“การมีมติดังกล่าว เพราะกระทรวงพาณิชย์มีความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชน ไม่ให้ได้รับความเดือดร้อนจากน้ำตาลทรายที่แพงขึ้น และยังมีผลกระทบต่อทุกภาคส่วนที่ใช้น้ำตาลทรายเป็นวัตถุดิบ ทั้งสินค้ากลุ่มอาหารกระป๋อง เครื่องดื่ม ยา ขนมหวาน ที่อาจจะมีการปรับขึ้นราคา ซึ่งเป็นไปตามคำสั่งการของนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้ดูแล ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ให้ประชาชน ซึ่งหลังจากนี้ จะมีการเสนอให้ ครม. เห็นชอบในวันพรุ่งนี้ 31 ต.ค. ทันที และประกาศลงราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้ต่อไป”
ส่วนระหว่างนี้ก็ขอให้ร้านค้าปลีก จำหน่ายน้ำตาลทรายราคาขายปลีกเดิม 24-25 บาทไปก่อน เพราะน้ำตาลทรายไม่มีการปรับขึ้นราคาแล้ว อีกทั้งยังมีสต๊อกเก่าอยู่ หากมีการขายเกินราคาควบคุม จะมีความผิด มีโทษจำคุก 5 ปี ปรับ 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และกรณีกักตุน จะมีโทษจำคุก 7 ปี ปรับ 1.4 แสน หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยประชาชนหากพบเห็นหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมให้ร้องเรียนสายด่วน 1569 จะเข้าไปตรวจสอบทันที
         นายภูมิธรรม กล่าวว่า อย่างไรก็ตามการกำหนดราคาขายปลีก และราคาหน้าโรงงานน้ำตาลทรายครั้งนี้ จะไม่กระทบต่อเกษตรกรชาวไร่อ้อย ทุกอย่างยังคงได้รับสิทธิประโยชน์ตามเดิม ซึ่งหลังจากนี้กระทรวงอุตสาหกรรมจะเข้าไปดูแล โดยรัฐบาลพร้อมเข้าไปหางบประมาณสนับสนุนดูแลให้ไม่ว่าจะเป็นการดูแลต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น รวมถึงการเกษตรกรที่ตัดอ้อยสดส่งเข้าโรงงานน้ำตาลโดยไม่ใช้วิธีการเผา เพื่อลดฝุ่นพีเอ็ม 2.5
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบมาตรการ ดูแลการส่งออกน้ำตาลที่มีปริมาณตั้งแต่ 1 ตัน หรือ 1,000 กก. ขึ้นไป จะต้องขออนุญาตจากคณะอนุกรรมการที่จะจัดตั้งขึ้น ซึ่งมีเลขาธิการ สอน. เป็นประธาน มีรองอธิบดีกรมการค้าภายใน ซึ่งจะกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีกำกับดูแลต่อไป เพื่อให้น้ำตาลทรายมีเพียงพอใช้ในประเทศ แต่จะไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกน้ำตาลทรายของไทย