เด็กเทพวัดไผ่ตัน The Hero From Phaitan Temple ตอนที่ 13


ตอนที่  13  สาขาคำเขื่อนแก้วเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว

                ทีมงานของพวกเราทั้งหมดร่วมกันออกปฏิบัติงานล่วงเข้ามาถึงวันที่  7  ของการทำงานแล้ว  ทีมสำรวจพื้นที่มีความคืบหน้าเป็นอย่างมากพี่ทศกับพี่มดและบุญถมได้รวบรวมข้อมูลกลุ่มเกษตรกรรายย่อยที่เห็นด้วยกับการรวมตัวกันเป็นกลุ่มย่อยของบริษัทฯของเราได้แล้วประมาณ 5 กลุ่ม  มีเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูจำนวน  40 ราย  จำนวนหมูรวมแล้วประมาณ 500 ตัว  ส่วนทีมงานสืบราคาอาหารของผมกับปุ๊ก็เป็นไปได้ด้วยดีถึงอาจจะมีอุปสรรคบ้างเล็กน้อยแต่พวกเราสามารถช่วยกันแก้ปัญหาได้เป็นอย่างดี  จนได้ราคาอาหารสัตว์ในราคาส่งทุกยี่ห้อในตัวเมืองยโสธรเป็นที่เรียบร้อย  วันนี้ในช่วงบ่ายเรามีนัดประชุมกันที่สำนักงานสาขาคำเขื่อนแก้ว  ผมกับปุ๊เราทำงานสำเร็จแล้ว  ได้ราคาอาหารหมูมาครบหมดแล้วซึ่งกว่าจะได้มาก็ไม่ง่ายเลยต้องใช้ความสามารถและไหวพริบของตนเองเป็นอย่างมาก  
                “ปุ๊จ๋า...เราได้ราคามาครบแล้วใช่ไหมครับ” ผมถาม 
                “ใช่ค่ะ” ผมถามต่อ “ตอนนี้กี่โมงแล้วครับ”  “ตอนนี้เที่ยงครึ่งคะ” ปุ๊ตอบ 
                “คุณหิวไหม” ผมถามอีก “หิวสิคะ” ปุ๊ก็ตอบมา  
                “ผมก็หิว...เอาอย่างนี้นะเราหาอะไรกินกันก่อนดีกว่า..ผมเห็นมีร้านเปิดอยู่ข้างทางลึกลงไปหน่อยเปิดอยู่ข้างริมห้วยระหว่างทางไปลุมพุกนี่แหล่ะผมว่าน่าสนใจดีนะเราลองไปดูกันไหม” ผมบอกปุ๊ 
               “คุณรู้ได้ไงว่ามี” ปุ๊สงสัย 
               “ก็ผมเป็นคนขี่รถก็ต้องสังเกตทุกซอกทุกมุมระหว่างการเดินทางเพื่อให้เกิดความปลอดภัยนะซิครับ” ผมบอก   “ทำไมปุ๊มองไม่เห็น”  ปุ๊สงสัยอีก  
               “ก็คุณเอาแต่กอดเอวซบไหล่ผมมาตลอดทางจะเห็นได้ไงแถมบางทีก็แอบหลับด้วย” ผมหยอก 
               “คุณนี่นะ!..ก็ฉันกลัวนี่”  ปุ๊ตอบแบบอายๆ   
               “ช่างเถอะๆเรารีบไปดูกันดีกว่านะ” ผมตัดบท 
               “ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปเลยซิคะคุณหมอ”  พวกเราใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาทีก็มาถึงจุดหมาย  
               “ที่นี่นะหรือคะโอ้โฮ...บรรยากาศดีจริงๆเลย...คุณไม่เห็นเคยบอกปุ๊เลยว่ามีที่แบบนี้ด้วย” ปุ๊พูดแบบงอนเล็กน้อย  
               “ผมก็กะเอาไว้เซอร์ไพรส์คุณยังไงล่ะหลังจากที่เราทำงานสำเร็จแล้ว...เป็นไงถูกใจไหม” ผมพูดแล้วยิ้มอย่างผู้ชนะ  
               “คุณนี่นะจอมเจ้าเล่ห์  จอมวางแผน”  ปุ๊ค่อนแคะ  
               “อีกอย่างนะครับ...จอมใจจอมโจรยังไงล่ะครับ” ผมหยอกไม่เลิก 
               “ไปเร็วคุณไปสำรวจว่าเขามีอะไรขายบ้าง”  เราเดินคู่กันไปเพื่อสำรวจ  ดูแล้วสถานที่แห่งนี้เหมือนเป็นตลาดย่อยๆมีของพื้นเมืองมาวางขายหลายอย่าง  ผมกับปุ๊เข้าไปหาอาหารกินก่อน   พออิ่มแล้วจะเหลือรึครับ  แม่เสือเล่นเดิน    ช็อปปิงของกินพื้นเมืองเอาซะเพลินไปเลยได้ทั้งเห็ด ทั้งผักแล้วก็ของอะไรอีกเยอะแยะบอกว่าจะเอาไปทำเป็นอาหารเย็น  ตามสบายเถอะครับแม่คุณ  
               “นี่ไงคะคุณของพื้นบ้านทั้งนั้นเลยไม่เจอแบบนี้มานานแล้วนะของพวกนี้ไม่ได้จะหากินได้ง่ายๆนะจะบอกให้   เย็นนี้ปุ๊จะแสดงฝีมือเป็นแม่ครัวลูกแม่น้อยให้เต็มที่ไปเลยจะได้ทำเผื่อพวกพี่ๆเขาด้วยดีไหมคะ” ปุ๊บอก 
               “เออ...ดีครับว่าแต่ของทั้งหมดนี่ราคาเท่าไหร่เหรอครับ” ผมถามเหงื่อเริ่มโผล่มาซิบๆ 
               “ทั้งหมดนี่ราคา  250 บาทค่ะปุ๊จ่ายไปแล้วล่ะ”  โล่งอกไปทีนึกว่ากูจะต้องเป็นลมรอบสองซะแล้ว  
               “ปุ๊จ๋า...ได้ของครบหมดแล้วใช่ไหมครับ...นี่ก็บ่ายสองโมงแล้วนะผมว่าเรากลับกันเถอะนะ...เดี๋ยวอาจจะมีประชุมต่อ” ผมบอก 
               “ได้เลยคะคุณหมอสุดที่รัก”  ได้ของดั่งใจแล้วผมกลายเป็นสุดที่รักขึ้นมาเชียว  เราออกเดินทางกลับสำนักงานใช้เวลาประมาณ 20 นาที  เห็นทีมของพี่ทศรออยู่ก่อนแล้ว  แม่เสือดีใจรีบเอาของไปโชว์ในทันที  พี่มดเห็นแล้วทำตาโต  
               “ปุ๊ไปซื้อมาจากไหนของหากินยากทั้งนั้นเลยนะนี่”  
               “ต้องขอบคุณหมอหนึ่งค่ะเขาพาแวะตลาดเล็กๆริมห้วยข้างทางก็เลยเจอผักพื้นบ้านพวกนี้ปุ๊เลยเหมาซื้อมาหมดเลยกะว่าจะเอามาทำเป็นกับข้าวให้พวกเรากินกันตอนมื้อเย็นนี่ล่ะค่ะ”  ปุ๊อวด  
              “ถ้าอย่างนั้นดีเลยพี่จะช่วยปุ๊ทำเองนะ” พี่มดบอก 
              “ก็ดีซิคะ”  พี่มดอาสาเป็นผู้ช่วยปุ๊ผมสังเกตดูเห็นพี่มดเธอตื่นเต้นมากที่จะได้ทำอาหารในครั้งนี้   ใช่ซินะของพื้นบ้านแบบนี้ไม่ใช่จะหากินกันได้ง่ายๆนึกแล้วคิดถึงอาหารพื้นบ้านภาคเหนือบ้านของผมที่แม่ทำให้กินจังเลย  ไม่รู้พ่อกับแม่เป็นยังไงบ้างนะคงต้องเขียนจดหมายไปหาซะแล้วจะได้บอกข่าวดีเรื่องว่าที่ลูกสะใภ้ให้พ่อกับแม่ได้รับรู้ด้วยแล้วเราต้องไม่ลืมแนบรูปภาพว่าที่ลูกสะใภ้ให้พ่อกับแม่พิจารณาด้วย..หึๆๆๆ  ผมกำลังคิดเพลินๆ  แล้วพี่มดก็ถามขึ้นว่า 
              “หนึ่งเธอรู้จักที่แบบนี้ได้ยังไงไม่เห็นมาบอกพี่บ้างเลย”  พี่มดมีเคือง  
              “เอ่อ...คืออย่างนี้ครับพี่ตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นร้านขายอะไรผมเข้าใจว่าแค่ร้านส้มตำธรรมดาที่เปิดขายข้างริมห้วยเพื่อเอาบรรยากาศแค่นั้นกระมัง  ผมขี่รถไปตัวเมืองทุกวันผ่านทุกวันแต่ไม่ได้สนใจ  ขนาดปุ๊ยังไม่รู้เลยเพราะกอดซบไหล่ผมแล้วหลับเธอเลยไม่เคยเห็น  แต่วันนี้ผมกับปุ๊เราทำงานของเราสำเร็จแล้วได้ราคาอาหารสัตว์ครบทุกรายแล้ว  ขาจะกลับมาสำนักงานปุ๊บ่นว่าหิวข้าวผมก็เลยนึกขึ้นได้ว่ามีร้านส้มตำเล็กๆเปิดอยู่ข้างทางแต่จะลึกลงไปหน่อยอยู่ติดริมห้วยผมก็เลยพาปุ๊ลงไปหาของกินไม่นึกเลยพอปุ๊ไปเห็นเท่านั้นล่ะครับตกตะลึงเป็นการใหญ่แล้วเป็นอย่างที่เห็นนี่ล่ะครับ  รายละเอียดของสินค้าพี่ไปถามปุ๊เองเถอะครับเพราะผมไม่รู้จักของพวกนี้เลย” ผมเล่าให้พี่มดฟัง 
              “จ้ะๆๆขอบใจมากนะที่เล่าให้พี่ฟังเดี๋ยวพี่จะไปคุยกับปุ๊เองนะจ้ะ”  “ครับผม”  ผมมองตามสองสาวไปในครัวเห็นสาวสองคนมีความสุขจริงๆกับอาหารพื้นบ้านที่ได้มาใหม่  นี่คงจะเป็นอาหารพื้นบ้านที่หากินได้ยากของทางภาคอีสานจริงๆ  ก็คงเหมือนกับภาคเหนือบ้านเรานั่นแหล่ะ  ผมปล่อยให้สองสาวทำกับข้าวไปแล้วผมก็เดินออกมาด้านหน้าในสำนักงานเห็นพี่ทศกับไอ้ถมนั่งคุยกันอยู่  
              “อ้าว..ไอ้หนึ่งมานั่งด้วยกันซิ”  ผมเดินเข้าไปนั่งด้านตรงข้ามพี่ทศ  
              “ว่าไงพี่มีความคืบหน้าอะไรไหม” ผมถาม 
              “แล้วของล่ะเป็นไงบ้าง”  “ของผม 100 %  เต็มครับรอส่งข้อมูลให้ทางสำนักงานใหญ่ทราบเพื่อจะได้กำหนดราคาขายในพื้นที่ให้เราเท่านั้น” ผมรายงานพี่ทศ 
              “เยี่ยมเลยไอ้เสือ  ของพวกพี่ได้รวบรวมข้อมูลกลุ่มเกษตรกรรายย่อยที่เห็นด้วยกับการรวมตัวกันเป็นกลุ่มย่อยของบริษัทฯของเราได้แล้วประมาณ 5 กลุ่ม  มีเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูจำนวน  40 ราย  จำนวนหมูรวมแล้วประมาณ 500 ตัว” พี่ทศบอก 
              “ถ้าอย่างนี้ก็เจ๋งเลยซิพี่หมูตั้ง  500 ตัวเหมือนฟาร์มขนาดใหญ่เลยนะพี่” ผมพูด  
              “แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่ามันไม่ได้มารวมตัวกันเป็นฟาร์มใหญ่นะซิวะเค้าก็เลี้ยงของใครของมัน”  พี่ทศทำหน้าหนักใจ  
              “อย่างนี่แหล่ะดีพี่เลี้ยงของใครของมันถ้าบังเอิญมีกรณีเกิดโรคระบาดจากเล้านี้  เล้าอื่นๆจะได้ปลอดภัยเพราะไม่ได้เลี้ยงรวมกันเราก็พอจะมีเวลาเตือนภัยให้เจ้าอื่นๆรู้แล้วช่วยกันป้องกัน  ส่วนเล้าต้นเหตุเราจะต้องมีมาตรการรักษาและควบคุมโรคอย่างเต็มที่ไม่ให้เกิดการระบาดไปยังพื้นที่ข้างเคียง  แต่ถ้าเป็นโรคระบาดที่ต้องควบคุมตามกฎหมายเราจะต้องรายงานให้ปศุสัตว์อำเภอทราบในทันที” ผมบอก  
              “เอ๊ย!...มันจะไม่เป็นเรื่องใหญ่รึวะถึงกับแจ้งปศุสัตว์เลยเหรอ” พี่ทศตกใจ  
              “มันจำเป็นพี่พวกเขาต้องรู้เพราะเป็นเขตรับผิดชอบของเขา  พี่จำไม่ได้เหรอว่าผมเรียนจบอะไรมา  นักศึกษาสัตวแพทย์กรมปศุสัตว์รุ่นที่ 59  นะครับพี่  รุ่นพี่ของผมมีทุกอำเภอ  ทุกจังหวัด  จะเข้าไปขอความช่วยเหลือเมื่อไหร่ก็ได้  พวกเราเป็นระบบ SOTUS  พี่เดือดร้อนน้องช่วย  น้องเดือดร้อนพี่ยิ่งต้องช่วย  เสียอย่างเดียวผมยังไม่มีโอกาสได้เข้าไปสวัสดีและทำความรู้จักกับพวกพี่ๆที่ สำนักงานปศุสัตว์  อ.คำเขื่อนแก้วเลย  เพราะเวลามันกระชั้นชิดเกินไป” แล้วผมก็พูดต่อ  
                “เอาอย่างนี้นะ...พี่ทศถ้าวันไหนว่างจากการทำงานแล้วผมว่าจะชวนพี่  ไอ้ถม  และ 2 สาวไปสวัสดีท่านปศุสัตว์อำเภอกันหน่อยเตรียมของที่ระลึกซักชิ้นหนึ่งเป็นของสวัสดีเพื่อทำความรู้จักกับท่านดีไหมพี่...ผมเป็นทัพหน้าเองเมื่อทำความรู้จักกันแล้วผมจะเป็นคนเล่าถึงวัตถุประสงค์ว่าที่เรามาที่นี่เพราะอะไรหลังจากนั้นพี่ทศต้องเล่าทุกอย่างที่เขาอยากจะรู้ให้เขาฟังอย่าโกหกเป็นอันขาด  แล้วทุกอย่างมันก็จะง่ายขึ้นและราบรื่น  ผมพูดอย่างนี้พี่คงพอเข้าใจนะ”  พี่ทศนั่งอึ้งสายตามองมาที่ผมแม้แต่บุญถมก็มองมา   แล้ว 2 สาวก็ยกอาหารมาผมไม่รู้จักเลยว่าเป็นอะไรบ้าง  แต่กลิ่นหอมน่ากินมากๆ  
                “ทุกคนเป็นอะไรกันไปเหรอคะทำไมนั่งนิ่งกันเชียว”  พี่มดถามขึ้นมา  แล้วพี่ทศกับไอ้ถมก็ชี้มาที่หน้าผมแล้วพูดเบาๆว่า  
                “ไอ้เทวดา...ไอ้เทวดา”  จนปุ๊ต้องเคาะโต๊ะเบาๆเพื่อสะกิดทุกคนจึงได้สติ  
                “นี่มันเกิดอะไรกันขึ้น...อธิบายมาเดี๋ยวนี้เลยนะเทวดาอะไรไม่เห็นรู้เรื่อง”  ที่ทศยังตะลึงไม่หายพูดว่า 

                (มีให้อ่านต่อครับ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่