เราขอถามใครพอจะรู้บ้างว่าถ้าจะแจ้งความตำรวจจะรับแจ้งความไหม
เรื่องมีอยู่ว่าเราทำงานโรงงานที่มีแรงงานเพื่อนบ้านอยู่ เขาเข้ามาทำงานได้ประมาณ 2 เดือนกว่า แล้วเรื่องมันก็เกิดขึ้นในวันที่ 25 ตุลาคม 2566 เขายืนอยู่ด้านหลังเราขณะที่เรากำลังทำงานอยู่เราหันหลังจึงเห็นเขา เราก็ถามว่ามีอะไร เขาก็ไม่พูดเราจึงตัดสินใจพาไปหาหัวหน้างาน ในวันนั้นเขามีเรื่องกับเพื่อนในแผนกแต่เป็นเรื่องงาน หัวหน้าจึงคิดว่าน่าจะเรื่องงาน แต่พอพาไปหาหัวหน้างานเขาก็ไม่พูดเราจึงพาไปหาคนที่สามารถแปลได้ ก็ยืนอยู่นาน เขาจึงบอกว่าชอบเรา เราเองก็ตกใจตอนนั้น หัวหน้างานจึงบอกให้แยกย้าย วันที่ 26 ตุลาคม 66 เวลาประมาณบ่ายสองโมง เราเดินออกไปในไลน์ผลิต เขาเดินมาข้างหลังเราและสะกิดเรา พยายามบอกรักเราแล้วเขาก็เขียนที่ฝ่ามือว่า love you ซึ่งเราก็บอกรู้แล้วเราก็ไล่เขาไป แล้วเราก็เดินหนีจากตรงนั้น จากนั้นประมาณ 3 วันเราไปทำงานต่างสาขาที่ต่างจังหวัด พอวันที่ 30 ตุลาคม 66 ช่วงเวลาประมาณบ่ายสองโมง เขาก็เดินมาด้านหลังเราอีกแล้วพร้อมกับยื่นจดหมายให้และถามว่าไม่เห็นหน้าคุณ 2 วันเป็นอย่างไรบ้าง เราจึงเห็นท่าไม่ดีเพราะคิดว่าเราไม่ได้ชอบเขาควรบอกเขาไป เราจึงเข้าแปลภาษาแล้วพิมพ์บอกว่ามีแฟนแล้ว แล้วก็ถามเข้าใจไหม เขาพยักหน้าเหมือนเข้าใจแล้วเดินไป จากนั้นเราจึงเล่าให้ผู้จัดการฟัง เขาก็รับเรื่องไว้ แต่คงมองว่าเป็นเรื่องปกติ เราก็คิดว่าคงจบแล้ว แต่วันที่ 31 ตุลาคม 66 เวลาเดิมประมาณบ่ายสองโมง เขาเข้ามาที่ห้องทำงานเรา ซึ่งห้องทำงานเราอยู่ในแผนก ตอนนั้นไม่ใครอยู่ เราอยู่คนเดียว แต่ก็มีพม่าที่ทำงานในไลน์ผลิตมองเห็นบ้าง จึงคอยดูให้ เขาเข้ามาแล้วพยายามแปลภาษาให้เราเข้าใจว่าเขารักเรา เราแปลไปอีกว่าเราไม่ได้รักเขาเลย แล้วเขาก็อ่านแล้วเดินออกไป เห็นพี่ในแผนกบอกเขาคงเสียใจน่าเศร้า เราก็คิดว่าคงจบแล้ว วันที่ 1 พฤศจิกายน 66 ช่วงเช้าประมาณ 09.55 น. เราทำงานอยู่ห้องชั่งสารเคมีซึ่งมีพนักงานในนั้น 1 คน เขาเข้ามาและเปิดไลน์ให้เรา เราไม่ให้ และไม่เข้าใจว่าทำไมยังตามอยู่ เราแจ้งผู้จัดการเรียบร้อย ช่วงบ่ายโมงจะมีการเรียกมาตักเตือนและให้ตัดใจและทำงานเก็บเงินไม่อย่างนั้น จะให้ออกเพราะเรากลัว และอาจไม่สามารถทำงานได้ จากนั้นวันที่ 2 พฤศจิกายน66 ดูเหมือนทั้งวันจะปกติ แต่พอเวลาเลิกงานเราเลิกงานช่วงเวลาประมาณ 18:20 น. เราเดินไปที่โรงจอดรถแล้วพบว่ามีผู้ชายนั่งอยู่คนหนึ่ง เราไม่ทันสังเกตุดูว่าเป็นใคร เพราะมันมืดด้วย เขาลุกขึ้นแล้วเดินตามหลังเรา เรารู้สึกว่ามีคนเดินตามหลังมาเราจึงรีบเดินไปที่รถ ซึ่งเป็นความโชคดีที่แม่รอเราอยู่ที่รถเพราะต้องกลับพร้อมกัน แม่เราตะโกนเสียงดัง เราหันหลังไปจึงรู้ว่าเป็นเขา เรากลัวมากเพราะตอนนั้นในที่จอดรถไม่มีใครเลยมีแค่แม่และเราและถ้าแม่ไม่อยู่ก็มีแค่เรา หลังจากนั้นจึงโทรบอกผู้จัดการ วันที่ 3 พฤศจิกายน66 บริษัทซับให้เขาออกไม่ให้มาทำงาน แต่เขายังอยู่บริเวณใกล้ๆที่เราอาศัยอยู่ เราก็ยังกลัวอยู่ดี ว่าเราจะปลอดภัยไหม วันนี้ที่ 6 พฤศจิกายน66 เขาจะเข้ามาทำงานทั้งๆที่เคลียร์แล้วว่าให้ออก จากนั้นตำรวจที่ทางบริษัทแจ้งความไว้ก็มานำตัวไปแต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะเขาแปลภาษาให้ทางตำรวจว่าเขาไม่รู้ว่าผิดอะไรทำไมต้องไล่เขาออก จากนั้นตำรวจก็ปล่อยตัวเข้าไป เมื่อเรามาทำงานขับมอเตอร์ไซค์มากับแม่ พอดีกำลังคุยกันเพลินๆไม่ทันเห็นเขา พอดีแม่เราเห็นว่าเขากำลังจะวิ่งเข้ามาที่รถเรา เราจึงรีบบิดเร่งหนี
เราไม่รู้ว่าตำรวจจะรับแจ้งความไหม แล้วแจ้งแล้วจะส่งเขากลับประเทศเขาไหม เราโดนคุกคาม ตั้งแต่มาด้านหลังเราโดยมาใกล้ๆ ตามในที่มืดๆ ขอสอบถามเลยว่าแบบนี้สามารถแจ้งดำเนินคดีได้เลยไหมหรือแค่ลงบันทึกไว้ เราเป็นประชาชนในประเทศเราควรปลอดภัยหรือป่าว
ถูกคุกคามจากชายประเทศเพื่อนบ้าน
เรื่องมีอยู่ว่าเราทำงานโรงงานที่มีแรงงานเพื่อนบ้านอยู่ เขาเข้ามาทำงานได้ประมาณ 2 เดือนกว่า แล้วเรื่องมันก็เกิดขึ้นในวันที่ 25 ตุลาคม 2566 เขายืนอยู่ด้านหลังเราขณะที่เรากำลังทำงานอยู่เราหันหลังจึงเห็นเขา เราก็ถามว่ามีอะไร เขาก็ไม่พูดเราจึงตัดสินใจพาไปหาหัวหน้างาน ในวันนั้นเขามีเรื่องกับเพื่อนในแผนกแต่เป็นเรื่องงาน หัวหน้าจึงคิดว่าน่าจะเรื่องงาน แต่พอพาไปหาหัวหน้างานเขาก็ไม่พูดเราจึงพาไปหาคนที่สามารถแปลได้ ก็ยืนอยู่นาน เขาจึงบอกว่าชอบเรา เราเองก็ตกใจตอนนั้น หัวหน้างานจึงบอกให้แยกย้าย วันที่ 26 ตุลาคม 66 เวลาประมาณบ่ายสองโมง เราเดินออกไปในไลน์ผลิต เขาเดินมาข้างหลังเราและสะกิดเรา พยายามบอกรักเราแล้วเขาก็เขียนที่ฝ่ามือว่า love you ซึ่งเราก็บอกรู้แล้วเราก็ไล่เขาไป แล้วเราก็เดินหนีจากตรงนั้น จากนั้นประมาณ 3 วันเราไปทำงานต่างสาขาที่ต่างจังหวัด พอวันที่ 30 ตุลาคม 66 ช่วงเวลาประมาณบ่ายสองโมง เขาก็เดินมาด้านหลังเราอีกแล้วพร้อมกับยื่นจดหมายให้และถามว่าไม่เห็นหน้าคุณ 2 วันเป็นอย่างไรบ้าง เราจึงเห็นท่าไม่ดีเพราะคิดว่าเราไม่ได้ชอบเขาควรบอกเขาไป เราจึงเข้าแปลภาษาแล้วพิมพ์บอกว่ามีแฟนแล้ว แล้วก็ถามเข้าใจไหม เขาพยักหน้าเหมือนเข้าใจแล้วเดินไป จากนั้นเราจึงเล่าให้ผู้จัดการฟัง เขาก็รับเรื่องไว้ แต่คงมองว่าเป็นเรื่องปกติ เราก็คิดว่าคงจบแล้ว แต่วันที่ 31 ตุลาคม 66 เวลาเดิมประมาณบ่ายสองโมง เขาเข้ามาที่ห้องทำงานเรา ซึ่งห้องทำงานเราอยู่ในแผนก ตอนนั้นไม่ใครอยู่ เราอยู่คนเดียว แต่ก็มีพม่าที่ทำงานในไลน์ผลิตมองเห็นบ้าง จึงคอยดูให้ เขาเข้ามาแล้วพยายามแปลภาษาให้เราเข้าใจว่าเขารักเรา เราแปลไปอีกว่าเราไม่ได้รักเขาเลย แล้วเขาก็อ่านแล้วเดินออกไป เห็นพี่ในแผนกบอกเขาคงเสียใจน่าเศร้า เราก็คิดว่าคงจบแล้ว วันที่ 1 พฤศจิกายน 66 ช่วงเช้าประมาณ 09.55 น. เราทำงานอยู่ห้องชั่งสารเคมีซึ่งมีพนักงานในนั้น 1 คน เขาเข้ามาและเปิดไลน์ให้เรา เราไม่ให้ และไม่เข้าใจว่าทำไมยังตามอยู่ เราแจ้งผู้จัดการเรียบร้อย ช่วงบ่ายโมงจะมีการเรียกมาตักเตือนและให้ตัดใจและทำงานเก็บเงินไม่อย่างนั้น จะให้ออกเพราะเรากลัว และอาจไม่สามารถทำงานได้ จากนั้นวันที่ 2 พฤศจิกายน66 ดูเหมือนทั้งวันจะปกติ แต่พอเวลาเลิกงานเราเลิกงานช่วงเวลาประมาณ 18:20 น. เราเดินไปที่โรงจอดรถแล้วพบว่ามีผู้ชายนั่งอยู่คนหนึ่ง เราไม่ทันสังเกตุดูว่าเป็นใคร เพราะมันมืดด้วย เขาลุกขึ้นแล้วเดินตามหลังเรา เรารู้สึกว่ามีคนเดินตามหลังมาเราจึงรีบเดินไปที่รถ ซึ่งเป็นความโชคดีที่แม่รอเราอยู่ที่รถเพราะต้องกลับพร้อมกัน แม่เราตะโกนเสียงดัง เราหันหลังไปจึงรู้ว่าเป็นเขา เรากลัวมากเพราะตอนนั้นในที่จอดรถไม่มีใครเลยมีแค่แม่และเราและถ้าแม่ไม่อยู่ก็มีแค่เรา หลังจากนั้นจึงโทรบอกผู้จัดการ วันที่ 3 พฤศจิกายน66 บริษัทซับให้เขาออกไม่ให้มาทำงาน แต่เขายังอยู่บริเวณใกล้ๆที่เราอาศัยอยู่ เราก็ยังกลัวอยู่ดี ว่าเราจะปลอดภัยไหม วันนี้ที่ 6 พฤศจิกายน66 เขาจะเข้ามาทำงานทั้งๆที่เคลียร์แล้วว่าให้ออก จากนั้นตำรวจที่ทางบริษัทแจ้งความไว้ก็มานำตัวไปแต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะเขาแปลภาษาให้ทางตำรวจว่าเขาไม่รู้ว่าผิดอะไรทำไมต้องไล่เขาออก จากนั้นตำรวจก็ปล่อยตัวเข้าไป เมื่อเรามาทำงานขับมอเตอร์ไซค์มากับแม่ พอดีกำลังคุยกันเพลินๆไม่ทันเห็นเขา พอดีแม่เราเห็นว่าเขากำลังจะวิ่งเข้ามาที่รถเรา เราจึงรีบบิดเร่งหนี
เราไม่รู้ว่าตำรวจจะรับแจ้งความไหม แล้วแจ้งแล้วจะส่งเขากลับประเทศเขาไหม เราโดนคุกคาม ตั้งแต่มาด้านหลังเราโดยมาใกล้ๆ ตามในที่มืดๆ ขอสอบถามเลยว่าแบบนี้สามารถแจ้งดำเนินคดีได้เลยไหมหรือแค่ลงบันทึกไว้ เราเป็นประชาชนในประเทศเราควรปลอดภัยหรือป่าว