เรื่อง อาถรรพ์....... เครือเขา(เรา)หลง
เรื่อง อาถรรพ์....... เครือเขา(เรา)หลง
หากเอ่ยชื่อ..เครือเขาหลง เรายังคงจำได้ดีกับประสบการณ์ครั้งหนึ่งสมัยวัยละอ่อนตอนที่เป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่มีชื่อด้านการเกษตรแถบอำเภอแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ เราเรียนทางด้านการท่องเที่ยวเชิงพัฒนาหรือ ecotourism
ตอนนั้นในใจคิดว่า “นี่เราจะจบแล้วหรือหลังจากที่เรียนด้านการท่องเที่ยวมานาน” แม้ชีวิตการเรียนจะไม่ราบรื่นนักแต่ก็สามารถจบได้ปริญญาจนได้ แต่เหลืออีกอย่างคือการฝึกงานที่เหมือนวิชาหนึ่งที่ต้องผ่าน และก่อนไปฝึกงานจะมีการจับฉลากรวมกลุ่มเพื่อไปฝึกงานตามอุทยานสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ มีทั้งถ้ำ น้ำตก ดอยต่างๆ ในใจเราอยากฝึกที่น้ำพุร้อนแจ้ซ้อนที่สุดเพราะเหตุผลนะหรือ คืออยากไปเที่ยวมานาน แต่ไม่เคยไปเพราะเป็นพื้นที่กว้างขว้าง มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่ อำเภอเมืองปาน อำเภอแจ้ห่ม อำเภอวังเหนือ และอำเภอเมืองลำปาง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัดลำปาง มีสภาพป่าอันอุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร มีสัตว์ป่านานาชนิด และมีทรัพยากรทางธรรมชาติที่สวยงามหลายแห่ง เช่น น้ำตก แอ่งน้ำอุ่น บ่อน้ำร้อน ซึ่งสามารถเป็นหลักฐานหนึ่งที่แสดงว่าใต้พื้นโลกเรายังมีความร้อนระอุอยู่ ด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ เราไม่อยากพลาดที่จะไปสำรวจตามนิสัยของพวกที่เรียน eco มา มันดั่งฝันที่เราจับฉลากได้ไปฝึกงานที่อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน ก่อนไปเราได้กลุ่มเพื่อนที่จะฝึกงานด้วยกัน ประกอบด้วย ชัย ต้อม ที่เป็นผู้ชาย ส่วนผู้หญิงมีตัวเรา ไก่ และกุ้ง ซึ่งจัดว่าเป็นกลุ่มที่เราสนิทปานกลางไม่มากน้อยพอจะร่วมทีมกันโดยไม่มีปัญหาอะไร ที่ไม่ค่อยสนิทก่อจะมี ชัย นี่แหละแต่ก็คุยกันบ้าง คิดว่าทีมน่าโอเค ไม่หนักใจในการอยู่ร่วมกัน 3 เดือน
วันเดินทางก็นั่งรถโดยสารประจำทาง พอถึงท่ารถก็มีรถจากอุทยานแจ้ซ้อนมารับอีกที ในใจคิดว่าไกลอยู่เหมือนกันเกือบครึ่งค่อนวันที่จะถึง พอมาถึงจัดสัมภาระเก็บ นอนแยกห้องผู้ชายผู้หญิง มีห้องน้ำรวม ก็คิดว่าเป็นบ้านพักที่เปิดให้นักท่องเที่ยวพักนั่นแหละ มีสองชั้น อาหารการกินต้องซื้อตุนไว้และทำกินเองกัน มีครัวในตัวบ้าน เหตุการณ์ดำเนินไปแต่ทางอุทยานไม่ได้มอบหมายหน้าที่อะไรพิเศษมีอยู่ด่านจำหน่ายตั๋วบ้าง บางวันก่อเหงาไม่มีอะไรทำ เดินรอบบริเวณ ซึ่งใน ลานน้ำพุแจ้ซ้อน เป็นแหล่งน้ำพุร้อนตามธรรมชาติ ที่น้ำพุร้อนผุดจากบ่อเล็กถึง 9 บ่อ ในบริเวณราว 3 ไร่ เต็มไปด้วยโขดหินน้อยใหญ่ นอกจากนี้ยังมีน้ำพุร้อนที่มีกลิ่นกำมะถันค่อนข้างอ่อนอยู่ตามบริเวณใกล้เคียง ล้อมรอบด้วยวิวทิวทัศน์ และมีน้ำตกอยู่ด้วยภายในนี้มีจุดที่น้ำตกกับน้ำพุร้อนมาบรรจบกันเป็นลานน้ำอุ่นซึ่งคนนิยมมาก พวกเราพอตกเย็นก่อพากันไปแช่ตัวบ่อน้ำแร่เป็นประจำ เราและกลุ่มเพื่อนใช้ชีวิตเรื่อยๆปกติไป บางวันออกพื้นที่สำรวจป่าและไฟป่ากับหน่วยเคลื่อนที่ ได้เหล้าสาโทมาก่อลองประเดิมกินกันในกลุ่มเพื่อนคุยกันไป และเพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นมาคือ ชัย นี่แหละว่า “เรายังไม่มีผลงานที่ต้องทำรายงานส่งอาจารย์ที่ทำขึ้นเองให้กับที่นี่ “ ใช่สิ เรียนการท่องเที่ยวเชิงพัฒนา เราต้องมาพัฒนาให้เค้าสักอย่างที่เป็นโครงการเพื่อจบการฝึกงานและนำเสนอแก่อาจารย์ นี่เหลืออีกเดือนเดียว เราคงต้องทำอะไรสักอย่างกัน ชัย มักจะมีลักษณะเป็นผู้นำเสมอ ซึ่งปัจจุบัน ชัย เป็นมัคคุเทศก์ดำน้ำอยู่ทางภาคใต้ เราเห็นพ้องต้องกันว่า พรุ่งนี้เราจะถามเจ้าหน้าที่ว่ามีพื้นที่ไหนที่พวกเราสามารถทำโครงการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้ในอนาคตอันใกล้นี้ ได้ วันต่อมาเราได้คำตอบจากเจ้าหน้าที่ว่ามีน้ำตกแห่งหนึ่งที่จะพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวห่างจากสำนักงานประมาณ 5 กิโลเมตรแต่คนยังไม่ค่อยมีใครเข้าไป ค่อนข้างรกทึบสักหน่อยทางเดินชัดเจนยังไม่มี เราจึงตัดสินใจว่าจะไปสำรวจพื้นที่แห่งนี้เพื่อจะทำโครงการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่และทำป้ายสื่อความหมายธรรมชาติกัน .............และตัดสินใจว่าจะไปสำรวจกันเอง ตามคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่ วันต่อมาประมาณ 9.30 น. ตอนเช้าพากันเดินทางออกจากที่พัก เดินผ่านอาคารสำนักงานเพื่อเข้าป่า ชัย มีมีดพกใช้ฟันหญ้าเพื่อเปิดทางเข้าไป ด้วยป่ารกและทึบมากเหมือนไม่มีใครเดินเข้าไปเลย มีแมลงเยอะมาก ตลอดทางแทบคล้ายกับป่าดงดิบ เหงื่อไม่ต้องพูดถึงชุมโชกไปทั้งตัวเราระหว่างทางก่อหักกิ่งไม้ไปด้วย เราคุยกันว่าเราจะทำป้ายแบบไหน แต่ที่แน่ๆควรจะพัฒนาทางเข้าก่อนเพราะรกมาก เดินจนเหนื่อย แล้วเริ่มเห็นป่าไผ่โดยมีเถาวัลย์ต้นใหญ่ขว้างไว้....เราจำได้ว่าเป็น เครือเขาหลง เถาวัลย์อาถรรพ์ที่คนเคยเล่าว่าหากเจอในป่าต้องเดินอ้อม ห้ามข้าม ถ้าข้ามจะหลงป่า เราไม่ทันจะพูดอะไร ต้อม กระโดดข้ามตามด้วยชัย และเราหยุดถามต้อมว่ารู้ไหมต้นอะไร ต้อมบอกคล้ายเครือเขาหลงและเราถามว่าข้ามทำไมไม่กลัวหลงป่าหรือ? แต่ต้อมและชัยเฉยเหมือนไม่เชื่อ กุ้งกับไก่ก็เดินข้าม ส่วนเราเดินอ้อมคนเดียวเดินสักพักผ่านมาสักครู่ เราสังเกตว่าป่ารอบตัวเราเหมือนกันเลย แล้วเราจะไปทางไหนกันทำไมเหมือนกันหมด แต่ไม่มีใครตอบเดินหน้าต่อไปจนเหนื่อยไม่รู้กี่โมง เรามองหน้ากันไม่มีใครพกนาฬิกาเลยคงเพราะกลัวเป็นรอยขีดข่วนเพราะป่าทึบ สักครู่ ชัย ก่อพูดขึ้นมาว่า สงสัยเราจะหลงป่า ซึ่งดีที่ไม่มีการโทษกันว่าเพราะอะไร หรือใคร ตัดสินใจเดินหน้าไปเรื่อยๆ จนพลบค่ำลง คิดว่าจะประมาณ 6.00 น. ตอนเย็น เจอลำธารมีไร่ข้าวโพด เราพูดกันว่าเราเหนื่อยกัน และหิวมากเราไม่มีอะไรกิน ตอนนั้นไก่เหลือบไปเห็นดงกล้วยแต่ต้อมบอกกินไม่ได้ เราบอกกินได้แต่ไม่อร่อย พวกเราจึงจัดการโน้มมันลงมา ชัย ฟันลงมากินซึ่งกินได้ไม่เยอะเพราะรสฝาดแต่มีความหอมเม็ดค่อนข้างใหญ่ เราไม่รู้คือกล้วยอะไรแต่ช่วยเราประทังความหิวได้มั่ง ที่นั่นเป็นไร่ข้าวโพดในใจคิดว่าอาจมีคนมาไร่บ้าง พวกเราตัดสินใจอยู่ใต้ไม้ใหญ่ใกล้ไร่ข้าวโพดติดลำธาร พอมืดพวกเรากระจุกอยู่ใต้ต้นไม้ บอกพวกผู้ชายไม่ต้องนอนให้ปีนส่องดูสัตว์เป็นระยะตอนกลางคืนเพราะเกรงจะมีสัตว์มาทำร้าย ตกกลางคืนหากได้ยินเสียงเรียกชื่ออย่าขานรับ มีใครเรียกออกจากกลุ่มอย่าออกไป พวกเราเริ่มที่จะเข้าใจคำว่าอาถรรพ์ของป่า ตกดึกได้ยินเสียงหวีด หวิ้ว มาตามสายลมเรามองหน้ากันแต่ไม่พูดอะไรทุกคนเงียบ เราคุยกันว่าพรุ่งนี้จะออกไปทางไหนยังไง เราเริ่มกลัวมันมืดมากเราไม่มีไฟฉาย เมื่อก่อนก่อไม่มีมือถือเหมือนสมัยนี้ รู้แต่ว่าเกาะกลุ่มกันไว้ พอเริ่มดึกในใจคิดว่านี่คือที่พึ่งสุดท้ายแล้วจึงตัดสินใจเอาดินแปดหน้าผากตั้งจิตอธิฐานขอโทษเจ้าป่าเจ้าเขาหากพวกเราได้ทำล่วงเกินอะไรไป ขอโอกาส เปิดทางกลับที่พักหรือให้มีคนพาออกไป พอเราอธิฐานจิตเสร็จ ไก่กับกุ้งและต้อมทำตาม เราเผลอหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ ตื่นขึ้นมาตอนเช้าไม่รู้กี่โมง ในที่สุดเราก็โชคดีที่มีคนหาหน่อไม้มาพบพาพวกเราพาออกจากป่าได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่อุทยานได้ประกาศให้ชาวบ้านช่วยตามหา พวกเรากลับที่พักโดยรถอุทยาน วันรุ่งขึ้นทางอุทยานทำพิธีสู่ขวัญให้ จัดเลี้ยงให้ ซึ่งพวกเราดีใจมากเพราะเราหิวกันตั้งแต่หลงป่าจึงกินมากกันพิเศษ.........แต่เรื่องยังมีอีกนิดตอนหลังเจ้าหน้าที่พาไปทางเดิมซึ่งเวเส้นทางเดินก่อนถึงน้ำตกเรายังเห็นหลังคาอาคารทำการของอุทยานอยู่เลยที่สำคัญมาครั้งนี้แปลกตรงที่ว่าพวกเราไม่เห็น ต้นเครือเขาหลง แล้ว.....หลอนไหมละ
หมายเหตุ.....เครือเขาหลง หรือเรียกได้หลายชื่อว่า เถาวัลย์หลง เครือสาวหลง เครือเถาหลง เป็นพืชวงศ์เถาวัลย์ที่คนมักนำเอามาทำเป็นวัตถุมงคลที่เชื่อกันว่าช่วยในเรื่องของเสน่ห์เมตตามหานิยม เถาวัลย์นี้จัดเป็นของอาถรรพ์ทางธรรมชาติที่หายาก มักจะพบในป่าลึก เชื่อกันว่าเครือเถาหลงนี้จะอยู่หน้าทางเข้าเมืองลับแลเพื่อป้องกันทางเข้าเมืองลับแล ถ้าใครข้ามเถาวัลย์นี้จะหลงงงงวย แม้แต่นกที่บินผ่านต้นไม้ที่มีเถาวัลย์นี้ ก็จะหลงอยู่ในต้นไม้ ไปไหนไม่ได้ ต้องตายอยู่ใต้ต้น
เรื่อง อาถรรพ์....... เครือเขา(เรา)หลง
หากเอ่ยชื่อ..เครือเขาหลง เรายังคงจำได้ดีกับประสบการณ์ครั้งหนึ่งสมัยวัยละอ่อนตอนที่เป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่มีชื่อด้านการเกษตรแถบอำเภอแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ เราเรียนทางด้านการท่องเที่ยวเชิงพัฒนาหรือ ecotourism
ตอนนั้นในใจคิดว่า “นี่เราจะจบแล้วหรือหลังจากที่เรียนด้านการท่องเที่ยวมานาน” แม้ชีวิตการเรียนจะไม่ราบรื่นนักแต่ก็สามารถจบได้ปริญญาจนได้ แต่เหลืออีกอย่างคือการฝึกงานที่เหมือนวิชาหนึ่งที่ต้องผ่าน และก่อนไปฝึกงานจะมีการจับฉลากรวมกลุ่มเพื่อไปฝึกงานตามอุทยานสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ มีทั้งถ้ำ น้ำตก ดอยต่างๆ ในใจเราอยากฝึกที่น้ำพุร้อนแจ้ซ้อนที่สุดเพราะเหตุผลนะหรือ คืออยากไปเที่ยวมานาน แต่ไม่เคยไปเพราะเป็นพื้นที่กว้างขว้าง มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่ อำเภอเมืองปาน อำเภอแจ้ห่ม อำเภอวังเหนือ และอำเภอเมืองลำปาง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัดลำปาง มีสภาพป่าอันอุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร มีสัตว์ป่านานาชนิด และมีทรัพยากรทางธรรมชาติที่สวยงามหลายแห่ง เช่น น้ำตก แอ่งน้ำอุ่น บ่อน้ำร้อน ซึ่งสามารถเป็นหลักฐานหนึ่งที่แสดงว่าใต้พื้นโลกเรายังมีความร้อนระอุอยู่ ด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ เราไม่อยากพลาดที่จะไปสำรวจตามนิสัยของพวกที่เรียน eco มา มันดั่งฝันที่เราจับฉลากได้ไปฝึกงานที่อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน ก่อนไปเราได้กลุ่มเพื่อนที่จะฝึกงานด้วยกัน ประกอบด้วย ชัย ต้อม ที่เป็นผู้ชาย ส่วนผู้หญิงมีตัวเรา ไก่ และกุ้ง ซึ่งจัดว่าเป็นกลุ่มที่เราสนิทปานกลางไม่มากน้อยพอจะร่วมทีมกันโดยไม่มีปัญหาอะไร ที่ไม่ค่อยสนิทก่อจะมี ชัย นี่แหละแต่ก็คุยกันบ้าง คิดว่าทีมน่าโอเค ไม่หนักใจในการอยู่ร่วมกัน 3 เดือน
วันเดินทางก็นั่งรถโดยสารประจำทาง พอถึงท่ารถก็มีรถจากอุทยานแจ้ซ้อนมารับอีกที ในใจคิดว่าไกลอยู่เหมือนกันเกือบครึ่งค่อนวันที่จะถึง พอมาถึงจัดสัมภาระเก็บ นอนแยกห้องผู้ชายผู้หญิง มีห้องน้ำรวม ก็คิดว่าเป็นบ้านพักที่เปิดให้นักท่องเที่ยวพักนั่นแหละ มีสองชั้น อาหารการกินต้องซื้อตุนไว้และทำกินเองกัน มีครัวในตัวบ้าน เหตุการณ์ดำเนินไปแต่ทางอุทยานไม่ได้มอบหมายหน้าที่อะไรพิเศษมีอยู่ด่านจำหน่ายตั๋วบ้าง บางวันก่อเหงาไม่มีอะไรทำ เดินรอบบริเวณ ซึ่งใน ลานน้ำพุแจ้ซ้อน เป็นแหล่งน้ำพุร้อนตามธรรมชาติ ที่น้ำพุร้อนผุดจากบ่อเล็กถึง 9 บ่อ ในบริเวณราว 3 ไร่ เต็มไปด้วยโขดหินน้อยใหญ่ นอกจากนี้ยังมีน้ำพุร้อนที่มีกลิ่นกำมะถันค่อนข้างอ่อนอยู่ตามบริเวณใกล้เคียง ล้อมรอบด้วยวิวทิวทัศน์ และมีน้ำตกอยู่ด้วยภายในนี้มีจุดที่น้ำตกกับน้ำพุร้อนมาบรรจบกันเป็นลานน้ำอุ่นซึ่งคนนิยมมาก พวกเราพอตกเย็นก่อพากันไปแช่ตัวบ่อน้ำแร่เป็นประจำ เราและกลุ่มเพื่อนใช้ชีวิตเรื่อยๆปกติไป บางวันออกพื้นที่สำรวจป่าและไฟป่ากับหน่วยเคลื่อนที่ ได้เหล้าสาโทมาก่อลองประเดิมกินกันในกลุ่มเพื่อนคุยกันไป และเพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นมาคือ ชัย นี่แหละว่า “เรายังไม่มีผลงานที่ต้องทำรายงานส่งอาจารย์ที่ทำขึ้นเองให้กับที่นี่ “ ใช่สิ เรียนการท่องเที่ยวเชิงพัฒนา เราต้องมาพัฒนาให้เค้าสักอย่างที่เป็นโครงการเพื่อจบการฝึกงานและนำเสนอแก่อาจารย์ นี่เหลืออีกเดือนเดียว เราคงต้องทำอะไรสักอย่างกัน ชัย มักจะมีลักษณะเป็นผู้นำเสมอ ซึ่งปัจจุบัน ชัย เป็นมัคคุเทศก์ดำน้ำอยู่ทางภาคใต้ เราเห็นพ้องต้องกันว่า พรุ่งนี้เราจะถามเจ้าหน้าที่ว่ามีพื้นที่ไหนที่พวกเราสามารถทำโครงการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้ในอนาคตอันใกล้นี้ ได้ วันต่อมาเราได้คำตอบจากเจ้าหน้าที่ว่ามีน้ำตกแห่งหนึ่งที่จะพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวห่างจากสำนักงานประมาณ 5 กิโลเมตรแต่คนยังไม่ค่อยมีใครเข้าไป ค่อนข้างรกทึบสักหน่อยทางเดินชัดเจนยังไม่มี เราจึงตัดสินใจว่าจะไปสำรวจพื้นที่แห่งนี้เพื่อจะทำโครงการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่และทำป้ายสื่อความหมายธรรมชาติกัน .............และตัดสินใจว่าจะไปสำรวจกันเอง ตามคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่ วันต่อมาประมาณ 9.30 น. ตอนเช้าพากันเดินทางออกจากที่พัก เดินผ่านอาคารสำนักงานเพื่อเข้าป่า ชัย มีมีดพกใช้ฟันหญ้าเพื่อเปิดทางเข้าไป ด้วยป่ารกและทึบมากเหมือนไม่มีใครเดินเข้าไปเลย มีแมลงเยอะมาก ตลอดทางแทบคล้ายกับป่าดงดิบ เหงื่อไม่ต้องพูดถึงชุมโชกไปทั้งตัวเราระหว่างทางก่อหักกิ่งไม้ไปด้วย เราคุยกันว่าเราจะทำป้ายแบบไหน แต่ที่แน่ๆควรจะพัฒนาทางเข้าก่อนเพราะรกมาก เดินจนเหนื่อย แล้วเริ่มเห็นป่าไผ่โดยมีเถาวัลย์ต้นใหญ่ขว้างไว้....เราจำได้ว่าเป็น เครือเขาหลง เถาวัลย์อาถรรพ์ที่คนเคยเล่าว่าหากเจอในป่าต้องเดินอ้อม ห้ามข้าม ถ้าข้ามจะหลงป่า เราไม่ทันจะพูดอะไร ต้อม กระโดดข้ามตามด้วยชัย และเราหยุดถามต้อมว่ารู้ไหมต้นอะไร ต้อมบอกคล้ายเครือเขาหลงและเราถามว่าข้ามทำไมไม่กลัวหลงป่าหรือ? แต่ต้อมและชัยเฉยเหมือนไม่เชื่อ กุ้งกับไก่ก็เดินข้าม ส่วนเราเดินอ้อมคนเดียวเดินสักพักผ่านมาสักครู่ เราสังเกตว่าป่ารอบตัวเราเหมือนกันเลย แล้วเราจะไปทางไหนกันทำไมเหมือนกันหมด แต่ไม่มีใครตอบเดินหน้าต่อไปจนเหนื่อยไม่รู้กี่โมง เรามองหน้ากันไม่มีใครพกนาฬิกาเลยคงเพราะกลัวเป็นรอยขีดข่วนเพราะป่าทึบ สักครู่ ชัย ก่อพูดขึ้นมาว่า สงสัยเราจะหลงป่า ซึ่งดีที่ไม่มีการโทษกันว่าเพราะอะไร หรือใคร ตัดสินใจเดินหน้าไปเรื่อยๆ จนพลบค่ำลง คิดว่าจะประมาณ 6.00 น. ตอนเย็น เจอลำธารมีไร่ข้าวโพด เราพูดกันว่าเราเหนื่อยกัน และหิวมากเราไม่มีอะไรกิน ตอนนั้นไก่เหลือบไปเห็นดงกล้วยแต่ต้อมบอกกินไม่ได้ เราบอกกินได้แต่ไม่อร่อย พวกเราจึงจัดการโน้มมันลงมา ชัย ฟันลงมากินซึ่งกินได้ไม่เยอะเพราะรสฝาดแต่มีความหอมเม็ดค่อนข้างใหญ่ เราไม่รู้คือกล้วยอะไรแต่ช่วยเราประทังความหิวได้มั่ง ที่นั่นเป็นไร่ข้าวโพดในใจคิดว่าอาจมีคนมาไร่บ้าง พวกเราตัดสินใจอยู่ใต้ไม้ใหญ่ใกล้ไร่ข้าวโพดติดลำธาร พอมืดพวกเรากระจุกอยู่ใต้ต้นไม้ บอกพวกผู้ชายไม่ต้องนอนให้ปีนส่องดูสัตว์เป็นระยะตอนกลางคืนเพราะเกรงจะมีสัตว์มาทำร้าย ตกกลางคืนหากได้ยินเสียงเรียกชื่ออย่าขานรับ มีใครเรียกออกจากกลุ่มอย่าออกไป พวกเราเริ่มที่จะเข้าใจคำว่าอาถรรพ์ของป่า ตกดึกได้ยินเสียงหวีด หวิ้ว มาตามสายลมเรามองหน้ากันแต่ไม่พูดอะไรทุกคนเงียบ เราคุยกันว่าพรุ่งนี้จะออกไปทางไหนยังไง เราเริ่มกลัวมันมืดมากเราไม่มีไฟฉาย เมื่อก่อนก่อไม่มีมือถือเหมือนสมัยนี้ รู้แต่ว่าเกาะกลุ่มกันไว้ พอเริ่มดึกในใจคิดว่านี่คือที่พึ่งสุดท้ายแล้วจึงตัดสินใจเอาดินแปดหน้าผากตั้งจิตอธิฐานขอโทษเจ้าป่าเจ้าเขาหากพวกเราได้ทำล่วงเกินอะไรไป ขอโอกาส เปิดทางกลับที่พักหรือให้มีคนพาออกไป พอเราอธิฐานจิตเสร็จ ไก่กับกุ้งและต้อมทำตาม เราเผลอหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ ตื่นขึ้นมาตอนเช้าไม่รู้กี่โมง ในที่สุดเราก็โชคดีที่มีคนหาหน่อไม้มาพบพาพวกเราพาออกจากป่าได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่อุทยานได้ประกาศให้ชาวบ้านช่วยตามหา พวกเรากลับที่พักโดยรถอุทยาน วันรุ่งขึ้นทางอุทยานทำพิธีสู่ขวัญให้ จัดเลี้ยงให้ ซึ่งพวกเราดีใจมากเพราะเราหิวกันตั้งแต่หลงป่าจึงกินมากกันพิเศษ.........แต่เรื่องยังมีอีกนิดตอนหลังเจ้าหน้าที่พาไปทางเดิมซึ่งเวเส้นทางเดินก่อนถึงน้ำตกเรายังเห็นหลังคาอาคารทำการของอุทยานอยู่เลยที่สำคัญมาครั้งนี้แปลกตรงที่ว่าพวกเราไม่เห็น ต้นเครือเขาหลง แล้ว.....หลอนไหมละ