเยอะและเนื้อวัวดูน่ากิน เลยเข้าไปลองกัน
สั่งเนื้อวัวกันเน้นๆ จ่ายไปคนละ 72 หยวน ทีเด็ดคือลูกชิ้นเนื้อ ถึงกับต้องกลับมาซ้ำอีกรอบตอนวันสุดท้ายของทริปเลยครับ
ช่วงนี้ที่จีน องุ่นออกเยอะ แวะซื้อข้างทางโลละ 10 หยวน รสหวานหอม แต่เปลือกจะฝาดหน่อย ถ้าจะกินให้อร่อยต้องลอกเปลือกออกก่อน
วันที่ 12 ออกเดินทางกันแต่เช้า ขึ้นรถไฟความเร็วสูงเพื่อไปต้าหลี่
มื้อเช้าเราก็กินง่ายๆแถวๆสถานีรถไฟความเร็วสูง
ก่อนจะมา เราจองตั๋วรถไฟความเร็วสูงกันผ่านแอป Railway12306 ซึ่งเป็นแอปของการรถไฟจีน
แอปนี้จะสามารถใช้ได้ทั้งภาษาจีนและอังกฤษ ซึ่งถ้าใช้เป็นภาษาจีน จะสามารถเลือกที่นั่งได้ และไม่มีค่าบริการเพิ่มเติม
อีกทางเลือกหนึ่งก็คือจองผ่านแอป Trip แต่จะเสียค่าบริการเพิ่มนิดหน่อย
การจองทั้ง 2 ช่องทาง จะสามารถจองและออกตั๋วได้แค่ 15 วันล่วงหน้าเท่านั้น และการจอง 1 บุ๊คกิ้ง จะใส่ชื่อได้แค่ 5 คน กลุ่มผมเลยต้องแบ่งจองเป็น 4:4 และถูกจับไปนั่งกันคนละตู้ แต่ยังดีที่ว่า แต่ละกลุ่มได้ที่นั่งติดกัน
กินมื้อเช้าเสร็จก็มาเตรียมขึ้นรถไฟกัน
ด้านหน้าและด้านในสถานีก็ประมาณนี้ครับ
ภายในตู้ขบวน ก๊อปชินคังเซนของญี่ปุ่นมาแทบจะ 100% เลย ไม่ว่าจะเป็นที่นั่ง โต๊ะพับด้านหน้า ที่แขวนเสื้อ ฯลฯ
อ่อ บนรถไฟมีน้ำร้อนให้ด้วย สามารถซื้อมาม่าถ้วยแล้วไปกดน้ำร้อนมานั่งกินได้ และก็ด้านล่างจะมีปลั๊กไฟให้เสียบชาร์จมือถือได้
ใช้เวลาไม่ถึง 3 ชั่วโมงเราก็มาถึงต้าหลี่ ลากกระเป๋าไปโรงแรม
ที่พักของเราคืนนี้อยู่ห่างจากประตูเมืองฝั่งใต้แค่ 100 กว่าเมตร
ถนนฝั่งนี้ร้านอาหารเยอะ มีอาหารให้เลือกหลากหลาย ไม่ต้องกลัวอดกันเลย
ห้องพักคืนนี้ เราจ่ายไปคนละ 340 บาท
นอนห้องละ 2 คน เตียงใหญ่มาก ผ้าม่านใช้สั่งเปิด-ปิดด้วยเสียง และสั่งเปิด-ปิดวิทยุด้วยเสียงเช่นกัน
มื้อกลางวันเราออกมากินกันใกล้ๆโรงแรม
จากนั้น นั่งรถเมล์สาย 4 ไปวัดฉงเซิ่ง หรือที่คนไทยจะรู้จักกันดีว่าวัด 3 เจดีย์
วัดฉงเซิ่ง เป็นวัดหลวงของผู้ครองเมืองต้าหลี่ จุดเด่นของวัดอยู่ที่เจดีย์สามองค์อันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองต้าหลี่ เจดีย์องค์ใหญ่ ลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยม สูง 69.13 เมตร มีทั้งหมด 16 ชั้น สร้างขึ้นพร้อมกับวัดฉงเซิ่งในสมัยราชวงศ์ถังตามความเชื่อที่ว่าโลกเป็นผืนสี่เหลี่ยม ส่วนเจดีย์อีกสององค์ถูกสร้างขึ้นมาในภายหลังในสมัยราชวงศ์ซ่งราว 100 ปีต่อมา รูปแบบเป็นทรงแปดเหลี่ยม สูง 43 เมตร มีทั้งหมด 10 ชั้น
แนะนำให้นั่งรถกอล์ฟขึ้นไปด้านบนแล้วค่อยๆเดินลงมาด้านล่างเพราะวัดนี้ใหญ่มาก ยอมเสียเงินขานึงดีกว่า เพราะถ้าเดินขึ้นไปน่าจะเหนื่อยมาก เนื่องจากเป็นทางเดินขึ้นเนินด้วย
เราใช้เวลากันที่วัดฉงเซิ่งกันตลอดช่วงบ่าย กว่าจะออกจากวัดก็ 6 โมงครึ่ง
นั่งรถเมล์กลับมาเมืองเก่า กินก๋วยเตี๋ยวคนละชาม ร้านนี้น้ำซุปอร่อยมาก แต่ร้านนี้ไม่มีแก้วน้ำให้นะครับ จะกินน้ำต้องใช้ชาม และมีน้ำให้กดดื่ม ซึ่งตอนแรกก็เข้าใจว่าเป็นชาจีนเย็น แต่พอจิบแล้วตื่นเลย เพราะมันเปรี้ยวมาก มันคือน้ำบ๊วยครับ
เสร็จแล้วก็มาเดินเล่นในเมืองเก่า คนค่อนข้างเยอะ ร้านค้าขายของกันคึกคัก
เจอร้านกาแฟอยู่หลายร้าน แต่ละร้านก็จะชงใส่ถ้วยเล็กๆมาให้นักท่องเที่ยวชิม
เท่าที่ชิมดูทุกเจ้า รสชาติเดียวกันหมด ออกถั่วๆหน่อย จะต่างกันก็ตรงความหวาน
เรานอนที่ต้าหลี่แค่คืนเดียว เพราะที่เที่ยวหลักๆก็มีแค่เมืองเก่า กับวัดฉงเซิ่ง ส่วนทะเลสาบเอ๋อไห่ ถ้าไม่ได้ล่องเรือก็ไม่มีอะไร
เช้าวันที่ 13 เราก็กลับไปสถานีรถไฟต้าหลี่เพื่อนั่งรถไฟความเร็วสูงต่อไปยังลี่เจียง
มีเหตุนิดหน่อยช่วงนี้คือ ผมใส่ข้อมูลของสมาชิกคนนึงผิด ดันเอานามสกุลไปใส่ในช่องเลขพาสปอร์ต เจ้าหน้าที่ตรวจเลยไม่ให้ผ่านไปขึ้นรถไฟ แต่ยังโชคดีที่มีเจ้าหน้าที่อีกคนมาช่วยประสานงานให้ ทำให้สามารถเปลี่ยนไปขบวนช่วงบ่ายได้แบบไม่เสียเงิน แต่คนที่ใส่ข้อมูลผิดต้องทิ้งตั๋วแล้วซื้อใหม่คนเดียว
ช่วงนี้เราแยกกันเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ไม่มีปัญหาก็ไปตามเวลาที่จองไว้ แล้วเดี๋ยวเย็นๆค่อยไปเจอกันที่ลี่เจียง ส่วนกลุ่มผมต้องรอรถไฟรอบบ่าย
เวลาพอมีเหลือ เลยหาที่เที่ยวฆ่าเวลากัน ก็ได้เจ้าหน้าที่คนเดิมพาไปหาร้านฝากกระเป๋าหน้าสถานีรถไฟ รู้สึกว่า คนจีนเค้ามีน้ำใจ พยายามช่วยเหลือนักท่องเที่ยวอย่างเราเต็มที่เลย
สมาชิกในกลุ่มเจอพิพิธภัณฑ์แห่งนึงซึ่งอยู่ไม่ไกลมาก ตอนแรกว่าจะนั่งรถเมล์ไป แต่ระหว่างที่กำลังหาว่านั่งรถเมล์สายไหนไป สมาชิกอีกคนในกลุ่มก็ลองกดเรียกรถ (คล้ายๆ Grab บ้านเรา) จากแอป Alipay ก็เลยได้ลองเรียกรถแบบนี้เป็นครั้งแรกของทริป ราคาก็ไม่แพง จ่ายไปราว 11 หยวน ซึ่งถ้านั่งรถเมล์ก็คนละ 3 หยวน รวมเป็น 12 หยวน แพงกว่าอีก
พิพิธภัณฑ์รัฐบาลเข้าฟรีนะครับ ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะเดินดูทั่ว
กินมื้อเที่ยงแล้วไปร้านกาแฟต่อ และก็เรียกรถกลับมาสถานีรถไฟ
กลุ่มผมมาถึงลี่เจียง 5 โมงครึ่ง นั่งรถเมล์ไปโรงแรม ที่พักอยู่นอกเขตเมืองเก่า โรงแรมที่จองไปไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อาศัยว่าราคาถูก ก็ทนๆนอนไปครับ มีแค่ที่ลี่เจียงที่โรงแรมแย่สุด นอกนั้นดีหมด
กว่าจะกินข้าวเสร็จก็มืดแล้ว เลยได้เดินเล่นเมืองเก่าตอนค่ำๆ เก็บรูปมาไม่เยอะ พาสมาชิกเดินขึ้นไปถ่ายรูปเมืองเก่าจากมุมสูง จากนั้นก็ลงมาเดินเล่นต่อกันในเมืองจนถึงเกือบ 5 ทุ่มถึงจะกลับโรงแรมกัน
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้