ต่อจากนี้จะมีแต่เรื่องดราม่า น่ารำคานหรืออึดอัดใจ หากใครจะเลื่อนผ่านไปก็ยินดี
เราเกิดมาในครอบครัวที่มีกัน4คน พ่อแม่และพี่สาวที่อายุห่างกัน5ปี ที่อายุห่างกันหลายปี เพราะแม่ตั้งใจมีลูกคนเดียวในทีแรก แต่ด้วยความร้องขอจากพี่สาวและยาย เราจึงได้เกิดมา พ่อแม่ของเรามักจะทะเลาะกันตั้งแต่จำความได้ พ่อชอบทำลายข้าวของ แม่นั้นก็ชอบด่าเสียเทเสีย พ่อมีเมียน้อยมานับครั้งไม่ถ้วน โดยบอกว่านี่คือเรื่องปกติของผู้ชาย ในตอนเรายังเล็กพ่อแม่จะส่งเราและพี่เข้าเนิสเซอร์รี่เนื่องจากพ่อแม่ต้องทำงาน แต่พอเราขึ้นชั้นประถมก็ได้ออกจากเนิสเซอร์รี่ไป และนรกของเรามันเริ่มหลังจากนี้
เมื่อเลิกเรียนรถตู้รับส่งจะไปส่งเราที่บ้าน และพี่สาวที่จะเลิกเรียนตามมาทีหลัง เรากับพี่ต้องอยู่ที่บ้านกันสองคนจนกว่าแม่จะเลิกงานเวลาหกโมง และเมื่อต้องอยู่กันสองคน นานวันกิจกรรมหลังเลิกเรียนของเราก็กลายเป็นการทำงานบ้าน โดนมีพี่สาวเป็นคนออกคำสั่ง ตั้งแต่ล้างจาน ซักผ้า ตากผ้า หุงข้าว และมีข้อห้ามต่างๆ ห้ามเล่นคอม ห้ามดูทีวี ห้ามพาเพื่อนมาที่บ้าน หรือห้ามฟ้องแม่เรื่องพวกนี้ และเมื่อแม่กลับมาถึงบ้าน งานบ้านที่ทำเสร็จเหล่านั้นจะกลายเป็นพี่ที่บอกว่าตัวเองทำ อาจจะดูเหมือนเป็นการเอาเปรียบกันแบบเด็กๆ แต่มันก็ไม่ได้จบแค่นี้ หากเราไม่ทำตาม การตบตีก็จะตามมาทุกครั้ง เราเคยหัวแตกเพราะถูกปาส้อมใส่หน้า แต่วันต่อมากลับถูกพี่ถามว่าหัวไปโดนอะไร
ช่วงปิดเทอมครั้งนึงเราเคยรีบตื่นแต่เช้าและแอบตามแม่ไปที่ทำงานเพราะไม่อยากโดนพี่บังคับให้ทำนู้นนี่อีกตอนอยู่ที่บ้าน แต่แม่ก็เข้าใจว่ามันเป็นเพียงความคิดถึงของเด็กเท่านั้น แม่ไม่เคยมองเห็นความผิดปกติอะไรเลย ชีวิตช่วงนั้นจึงเป็นแบบนี้วนเวียนไปในทุกวัน
และเมื่อพี่สาวเริ่มโตขึ้นเข้าชั้นมัธยม ครั้งนึงพี่เคยทำโทรศัพท์หายโดยที่แม่ไม่รู้ แต่เรารู้ เช่นเคยเราถูกสั่งให้หุบปาก และต้องแบ่งเงินค่าขนมจำนวนนึงให้ทุกวันจนกว่าพี่จะเก็บเงินครบเพื่อเอาไปซื้อโทรศัพท์ใหม่ได้ ทุกคำสั่งเราทำตามเสมอ เมื่อพี่โตขึ้นสังคมก็มากขึ้น เริ่มมีการชักชวนเพื่อนมาที่บ้าน เปิดแอร์นั่งเล่นคอมฟังเพลงร่วมกันกับเพื่อน โดยมีเราที่นั่งล้างจานอยู่นอกระเบียง หรือไม่ก็นั่งทำงานบ้านอะไรสักอย่าง เพื่อนของพี่ทุกคนที่เคยมาบ้านจะรู้ดีและเห็นภาพจำนี้เสมอ เราเคยพยายามเอาเพื่อนแอบในตู้เสื้อผ้าเพราะกลัวว่าพี่จะด่าที่พาเพื่อนมาที่บ้าน เพื่อนคนนั้นยืนยันได้ดี เพื่อนเราที่เคยเจอพี่จะบอกเราเสมอว่าพี่เรานั้นน่ากลัว
และเมื่อโตเป็นสาวคนเราก็ต้องมีแฟน จากการพาเพื่อนมาบ้านก็กลายเป็นพาแฟนมาที่บ้าน แน่นอนว่าไม่ว่าพี่จะพาใครมาบ้าน แม่ก็จะไม่เคยรู้เสมอ บางครั้งเราถูกสั่งให้ออกไปตลาด ไปเดินเล่นอยู่คนเดียวและนั่งรออยู่ที่สวน เพื่อให้พี่และแฟนที่พามาได้มีอะไรกันให้เสร็จก่อนถึงจะกลับเข้าบ้านได้ จากการพาแฟนมาบ้านที่เปลี่ยนหน้าไปเรื่อยๆ เริ่มมีการมาเป็นคู่ บ้านที่เราอยู่กลายเป็นแหล่งห้องพักรายวันให้วัยรุ่นได้มามีเซ็กส์กัน และเราก็อยู่ในบ้านนั้นด้วย เราที่อายุ11 หรือเด็กป.6 เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างแต่ก็ยังหุบปากอยู่เสมอ
ครั้งแรกที่ความแตก พี่และแฟนกำลังทำกิจกรรมที่คุ้นเคยจนเลยเวลาที่ควรจะรีบกลับบ้านก่อนแม่จะมา และใช่แม่กลับมาทันเห็นทุกอย่าง พี่และแฟนถูกดุด่าใหญ่โต มีการแจ้งความเกิดขึ้นเพราะแม่โมโหมาก ถูกสั่งห้ามให้พาใครมาบ้านอีก และสั่งให้เลิกกันไป แน่นอนว่าพี่ก็บอกว่าจะไม่ทำอีก และคนเป็นแม่ก็ให้อภัยเสมอ หลังจากเหตุการณ์นี้ เราไม่เคยได้รับคำถามจากผู้เป็นพ่อหรือแม่ว่าเรารู้สึกเช่นไร เป็นอะไรหรือเปล่า สภาพจิตใจเราแย่แค่ไหน ทุกคนปล่อยให้มันผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เวลาผ่านไปไม่ถึง1ปี พี่มีแฟนใหม่แอบพามาที่บ้านเหมือนเดิม และเรื่องราวก็เริ่มวนลูปต่อไป จนครั้งสุดท้ายนี้มันเป็นลูปที่โครตนรกสำหรับเรา ตอนนั้นเราขึ้นม.1แล้ว ส่วนพี่ก็อยู่ม.6กำลังขึ้นมหาลัยฯ ความ
มักเกิดตอนนี้มั้ยนะ ตอนที่ชีวิตกำลังมีหนทางใหม่ๆ รักในวัยรุ่นมักมาพร้อมกับอะไรที่ไม่พร้อม และก็ใช่พี่เราตั้งท้อง เมื่อไม่พร้อมการทำแท้งเป็นสิ่งที่จำเป็นมากกว่าให้เด็กเกิดมาให้ที่ที่ไม่พร้อมยิ่งกว่า เรารับรู้เรื่องนี้ดี แต่การแก้ปัญหาของพี่กลับเป็นเราที่ต้องเข้าไปเกี่ยว พี่ไม่ต้องการบอกให้ที่บ้านรับรู้ และไม่อยากเสียอนาคตตัวเองไป การทำแท้งจึงเป็นหนทางเดียว เราจึงถูกสั่งให้ช่วยเก็บเงินสำหรับค่าใช้จ่ายในทำแท้ง โดยมีคำพูดที่ว่า “ถ้าไม่ทำก็ตัดพี่ตัดน้องไปเลย” ทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้อาจจะคิดว่า ‘โง่หรือเปล่าโดนทำอะไรมามากมายขนาดนี้ก็ตัดพี่ตัดน้องกันไปจะเลยกลัวอะไร’ แต่เรากลัว ชีวิตเราเติบโตมากับความกลัวโตมากับการที่ต้องทำตามคำสั่ง เราใจสั่นทุกครั้งที่โดนเสียงดังใส่ เรากลัวทุกคำขู่ และเพราะเราคิดว่านี่คือคำว่าครอบครัว เรายอมแบ่งเงินค่าขนมให้พี่แต่มันก็น้อยมาก เพราะเงินแต่ละวันของเราที่ได้คือ60-80บาท มันไม่เพียงพอเท่าความเร็วของเด็กที่กำลังโตในแต่ละวัน
ค่าแรกเข้าสำหรับเรียนมหาลัยฯจึงเป็นทางเลือกสุดท้าย พี่นำเงินที่พ่อให้ไปจ่ายค่าเทอมไปใช้จ่ายกับค่ารักษา และแอบเก็บกระเป๋าพร้อมวางจดหมายทิ้งไว้อ้างว่านำเงินไปเที่ยวเล่นจนหมดแล้ว แม่อ่านจดหมายและร้องไห้ ภาพนั้นยิ่งทำให้คำพูดทุกอย่างมันถูกปิดตายไปในใจเรา ถ้าเราพูดจะเกิดอะไรขึ้น แม่โทรหาและขอให้พี่กลับมา แน่นอนว่าแม่ก็ให้อภัยเสมอ หลังจากหายไป1วันพี่ก็กลับมา ขอโทษว่าจะไม่ทำอีก และจะเก็บเป็นบทเรียน เช่นเคยทุกคนทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ให้อภัยและพยายามเป็นครอบครัวที่มีความสุขต่อไป
พี่กับแฟนที่เป็นพ่อของเด็กก็ดูเหมือนจะเลิกกัน แต่วันนึงที่พี่พาแฟนคนนี้มาที่บ้าน ทั้งคู่ทะเลาะกัน เราไม่รู้ว่าเรื่องอะไร เริ่มมีการทำร้ายร่างกาย เรานั่งอยู่อีกมุมห้องจึงไม่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด หลังจากนั้นมีการโทรเรียกแม่ มีการแจ้งความอีกครั้ง และคำพูดแรกที่เราได้รับคือ “ก็ไม่ช่วยอะไรเลย” แม่กับพ่อตกใจและปลอบขวัญพี่กันยกใหญ่ และเราก็ไม่เคยได้รับคำถามจากพ่อแม่เช่นเคย อาจเพราะมีอีกคนที่น่าเป็นห่วงกว่าเสมอ เรายังเด็กคงไม่รู้เรื่องอะไร พ่อแม่เราคงจะคิดแบบนี้ แต่สภาพจิตใจเราแตกสลายไปหมดแล้ว
ชีวิตหลังจากนี้ดีขึ้นเพราะการไม่ต้องพบหน้ากันระหว่างเรากับพี่ เพราะพี่ย้ายไปอยู่หอแล้ว เรามีเรื่องทะเลาะกันน้อยลง ไม่มีเรื่องทำร้ายจิตใจกันพักใหญ่แล้ว เราโตขึ้นและใช้ชีวิตช่วงมหาลัยตามปกติ เราคิดด้วยซ้ำว่าเราคงเป็นพี่น้องที่รักกันได้แล้ว เราคิดว่าตัวเองลืมเรื่องที่เกิดขึ้นไปดีกว่า ใช้ชีวิตต่อไปสิ
แต่เมื่อเราเรียนจบ ทำงานที่แรกได้เกือบ3ปี เราลาออกจากอาการป่วยต่างๆ ความเครียดสะสมจากที่ทำงาน สภาพจิตใจแย่มากจนพยายามจะเตรียมของสำหรับการ suicide เป็นช่วงเดียวกับที่พี่สาวเราแต่งงานและตั้งท้อง มีการพูดคุยกันว่าจะหาคนมาเลี้ยงหลานจากไหนดี เราจึงอาสาว่าให้เราลองเลี้ยงดูมั้ย เรากำลังจะลาออกพอดี ให้ค่าจ้างเท่าที่ไหวได้เลย (และนี่เป็นอีกครั้งที่ความคิดนี้มันผิดพลาดที่สุด) แม่เราก็เห็นดีด้วยเพราะแม่ก็ฝังใจกับการฝากเลี้ยงเด็กที่เนิสเซอร์รี่ และคุยกันว่าหากเราเลี้ยงไม่ไหว ก็ค่อยกลับไปหางานทำ ที่แม่เราไม่ได้เป็นคนเลี้ยงเพราะยังต้องทำงานจ่ายหนี้สินที่มีอยู่ เราจึงกลับมาอยู่บ้านหลังจากก่อนหน้านี้ออกไปอยู่เองกับแฟน โดยแม่ยินดีให้พาแฟนมาอยู่ด้วย เนื่องจากพ่อเราทำงานต่างจังหวัด การมีผู้ชายอยู่ด้วยก็น่าจะช่วยเหลือได้
หลังจากพี่คลอดลูกได้2เดือน เราก็ลาออกจากงาน เราช่วยเลี้ยงหลานต่อหลังจากอายุได้3เดือน ข้อตกลงคือพี่ให้ค่าจ้างเป็นเงิน 6,000 โดยในทีแรก บอกว่าตัวพี่จะเป็นคนจ่าย4,000 และพ่อจะให้เพิ่มอีก2,000 (พ่อเราที่ไม่ใช่พ่อเด็ก) เราโอเคเพราะคิดว่าคงเลี้ยงในระยะสั้น แล้วตัวเราไม่มีภาระค่าใช้จ่ายมากมาย แต่หลังจากเริ่มเลี้ยงหลานได้1เดือน เป็นช่วงเวลาที่เครียดมาก เลี้ยงเด็กแบบคนไม่มีความรู้ ต้องชงนมกล่อมนอนทุก3ชม. ฟังเสียงร้องที่หลอนไปในแก้วหู เริ่มถามตัวเองว่าทำอะไรอยู่ เอาชีวิตวัยรุ่นที่ควรได้ใช้เต็มที่ไปแลกกับอะไรกัน เพราะคิดว่าที่บ้านจะทำเราให้สบายใจขึ้นละมั้ง แต่ก็เป็นอีกครั้งที่การกลับมาอยู่ด้วยกันของเรากับพี่มันเลวร้ายกว่าเดิม เรามักถูกตำหนิหากเลี้ยงหลานได้ไม่ถูกใจ พี่คอยออกคำสั่งว่าต้องทำแบบนี้ เลี้ยงแบบนั้น ขวดนมต้องช่วยล้าง เสื้อผ้าหลานต้องช่วยซัก ต้องคอยตัดเล็บ ทำอาหารให้กินทุกมื้อ แน่นอนเราทำเต็มที่เพราะเราก็รักและเอ็นดู แต่กลับกัน พี่เราไม่ทำอะไรเลย ไม่ล้างขวดนม ไม่ซักผ้าลูก ไม่เอาลูกเข้านอนด้วยตอนกลางคืนและให้นอนกับแม่เราแทน ทุกอาทิตย์มีการออกไปกินข้าวกับสามี หรือพบปะกับเพื่อนฝูงอยู่เรื่อยๆ สามีพี่ที่ไปๆมาๆ ไม่ค่อยได้พูดคุยกันมากนักเพราะได้รู้จักก็ตอนที่พี่ตั้งท้องแล้ว สามีพี่จึงมักจะตัวติดอยู่กับพี่และคอยทำตามคำสั่ง หากไม่สั่งก็ไม่ทำ เช่นจานที่ตัวเองกิน หากไม่สั่งก็ไม่ล้าง หลายครั้งที่แม่จะเป็นคนเก็บกวาดให้เสมอ และเมื่อแม่เริ่มบ่นว่าเหนื่อยกับการเลี้ยงหลาน และการไม่ทำอะไรเลยของพี่ พี่จึงตัดสินจะพาหลานเข้าเนิสเซอร์รี่เพราะคิดว่าคนอื่นในบ้านมองลูกตัวเองเป็นภาระ โดนยื่นคำขาดมาว่าจะไม่จ่ายเงินค่าจ้างเราในเดือนสุดท้าย เพราะต้องการนำไปจ่ายค่าแรกเข้าเนิสเซอร์รี่ และให้เราไปหางานทำซะ เราเครียดเพราะเตรียมตัวไม่ทัน เพราะหากเราไม่ได้ค่าจ้างจะเอาเงินจากไหนไปหางานทำ หรือไว้ใช้สำหรับการทำงานในเดือนแรก และแม่ได้พูดกับเราในทันทีว่า “อยู่เฉยๆไม่ต้องไปพูดอะไร เดี๋ยวมันอารมณ์เย็นลงก็กลับมาจ้างต่อเองแหละ” โดยมีพ่อพูดประโยคเดียวกันกับเราทีหลังอีกครั้ง เราเริ่มรู้สึกว่ามันเป็นอีกครั้งแล้วสินะที่ความรู้สึกของเรา อนาคตชีวิตของเราถูกเมินเฉยอีกแล้ว
ในช่วงเหตุการณ์นี้ พี่สาวเริ่มโพสเหน็บแหนบ ต่อว่าที่บ้าน โพสลงว่าที่บ้านมองลูกของพี่เป็นภาระ ตัวเองเลยจะแก้ปัญหานี้เอง ยอมเป็นคนเห็นแก่ตัวเพื่อลูก เอาลูกออกมาจากคนที่ไม่ได้อยากเลี้ยงดู (ซึ่งพี่หมายถึงตัวเราเพราะคิดว่าเราเลี้ยงหลานแบบส่งๆ) เราอ่านแล้วรู้สึกโมโหกับการด่าว่าโดนที่ทั้งเราและแม่ก็ทำเต็มที่แล้ว เราจึงพิมพ์ข้อความคุยในกลุ่มครอบครัวว่าทุกคนทำเพื่อหลานเต็มที่แล้ว และเราก็ต่อว่าพี่ไปเช่นกันในเรื่องที่ไม่ทำอะไรบ้างเกี่ยวกับลูก พี่ก็ยังยืนยันคำเดิมว่าจะตัดปัญหาด้วยการส่งเนิสเซอร์รี่เอง ในวันต่อๆมาพี่จึงทำเองทุกอย่าง เช่นการล้างขวดนม และพาลูกไปนอนพร้อมกันตอนกลางคืน
ชีวิตที่ติดอยู่กับคำว่าครอบครัว
เราเกิดมาในครอบครัวที่มีกัน4คน พ่อแม่และพี่สาวที่อายุห่างกัน5ปี ที่อายุห่างกันหลายปี เพราะแม่ตั้งใจมีลูกคนเดียวในทีแรก แต่ด้วยความร้องขอจากพี่สาวและยาย เราจึงได้เกิดมา พ่อแม่ของเรามักจะทะเลาะกันตั้งแต่จำความได้ พ่อชอบทำลายข้าวของ แม่นั้นก็ชอบด่าเสียเทเสีย พ่อมีเมียน้อยมานับครั้งไม่ถ้วน โดยบอกว่านี่คือเรื่องปกติของผู้ชาย ในตอนเรายังเล็กพ่อแม่จะส่งเราและพี่เข้าเนิสเซอร์รี่เนื่องจากพ่อแม่ต้องทำงาน แต่พอเราขึ้นชั้นประถมก็ได้ออกจากเนิสเซอร์รี่ไป และนรกของเรามันเริ่มหลังจากนี้
เมื่อเลิกเรียนรถตู้รับส่งจะไปส่งเราที่บ้าน และพี่สาวที่จะเลิกเรียนตามมาทีหลัง เรากับพี่ต้องอยู่ที่บ้านกันสองคนจนกว่าแม่จะเลิกงานเวลาหกโมง และเมื่อต้องอยู่กันสองคน นานวันกิจกรรมหลังเลิกเรียนของเราก็กลายเป็นการทำงานบ้าน โดนมีพี่สาวเป็นคนออกคำสั่ง ตั้งแต่ล้างจาน ซักผ้า ตากผ้า หุงข้าว และมีข้อห้ามต่างๆ ห้ามเล่นคอม ห้ามดูทีวี ห้ามพาเพื่อนมาที่บ้าน หรือห้ามฟ้องแม่เรื่องพวกนี้ และเมื่อแม่กลับมาถึงบ้าน งานบ้านที่ทำเสร็จเหล่านั้นจะกลายเป็นพี่ที่บอกว่าตัวเองทำ อาจจะดูเหมือนเป็นการเอาเปรียบกันแบบเด็กๆ แต่มันก็ไม่ได้จบแค่นี้ หากเราไม่ทำตาม การตบตีก็จะตามมาทุกครั้ง เราเคยหัวแตกเพราะถูกปาส้อมใส่หน้า แต่วันต่อมากลับถูกพี่ถามว่าหัวไปโดนอะไร
ช่วงปิดเทอมครั้งนึงเราเคยรีบตื่นแต่เช้าและแอบตามแม่ไปที่ทำงานเพราะไม่อยากโดนพี่บังคับให้ทำนู้นนี่อีกตอนอยู่ที่บ้าน แต่แม่ก็เข้าใจว่ามันเป็นเพียงความคิดถึงของเด็กเท่านั้น แม่ไม่เคยมองเห็นความผิดปกติอะไรเลย ชีวิตช่วงนั้นจึงเป็นแบบนี้วนเวียนไปในทุกวัน
และเมื่อพี่สาวเริ่มโตขึ้นเข้าชั้นมัธยม ครั้งนึงพี่เคยทำโทรศัพท์หายโดยที่แม่ไม่รู้ แต่เรารู้ เช่นเคยเราถูกสั่งให้หุบปาก และต้องแบ่งเงินค่าขนมจำนวนนึงให้ทุกวันจนกว่าพี่จะเก็บเงินครบเพื่อเอาไปซื้อโทรศัพท์ใหม่ได้ ทุกคำสั่งเราทำตามเสมอ เมื่อพี่โตขึ้นสังคมก็มากขึ้น เริ่มมีการชักชวนเพื่อนมาที่บ้าน เปิดแอร์นั่งเล่นคอมฟังเพลงร่วมกันกับเพื่อน โดยมีเราที่นั่งล้างจานอยู่นอกระเบียง หรือไม่ก็นั่งทำงานบ้านอะไรสักอย่าง เพื่อนของพี่ทุกคนที่เคยมาบ้านจะรู้ดีและเห็นภาพจำนี้เสมอ เราเคยพยายามเอาเพื่อนแอบในตู้เสื้อผ้าเพราะกลัวว่าพี่จะด่าที่พาเพื่อนมาที่บ้าน เพื่อนคนนั้นยืนยันได้ดี เพื่อนเราที่เคยเจอพี่จะบอกเราเสมอว่าพี่เรานั้นน่ากลัว
และเมื่อโตเป็นสาวคนเราก็ต้องมีแฟน จากการพาเพื่อนมาบ้านก็กลายเป็นพาแฟนมาที่บ้าน แน่นอนว่าไม่ว่าพี่จะพาใครมาบ้าน แม่ก็จะไม่เคยรู้เสมอ บางครั้งเราถูกสั่งให้ออกไปตลาด ไปเดินเล่นอยู่คนเดียวและนั่งรออยู่ที่สวน เพื่อให้พี่และแฟนที่พามาได้มีอะไรกันให้เสร็จก่อนถึงจะกลับเข้าบ้านได้ จากการพาแฟนมาบ้านที่เปลี่ยนหน้าไปเรื่อยๆ เริ่มมีการมาเป็นคู่ บ้านที่เราอยู่กลายเป็นแหล่งห้องพักรายวันให้วัยรุ่นได้มามีเซ็กส์กัน และเราก็อยู่ในบ้านนั้นด้วย เราที่อายุ11 หรือเด็กป.6 เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างแต่ก็ยังหุบปากอยู่เสมอ
ครั้งแรกที่ความแตก พี่และแฟนกำลังทำกิจกรรมที่คุ้นเคยจนเลยเวลาที่ควรจะรีบกลับบ้านก่อนแม่จะมา และใช่แม่กลับมาทันเห็นทุกอย่าง พี่และแฟนถูกดุด่าใหญ่โต มีการแจ้งความเกิดขึ้นเพราะแม่โมโหมาก ถูกสั่งห้ามให้พาใครมาบ้านอีก และสั่งให้เลิกกันไป แน่นอนว่าพี่ก็บอกว่าจะไม่ทำอีก และคนเป็นแม่ก็ให้อภัยเสมอ หลังจากเหตุการณ์นี้ เราไม่เคยได้รับคำถามจากผู้เป็นพ่อหรือแม่ว่าเรารู้สึกเช่นไร เป็นอะไรหรือเปล่า สภาพจิตใจเราแย่แค่ไหน ทุกคนปล่อยให้มันผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เวลาผ่านไปไม่ถึง1ปี พี่มีแฟนใหม่แอบพามาที่บ้านเหมือนเดิม และเรื่องราวก็เริ่มวนลูปต่อไป จนครั้งสุดท้ายนี้มันเป็นลูปที่โครตนรกสำหรับเรา ตอนนั้นเราขึ้นม.1แล้ว ส่วนพี่ก็อยู่ม.6กำลังขึ้นมหาลัยฯ ความมักเกิดตอนนี้มั้ยนะ ตอนที่ชีวิตกำลังมีหนทางใหม่ๆ รักในวัยรุ่นมักมาพร้อมกับอะไรที่ไม่พร้อม และก็ใช่พี่เราตั้งท้อง เมื่อไม่พร้อมการทำแท้งเป็นสิ่งที่จำเป็นมากกว่าให้เด็กเกิดมาให้ที่ที่ไม่พร้อมยิ่งกว่า เรารับรู้เรื่องนี้ดี แต่การแก้ปัญหาของพี่กลับเป็นเราที่ต้องเข้าไปเกี่ยว พี่ไม่ต้องการบอกให้ที่บ้านรับรู้ และไม่อยากเสียอนาคตตัวเองไป การทำแท้งจึงเป็นหนทางเดียว เราจึงถูกสั่งให้ช่วยเก็บเงินสำหรับค่าใช้จ่ายในทำแท้ง โดยมีคำพูดที่ว่า “ถ้าไม่ทำก็ตัดพี่ตัดน้องไปเลย” ทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้อาจจะคิดว่า ‘โง่หรือเปล่าโดนทำอะไรมามากมายขนาดนี้ก็ตัดพี่ตัดน้องกันไปจะเลยกลัวอะไร’ แต่เรากลัว ชีวิตเราเติบโตมากับความกลัวโตมากับการที่ต้องทำตามคำสั่ง เราใจสั่นทุกครั้งที่โดนเสียงดังใส่ เรากลัวทุกคำขู่ และเพราะเราคิดว่านี่คือคำว่าครอบครัว เรายอมแบ่งเงินค่าขนมให้พี่แต่มันก็น้อยมาก เพราะเงินแต่ละวันของเราที่ได้คือ60-80บาท มันไม่เพียงพอเท่าความเร็วของเด็กที่กำลังโตในแต่ละวัน
ค่าแรกเข้าสำหรับเรียนมหาลัยฯจึงเป็นทางเลือกสุดท้าย พี่นำเงินที่พ่อให้ไปจ่ายค่าเทอมไปใช้จ่ายกับค่ารักษา และแอบเก็บกระเป๋าพร้อมวางจดหมายทิ้งไว้อ้างว่านำเงินไปเที่ยวเล่นจนหมดแล้ว แม่อ่านจดหมายและร้องไห้ ภาพนั้นยิ่งทำให้คำพูดทุกอย่างมันถูกปิดตายไปในใจเรา ถ้าเราพูดจะเกิดอะไรขึ้น แม่โทรหาและขอให้พี่กลับมา แน่นอนว่าแม่ก็ให้อภัยเสมอ หลังจากหายไป1วันพี่ก็กลับมา ขอโทษว่าจะไม่ทำอีก และจะเก็บเป็นบทเรียน เช่นเคยทุกคนทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ให้อภัยและพยายามเป็นครอบครัวที่มีความสุขต่อไป
พี่กับแฟนที่เป็นพ่อของเด็กก็ดูเหมือนจะเลิกกัน แต่วันนึงที่พี่พาแฟนคนนี้มาที่บ้าน ทั้งคู่ทะเลาะกัน เราไม่รู้ว่าเรื่องอะไร เริ่มมีการทำร้ายร่างกาย เรานั่งอยู่อีกมุมห้องจึงไม่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด หลังจากนั้นมีการโทรเรียกแม่ มีการแจ้งความอีกครั้ง และคำพูดแรกที่เราได้รับคือ “ก็ไม่ช่วยอะไรเลย” แม่กับพ่อตกใจและปลอบขวัญพี่กันยกใหญ่ และเราก็ไม่เคยได้รับคำถามจากพ่อแม่เช่นเคย อาจเพราะมีอีกคนที่น่าเป็นห่วงกว่าเสมอ เรายังเด็กคงไม่รู้เรื่องอะไร พ่อแม่เราคงจะคิดแบบนี้ แต่สภาพจิตใจเราแตกสลายไปหมดแล้ว
ชีวิตหลังจากนี้ดีขึ้นเพราะการไม่ต้องพบหน้ากันระหว่างเรากับพี่ เพราะพี่ย้ายไปอยู่หอแล้ว เรามีเรื่องทะเลาะกันน้อยลง ไม่มีเรื่องทำร้ายจิตใจกันพักใหญ่แล้ว เราโตขึ้นและใช้ชีวิตช่วงมหาลัยตามปกติ เราคิดด้วยซ้ำว่าเราคงเป็นพี่น้องที่รักกันได้แล้ว เราคิดว่าตัวเองลืมเรื่องที่เกิดขึ้นไปดีกว่า ใช้ชีวิตต่อไปสิ
แต่เมื่อเราเรียนจบ ทำงานที่แรกได้เกือบ3ปี เราลาออกจากอาการป่วยต่างๆ ความเครียดสะสมจากที่ทำงาน สภาพจิตใจแย่มากจนพยายามจะเตรียมของสำหรับการ suicide เป็นช่วงเดียวกับที่พี่สาวเราแต่งงานและตั้งท้อง มีการพูดคุยกันว่าจะหาคนมาเลี้ยงหลานจากไหนดี เราจึงอาสาว่าให้เราลองเลี้ยงดูมั้ย เรากำลังจะลาออกพอดี ให้ค่าจ้างเท่าที่ไหวได้เลย (และนี่เป็นอีกครั้งที่ความคิดนี้มันผิดพลาดที่สุด) แม่เราก็เห็นดีด้วยเพราะแม่ก็ฝังใจกับการฝากเลี้ยงเด็กที่เนิสเซอร์รี่ และคุยกันว่าหากเราเลี้ยงไม่ไหว ก็ค่อยกลับไปหางานทำ ที่แม่เราไม่ได้เป็นคนเลี้ยงเพราะยังต้องทำงานจ่ายหนี้สินที่มีอยู่ เราจึงกลับมาอยู่บ้านหลังจากก่อนหน้านี้ออกไปอยู่เองกับแฟน โดยแม่ยินดีให้พาแฟนมาอยู่ด้วย เนื่องจากพ่อเราทำงานต่างจังหวัด การมีผู้ชายอยู่ด้วยก็น่าจะช่วยเหลือได้
หลังจากพี่คลอดลูกได้2เดือน เราก็ลาออกจากงาน เราช่วยเลี้ยงหลานต่อหลังจากอายุได้3เดือน ข้อตกลงคือพี่ให้ค่าจ้างเป็นเงิน 6,000 โดยในทีแรก บอกว่าตัวพี่จะเป็นคนจ่าย4,000 และพ่อจะให้เพิ่มอีก2,000 (พ่อเราที่ไม่ใช่พ่อเด็ก) เราโอเคเพราะคิดว่าคงเลี้ยงในระยะสั้น แล้วตัวเราไม่มีภาระค่าใช้จ่ายมากมาย แต่หลังจากเริ่มเลี้ยงหลานได้1เดือน เป็นช่วงเวลาที่เครียดมาก เลี้ยงเด็กแบบคนไม่มีความรู้ ต้องชงนมกล่อมนอนทุก3ชม. ฟังเสียงร้องที่หลอนไปในแก้วหู เริ่มถามตัวเองว่าทำอะไรอยู่ เอาชีวิตวัยรุ่นที่ควรได้ใช้เต็มที่ไปแลกกับอะไรกัน เพราะคิดว่าที่บ้านจะทำเราให้สบายใจขึ้นละมั้ง แต่ก็เป็นอีกครั้งที่การกลับมาอยู่ด้วยกันของเรากับพี่มันเลวร้ายกว่าเดิม เรามักถูกตำหนิหากเลี้ยงหลานได้ไม่ถูกใจ พี่คอยออกคำสั่งว่าต้องทำแบบนี้ เลี้ยงแบบนั้น ขวดนมต้องช่วยล้าง เสื้อผ้าหลานต้องช่วยซัก ต้องคอยตัดเล็บ ทำอาหารให้กินทุกมื้อ แน่นอนเราทำเต็มที่เพราะเราก็รักและเอ็นดู แต่กลับกัน พี่เราไม่ทำอะไรเลย ไม่ล้างขวดนม ไม่ซักผ้าลูก ไม่เอาลูกเข้านอนด้วยตอนกลางคืนและให้นอนกับแม่เราแทน ทุกอาทิตย์มีการออกไปกินข้าวกับสามี หรือพบปะกับเพื่อนฝูงอยู่เรื่อยๆ สามีพี่ที่ไปๆมาๆ ไม่ค่อยได้พูดคุยกันมากนักเพราะได้รู้จักก็ตอนที่พี่ตั้งท้องแล้ว สามีพี่จึงมักจะตัวติดอยู่กับพี่และคอยทำตามคำสั่ง หากไม่สั่งก็ไม่ทำ เช่นจานที่ตัวเองกิน หากไม่สั่งก็ไม่ล้าง หลายครั้งที่แม่จะเป็นคนเก็บกวาดให้เสมอ และเมื่อแม่เริ่มบ่นว่าเหนื่อยกับการเลี้ยงหลาน และการไม่ทำอะไรเลยของพี่ พี่จึงตัดสินจะพาหลานเข้าเนิสเซอร์รี่เพราะคิดว่าคนอื่นในบ้านมองลูกตัวเองเป็นภาระ โดนยื่นคำขาดมาว่าจะไม่จ่ายเงินค่าจ้างเราในเดือนสุดท้าย เพราะต้องการนำไปจ่ายค่าแรกเข้าเนิสเซอร์รี่ และให้เราไปหางานทำซะ เราเครียดเพราะเตรียมตัวไม่ทัน เพราะหากเราไม่ได้ค่าจ้างจะเอาเงินจากไหนไปหางานทำ หรือไว้ใช้สำหรับการทำงานในเดือนแรก และแม่ได้พูดกับเราในทันทีว่า “อยู่เฉยๆไม่ต้องไปพูดอะไร เดี๋ยวมันอารมณ์เย็นลงก็กลับมาจ้างต่อเองแหละ” โดยมีพ่อพูดประโยคเดียวกันกับเราทีหลังอีกครั้ง เราเริ่มรู้สึกว่ามันเป็นอีกครั้งแล้วสินะที่ความรู้สึกของเรา อนาคตชีวิตของเราถูกเมินเฉยอีกแล้ว
ในช่วงเหตุการณ์นี้ พี่สาวเริ่มโพสเหน็บแหนบ ต่อว่าที่บ้าน โพสลงว่าที่บ้านมองลูกของพี่เป็นภาระ ตัวเองเลยจะแก้ปัญหานี้เอง ยอมเป็นคนเห็นแก่ตัวเพื่อลูก เอาลูกออกมาจากคนที่ไม่ได้อยากเลี้ยงดู (ซึ่งพี่หมายถึงตัวเราเพราะคิดว่าเราเลี้ยงหลานแบบส่งๆ) เราอ่านแล้วรู้สึกโมโหกับการด่าว่าโดนที่ทั้งเราและแม่ก็ทำเต็มที่แล้ว เราจึงพิมพ์ข้อความคุยในกลุ่มครอบครัวว่าทุกคนทำเพื่อหลานเต็มที่แล้ว และเราก็ต่อว่าพี่ไปเช่นกันในเรื่องที่ไม่ทำอะไรบ้างเกี่ยวกับลูก พี่ก็ยังยืนยันคำเดิมว่าจะตัดปัญหาด้วยการส่งเนิสเซอร์รี่เอง ในวันต่อๆมาพี่จึงทำเองทุกอย่าง เช่นการล้างขวดนม และพาลูกไปนอนพร้อมกันตอนกลางคืน