ผีเฝ้าบ้าน

กระทู้สนทนา
ยายแดง คือชื่อของน้องสาวเจ้าของบ้านหลังหนึ่ง
และเป็นญาติมีศักดิ์เป็นญาติทางฝ่ายย่าของผู้เขียน
แกมีสามีและลูกหนึ่งคน ยายแดงไม่ได้อยู่ที่บ้านมาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้
เพราะผู้เขียนเกิดและโตขึ้นมาจนอายุสิบปีก็ไม่เคยได้เจอแก  

จนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิตยายแดงนั่นแหล่ะ
ถึงไดรู้จักว่าจริงๆแล้วบ้านแกก้คือหลังนี้ เพราะตั้งแต่เกิดและโตมาก็รู้จักแค่ยายติ๋มเท่านั้น

ในวันนั้นบ้านหลังนี้มีการขนศพมาที่บ้าน
คือมารู้ในภายหลังว่าแกป่วยเป็นมะเร็งแล้วเสียชีวิตที่กรุงเทพ
บรรยากาศงานศพของชนบทในสมัยเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว
มันช่างหดหู่และน่ากลัวมากกว่าสมัยปัจจุบันนี้
แต่สิ่งที่ยังคงเหมือนกันนั่นก้คือ  ความเศร้าของผู้ที่สูญเสีย ยังคงเศร้าโศกเหมือนเดิม

ยายแดงที่แกเสียชีวิตนั้นทราบภายหลังว่าแกป่วยด้วยโรคร้าย
ที่คนยุคนั้นกลัวและรังเกียจซึ่งก็ยังไม่มียาใดๆทำการรักษาให้หายขาดได้เลย  
ลักษณะบ้านของแกนั้นจะเป็นบ้านที่ยกพื้นสูงด้านบนบ้านจะเปิดโล่งถึงกันหมด
และมีชานออกมาเพื่อเป็นที่วางโอ่งน้ำและเป็นพื้นที่ครัว
ส่วนฝาบ้านจะเป็นฝาขัดแตะตามแบบบ้านทั่วไปของทางภาคอิสานในยุคนั้น
โดยที่ชาวบ้านเขาจะเอาศพไว้บนบ้านให้ตรงกับขื่อ โดยหันหัวไปทางทิศตะวันตก
และมีการเอาเชือกที่ใช้ผูกควายเส้นสีแดงๆมาผูกล้อมบริเวณที่ตั้งศพ  
เพื่อป้องกันไม่ให้คนเดินลอดใต้ถุนในบริเวณที่โลงศพตั้งอยู่
โดยมีความเชื่อว่า ผีจะตามมาและนำความไม่ดีมาให้คนที่ลอดใต้โลง
หรือที่ชาวบ้านเขารียกว่า คะลำ ซึ่งเป็นคความเชื่อมาตั้งแต่สมัยโบราณ

พูดถึงงานศพยายแดง ในวันนั้นมีผู้คนมาในงานค่อนข้างข้างเยอะ
เหตุการณ์ทุกๆอย่างผ่านไปตามปกติไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
จนกระทั่งการเผาศพเสร็จเรียบร้อย ตกค่ำมาจะมีงานเฮือนดี
วัยรุ่นหนุ่มสาว ชาวบ้านก้จะมารวมกันที่บ้านงาน
มีการละเล่นต่างๆเป็นเพื่อนจ้าภาพงานศพเพื่อไม่ให้บรรยากาศมันเงียบเหงา
ช่วงเวลาประมาณสองหรือสามทุ่มพระสวดสร็จเรียบร้อย พรมน้ำมนต์เรียบร้อย
ก็จะมาการวงสายสิญจ์รอบบ้านซึ่งตัวผู้เขียนก็ได้รับการบอกเล่าในวัยเด็ก
ว่าป้องกันผีกลับมาก่อกวนคนในบ้าน จะจริงเท็จยังไงอันนี้ไม่ทราบ วานผู้รู้ช่วยตอบที  

หลังจากที่พระกลับไปวัด ชาวบ้านก้พูดคุยกันเป้นกลุ่มๆ มีการเล่นการพนันกัน
อยู่ดีๆ ยายติ๋มซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน และป็นพี่สาวของคนตาย
ก็ลุกขึ้นดึงสายสิญจ์ออกแล้วพูดจาเสียงดังบอกว่า
"อีแดงเข้าบ้านมาเลย เข้ามาหักคอมันเลย หักคอผัวถ้าผัวลูกกลับมาบ้าน อย่าให้มันได้อยู่ที่นี่"

ท่ามกลางชาวบ้านที่ตกอกตกใจในการกระทำนี้โดยไม่มีใครคาดคิด
คนเฒ่าคนแก่บางคนที่พอหายตกใจก็บอกให้ยายติ๋มใจเย็นและอย่าทำแบบนี้
แต่สรุปคืนนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น งานผ่านไปสามวันตามกำหนด
เมื่อครบสามวันแล้วก็ไม่มีการจัดงานอะไรต่อ  
ในตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดก็คงมีการจัดงานแจกข้าว หรือหงายพาข้าว ตามความเชื่อ
เพื่ออุทิศให้ผู้ตายเรียบร้อยไปเลย
เนื่องจากทั้งครอบครัวนี้ไม่ได้อยู่อาศัยที่นี่มาค่อนข้างนาน
เพราะไปทำมาหากินที่สมุทรปราการหลายปีแล้ว
ก่อนจะกลับไปทำงานก็มีการพูดคุยกับญาติคนอื่นๆพื่อจะขายบ้านขายที่ดิน
เหตุการณ์ในบ้านหลังนั้นก็ปกติดีเรื่อยมา
จนกระทั่ง มีเสียงพูดของชาวบ้านที่เริ่มพูดกันเยอะขึ้นถึงเหตุการณ์ต่างๆบนบ้านหลังดังกล่าว

บางคนก็ถามว่าอิติ๋มยังไม่กลับไปทำงานเหรอ เห็นเดินบนบ้านดึกๆดื่นๆ
บางคนก็บอกว่ามีเสียงทำกับข้าว เสียงเคาะอะไรโป้กเป้กๆดึกดื่นๆ
แต่ก้ได้คำตอบจากบ้านติดกันว่าเขาไปตั้งนานแล้วบ้านนี้ไม่มีคนอยู่
ชาวบ้านเลยเชื่อว่านี่คือผียายแดงหรือเปล่าที่ยังคงอยู่เฝ้าบ้าน
และขึ้นมาที่บ้านตามคำบอกของพี่สาวคือยายติ๋ม

กล่าวถึงเหตุการณ์ในวันที่ยายติ๋มดึงสายสิญจ์ออกหลังจากที่พระสวดมงคลที่บ้านเสร็จ
ในวันเผาศพ สาเหตุเนื่องมากจากแกโกรธน้องเขยของแกกับหลาน
ที่เมียตายก้ไม่แม้แต่จะมางานศพทั้งที่ตัวเองนำเอาโรคมาติดเมียตามที่ยายติ๋มแกเชื่อแกเข้าใจ
ส่วนหลานๆนั้นก็ไม่มางานศพแม่เหมือนกัน เลยดึงสายสิญจ์ที่ล้อมบ้านออก
แล้วเรียกวิญญาณของน้องกลับมาบ้าน
แกเลยโกรธที่ทุกคนกลับทิ้งแม่ทิ้งเมียไป

ในกลางคืนวันหนึ่ง ท่ามกลางฤดูหนาว ช่วงประมาณปี พศ 2540
มีข่าวหนาหูเกิดขึ้นในกลุ่มของชาวบ้านที่นี่อีกครั้ง เนื่องจากตาทอน
ซึ่งมีบ้านติดกับบ้านยายติ๋ม  และเป็นเฒ่าคนแก่ที่ชาวบ้านนับหน้าถือตามาก
เพราะเป็นผู้อาวุโสในหมู่บ้าน รวมถึงยังเป็นช่างตีเหล็กประจำหมู่บ้าน
และมีชื่อเสียงด้านตีเหล็กดังไปในจังหวัดไกล้เคียงอีกด้วย
คือในคืนวันหนึ่งแกได้ยินเสียงคนเดินไปเดินมาบนบ้านยายแดง
หลังจากที่ไม่เคยเกิดเหตุการณ์อะไรมานานมาก
ด้วยเกิดสงสัยเกรงว่าจะเป็นขโมยหรืออย่างไร แกเลยถือไฟฉายไปส่องดู
แต่เนื่องด้วยฝาบ้านของยายติ๋มนั้นมันเป็นฝาบ้านแบบไม้ขัดแตะบังอยู่ทำให้มองไม่เห็น  
ตาทอนก็เลยจัดการง้างแงะแกะฝาออกให้พอดีกับหัวเพื่อจะได้มองเห็น
ว่าเกิดอะไรขึ้นบนบ้าน จากนั้นก้จัดการส่องไฟเข้าไป  
ภายในความมืดของฤดูหนาวยามดึกสงัด ที่มีเพียงแค่ตาทอนที่พบเจอ
กับความน่าสงสัยบนบ้านหลังนี้

ค่ำคืนของชนบทสมัยก่อนนั้นซึ่งถือว่าไม่ได้เจริญเหมือนวันนี้
มองไปทางไหนมีแต่ป่าและทุ่งนา ในระหว่างที่ตาทอนกำลังส่องไฟไปบนบ้านยายติ๋ม
จู่ๆหมาตามสี่แยกก็ส่งเสียงหอนกันขรม ยิ่งดุวังเวงมากกว่าเดิม
ผู้เฒ่าวัย 83 ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านอะไรกับสรรพเสียงเหล่านั้น
ยังคงส่องไฟอย่างตั้งใจหวังจะหาเจ้าของเสียงบนบ้านว่าใครกันแน่  
ในที่สุดก็ได้ส่องไฟไปตรงชานบ้านที่มีตุ่มน้ำเอาไว้ทำครัวบนบ้านหลังนั้น
วงกลมของแสงไฟฉายได้ไปกระทบกับร่างร่างหนึ่ง เป็นผู้หญิงผ่ายผอม
ตามคำบอกเล่าของผู้เฒ่าทอน เป็นผู้หญิงที่เดี๋ยวลุกเดี๋ยวนั่ง
บางครั้งก็เดินวนไปวนมาบนบ้าน ในช่วงเวลานั้นเฒ่าทอนได้เอ่ยขึ้นมาว่า
"อีแดง ยังอยู่เหรอ ไปได้แล้ว มารอคอยใครที่นี่ ผัวลูกเขาไม่มาหรอก
บ้านนี้เขาจะขายทิ้งหมดแล้วมานั่งรอคอยใครที่นี่ มีที่ให้ไปก้ไปตามทางเถอะแดงเอ้ย"
พอจบคำนี้ ผู้หญิงคนดังกล่าวได้หันมาหาตาทอน แล้วหลบหายไปตรงมุมเสาบ้าน
แกก็สาดไฟฉายตามหาจนทั่วบ้านก็ไม่เห็นว่าจะมีใคร จึงมั่นใจแล้วว่าที่แกคุยด้วยที่แกบอกนั่นน่ะ
คือผียายแดงแน่นอน  เรื่องนี้ถูกเล่าเอาไว้ตอนที่แกตีเหล็กในวันถัดมาให้กับชาวบ้านได้ฟังกัน
จนกลายเป็นเรื่องร่ำลือกันทั้งหมู่บ้านในยุคนั้น  

มีอีกเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้น ก็คือเพื่อนของผัวยายแดง
แต่ก็เป็นหลานยายติ๋มหลานยายแดงโดยตรงกลับมาจากกรุงเทพ
แล้วไม่กลัวเพราะคิดว่าตัวเองนั้นคือลูกหลานบ้านหลังนี้
ก็ไม่ได้คิดอะไรหรือฟังคำเตือนชาวบ้าน
ก็ขึ้นไปนอนบนบ้านหลังนี้  ตกดึกตาทอนได้ยินเสียงดังอื้กกกๆๆๆ
เหมือนคนนอนกรนแต่มันมีการดิ้นขลุกขลักเสียงดังตึงตัง
จนตาทอนต้องขึ้นไปปลุก ถึงได้รู้ว่า ระหว่าที่นอนอยู่นั่น
ยายแดงเดินมาจากไหนไากไหนไไม่รู้ มายืนท้าวสะเอวตรงหน้า
แล้วถามว่า ผัวกูอยู่ไหน พร้อมกับเหยียบหน้าอกอาอี๋ ที่ไปนอนบนบ้านหลังนั้น
กระทืบพลักๆ จนแทบจะตายรอมร่อ จนกระทั่งตาทอนมาปลุกถึงได้ตกใจสะดุ้งหลุดออกมา
ถึงกับโพล่งมาว่า "โอ้ยยยพ่อผีอีแดงหลอกข่อยย"

นี่คือเรื่องราวทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตหลายสิบปีที่ผู้เขียนพยายามเรียบเรียง
จากความทรงจำที่ค่อนข้างจะจางหายไปตามเวลา  
ส่วนผู้เฒ่าต่างๆก้ล้มหายตายจากไปหมดแล้ว
จะเหลือก็เพียงแต่คนที่เป็นเด็กในยุคนั้นในวันนี้ก็โตแล้ว
แต่ก็คงหลงลืมไปบ้าง
ปัจจุบันบ้านหลังนี้ได้ถูกรื้อทิ้งไปและผืนดินได้ถูกขาย
ให้กับเจ้าของใหม่ไป ส่วนสามีกับลุกยายแดงก็ไม่เคยทราบข่าวอีกเลย
ว่าไปอยู่ไหนทำอะไรมีชีวิตหรือไม่
รุ้เพียงแค่ยายติ๋มได้ย้ายสำมะโนครัวไปอยู่ที่สมุทรปราการนานหลายสิบปีแล้ว...........
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่