เด็กเทพวัดไผ่ตัน The Hero From Phaitan Temple ตอนที่ 5


ตอนที่  5  สาวปุ๊ผู้แสนดี

                ด้วยความช่วยเหลือจากสาวปุ๊เลยทำให้ผมได้รับอนุญาตจากสำนักงานใหญ่ให้พักอยู่ที่สาขา อ.ยางตลาดได้เลย  ผมดีใจมากรีบขอบคุณสาวปุ๊เป็นการใหญ่  ทีนี้กูไม่ต้องเสียเงินไปเช่าห้องพักอีกแล้วดีจริงๆแล้วอีกอย่างจะได้อยู่ใกล้ชิดกับสาวปุ๊คนงามด้วย...ฮ้าๆๆๆ  (ใช่ไหมวะไอ้สติ - เออ!..แล้วแต่)  

                เรื่องการทำงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและราบรื่น  ผมเรียนรู้เรื่องการทำงานได้รวดเร็วและแม่นยำภายในเวลาเพียง 2 สัปดาห์  ทุกคนต่างก็ชื่นชมในความสามารถของผม  (ก็คนมันฉลาดนี่หว่า...หึๆๆๆ - เอาอวยตัวเองเข้าไปไอ้ฟาย – ไอ้สติอย่ามายุ่งเรื่องของกูได้ไหมวะกูรำคาญ - เออ..ขาดกูแล้วจะรู้สึก)  การงานเริ่มไปได้ดีแต่เรื่องความรักคงต้องติดตามกันต่อไป  พูดถึงเรื่องความรักแล้วทำให้ผมอดนึกถึงกุ๊กไก่ไม่ได้ถึงผมจะคิดกับเธอว่าเป็นน้องสาว  แต่สาวเจ้าคงไม่คิดอย่างนั้น  นี่ก็ 3 เดือนกว่าแล้วที่ผมจากมา  เฮ้อ!..ป่านนี้น้องสาวคนสวยของพี่จะเป็นยังไงบ้างหนอ  กุ๊กไก่...พี่ขอโทษนะ...ขอโทษจากใจจริง  ขอให้คิดซะว่าเราไม่มีวาสนาต่อกันก็แล้วกันนะกุ๊กไก่ผมได้แต่พึมพำในใจแล้วก็หลับไปพร้อมกับขวดเหล้าที่อยู่ข้างกาย

                เริ่มต้นวันใหม่ด้วยความสดใสสดชื่นเรื่องการทำงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและราบรื่น  ส่วนเรื่องความรักนั่นนะรึกำลังจะเป็นไปได้สวย...หึๆๆๆ...จากการที่ผมได้พักอยู่ในสำนักงานสาขายางตลาดแห่งนี้  ทำให้ปุ๊กับผมได้พูดคุยทำความรู้จักกันมากขึ้นซึ่งทำให้เราสนิทสนมกันมาก  ที่เราพูดคุยกันถูกคอกันเป็นอย่างดีนั้นอาจเป็นเพราะเรามาจากสภาพครอบครัวที่ไม่แตกต่างกันมากนัก  เป็นชนชั้นกลางไม่รวยแล้วก็ไม่จนบ้านของปุ๊มีอาชีพทำไร่ทำสวนส่งสินค้าเข้าไปขายในตลาด  เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัวและส่งลูกๆเรียนหนังสือ  แต่เรื่องที่หน้าเศร้าก็เกิดขึ้นเมื่อพ่อของปุ๊ได้เสียชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุตอนที่ปุ๊เรียนอยู่ชั้น ปวช.3  แผนกการบัญชี  ปุ๊จึงหมดโอกาสที่จะเรียนต่อ  จึงต้องออกมาช่วยแม่ทำงานหาเงินช่วยแม่เพื่อส่งให้น้องๆได้เรียนต่อครั้นจะไปทำงานต่างพื้นที่ก็ห่วงแม่  ส่วนผมนะเหรอฐานะทางบ้านก็ไปต่างไปจากปุ๊เท่าไหร่  ผมเป็นลูกโทนบางคนอาจคิดว่าลูกโทนสบายแต่กับพ่อกับแม่ของผมไม่มีให้สบายต้องช่วยงานบ้านทุกชนิด  ในวันหยุดช่วงเรียนประถมก็จะให้ผมไปทำงานรับจ้างที่โรงงานผลิตข้าวเกรียบกุ้งในหมู่บ้านทำเฉพาะช่วงเช้าก่อนไปโรงเรียนได้ค่าจ้างวันละ 5 บาท  พอโตขึ้นมาหน่อยตอนเรียนมัธยม  ในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์  ก็จะรับจ้างทำสวนแล้วแต่นายจ้างเขาจะให้ทำอะไรได้ค่าจ้างวันละ 40 บาท  แต่รายได้ของผมแม่จะไม่มายุ่งเลยนอกจากผมจะเอาให้แม่เอง  ส่วนพ่อของผมทำงานเป็นลูกจ้างโรงพิมพ์แห่งหนึ่งในตัวอำเภอป่าซาง  จังหวัดลำพูน  ต้องปั่นจักรยานไป-กลับประมาณ 10 กิโลเมตร ทุกวันเว้นวันหยุด  พอผมเรียนจบมัธยมปลายผมเข้ามาสอบเรียนต่อในกรุงเทพฯ  สอบติดที่โรงเรียนสัตวแพทย์ กรมปศุสัตว์  โดยมีญาติผู้ใหญ่ของเพื่อนผมที่สอบติดเรียนต่อในสถาบันเดียวกัน นำเพื่อนกับผมไปฝากเป็นลูกศิษย์ของท่านพระครูสุพินหรือหลวงพ่อสุพิน วัดไผ่ตัน  สะพานควาย  ท่านเมตตารับผมกับเพื่อนไว้เป็นลูกศิษย์อุปถาก  ซึ่งทำให้ผมประหยัดค่าใช้จ่ายในขณะที่อยู่กรุงเทพฯเป็นอันมาก  ระหว่างอยู่ที่กรุงเทพฯผมเก็บเงินซื้อกีตาร์ไว้ซ้อมหัดเล่นหนึ่งตัวซึ่งผมรักมาก  หัดเล่นจนชำนาญจะเดินทางไปที่ไหนก็ต้องเอากีตาร์ติดตัวไปด้วยเสมอ  ผมชอบเล่นกีตาร์ให้ปุ๊ฟังบ่อยๆซึ่งเธอเองก็ชอบเอามากๆ 
   
                วันเวลาผ่านไปจากความสนิทสนมแบบเพื่อนร่วมงานกันธรรมดาแต่แล้วมันก็มีความรู้สึกบางอย่างที่มันไม่ธรรมดาซะแล้ว  นี่มันคงจะเป็นบุพเพสันนิวาทไหมนะที่ทำให้เราสองคนมาพบกัน  หลังเลิกงานเราสองคนมักจะชวนกันไปกินข้าวแกงหรือไม่ก็ก๋วยเตี๋ยวแถวร้านอาหารโต้รุ้งที่อยู่ข้างๆสำนักงาน  หรือไม่ก็จะซื้อของมาทำกับข้าวร่วมกับพวกพี่ๆพนักงานใครอยากกินอะไรก็จัดหากันมาเอง  ผมเป็นแผนกสร้างความบันเทิงเล่นกีตาร์ร้องเพลงเป็นที่สนุกสนาน  ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับผมจริงๆ  ในวันหยุดปุ๊มักจะชวนผมไปเที่ยวที่บ้านของเธอเสมอซึ่งก็อยู่ไม่ห่างจากสำนักงานมากนักประมาณ  5  กิโลเมตรเห็นจะได้แต่ทางค่อนข้างเปลี่ยวมาก  “ถึงว่าซิปุ๊ถึงไม่อยากกลับบ้านตอนกลางคืนเพราะเป็นแบบนี้นี่เอง” ผมคิดในใจ  มาถึงบ้านของปุ๊แล้วปุ๊ได้แนะนำให้รู้จักสมาชิกในครอบครัว  ประกอบด้วย  แม่น้อย  แม่ของปุ๊  น้องสาวชื่อปลาย  และน้องชายคนเล็กชื่อปอ  โดยปุ๊เล่าให้ฟังว่าหลังจากพ่อของปุ๊เสียชีวิตไปได้หลายปีแล้ว  แม่ก็แก่แล้ว  น้องๆก็ยังอยู่ในวัยเรียน  ปุ๊จึงต้องทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัวแทนพ่อไปโดยปริยาย  ผมได้ฟังปุ๊เล่าแล้วอดสงสารไม่ได้  แม่เจ้าประคุณเอ๊ย!..ช่างน่าสงสารจริงๆถ้าเป็นไปได้ผมขออาสาเป็นช้างเท้าหน้าให้ปุ๊เองนะครับ (ไอ้ฟายฝันกลางวันอยู่รึไงวะ...ฮ้าๆๆๆ - ไอ้สติมากวนตีนกูอีกแล้วนะไปไกลๆเลย...ไอ้เวร)  

                หลังจากวันนั้นปุ๊ก็มักจะพาผมมาเยี่ยมครอบครัวของเธออีกบ่อยครั้งในช่วงวันหยุดจนคุ้นเคยกับครอบครัวของเธอเป็นอย่างดี  โดยเฉพาะกับแม่น้อยผมสังเกตเห็นว่าท่านจะชอบใจผมเป็นอย่างมาก  มีอยู่วันหนึ่งผมกับปุ๊ก็เข้าไปเยี่ยมครอบครัวของปุ๊ตามปกติ  แต่แล้วจู่ๆแม่น้อยก็เข้ามากระซิบกับผมบอกว่า 
                “หนึ่ง...ถ้าอยากเป็นลูกเขยของแม่ล่ะก็ให้รีบยกขันหมากมาสู่ขอปุ๊ได้เลยนะ...แม่ยกให้”  แล้วแม่น้อยก็หัวเราะชอบใจพร้อมตะโกนบอกปุ๊ว่า 
                “ปุ๊เอ๊ย!...ทำกับข้าวเสร็จรึยังลูกรีบๆหน่อย...ว่าที่ลูกเขยของแม่หิวจนไส้จะขาดอยู่แล้ว”  แม่น้อยหัวเหราะชอบใจ  ปุ๊ได้ยินรีบออกมาจากห้องครัวหน้าแดงแบบอายๆ 
                “แม่...พูดอะไรหนะ...ลูกเขยอะไรกันไม่ใช่ซะหน่อย”  แล้วเดินจากไปแบบเขินอาย  ผมก็ได้แต่นั่งยิ้มแห้งๆ  ส่วนแม่น้อยและน้องๆต่างหัวเราะชอบใจในอาการเขินอายของหญิงสาวเป็นที่ขบขัน  หลังจากรับประทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้วผมกับปุ๊จึงขอตัวกลับสำนักงานเพราะเริ่มจะมืดค่ำแล้วการเดินทางอาจจะไม่สะดวกทางค่อนข้างเปลี่ยวกลัวจะเกิดอันตราย  ออกจากบ้านแม่น้อยได้ไม่นานนักก็ถึงสำนักงานแล้วในช่วงโพล้เพล้  ผมชวนปุ๊ไปที่ม้านั่งใต้ร่มไม้หน้าสำนักงาน  บรรยากาศช่วงหัวค่ำช่างดีเหลือเกิน  ลมพัดเย็นๆ  ตะวันลับขอบฟ้าไปแล้ว  มองเห็นพระจันทร์กำลังโผล่ขึ้นมาจากแนวหุบเขา ผมเลยพึมพำในใจ  “โอ้แม่เจ้า!!!  โคตรโรแมนติกจริงๆเลยโว้ย!!!”  ผมเข้าไปหยิบกีตาร์มาเล่นชวนปุ๊ร้องเพลงเราสองคนร้องเพลงไป  แล้วก็นั่งพูดคุยหยอกล้อกันไปตามประสา  และแล้วพอสบโอกาสผมเลยยิงคำถามกับสาวปุ๊แบบตรงๆไปเลย 

                “ปุ๊ครับ...เราก็สนิทสนมและก็คบหากันมานานพอสมควรแล้ว  ผมมีความประทับใจในตัวของปุ๊มาก...มากเสียจนอาจจะเรียกว่าความรักก็เป็นได้...ปุ๊ครับ...ปุ๊จะรังเกียจไหมถ้าผมจะขอปุ๊เป็นแฟนกับผม”  ผมเกร็งหน้ากลัวโดนตบ  
                “หนึ่ง”เธอตอบสั้นๆ  กูโดนตบแน่ๆมาขอความรักจากหญิงสาวหน้าสำนักงานนี่นะคิดได้ไงวะ...ไอ้ฟาย  
                “หนึ่งคะ...จากที่เราได้คบหากันมาซักระยะหนึ่งแล้ว  ปุ๊เห็นความเป็นสุภาพบุรุษและความเป็นผู้นำในตัวของคุณ  ซึ่งปุ๊คิดและมั่นใจว่าผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นผู้นำในชีวิตของปุ๊ได้...ปุ๊ยินดีเป็นแฟนกับคุณคะ”  เธอตอบแบบแผ่วเบา  เฮ้ย!!!..นี่กูหูฝาดไปป่าววะ 
                “ปุ๊...ผมหูฝาดไปรึป่าวนี่ปุ๊ตอบรับรักเป็นแฟนกับผมแล้วอย่างนั้นเหรอ?  ผมฝันไปรึป่าวนี่”  ผมตบหน้าตัวเองอย่างแรงตื่นๆไอ้ฟายตื่น  
                “พอแล้วคะหนึ่ง...หนึ่งไม่ได้ฝันไปหรอกคะ  รู้ไหมตอนที่เราเจอกันครั้งแรกๆหนะปุ๊ก็แอบชอบหนึ่งเข้าแล้วชอบความซื่อๆบ๊องๆท่าทางตลกๆ  แต่พอได้รู้จักกันนานๆเข้าปุ๊ก็ประทับใจในตัวตนของคุณมากขึ้นเรื่อยๆ  ทั้งความฉลาดและความเป็นผู้นำ  ปุ๊รู้ตัวอีกทีก็แอบรักหนึ่งเข้าไปแล้ว  แต่ปุ๊เป็นผู้หญิงจะให้แสดงออกแบบออกหน้าออกตาได้ยังไงล่ะ  ได้แต่ภาวนาว่าเมื่อไหร่นะหนึ่งจะขอปุ๊เป็นแฟนซะที  แล้วตอนนี้ปุ๊ดีใจมากเลยที่ได้ยินคำนี้ออกมาจากปากของคุณ” เธอตอบแบบเขินอายสุดๆ  ส่วนผมนะรึเหมือนกับคนบ้ากระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ  
                “โอ้...แม่เจ้า  เป็นวาสนาของไอ้เด็กวัดไผ่ตันแล้ว  หลวงพ่อครับผมขอบพระคุณมากขอรับ  ดีใจจังโว้ย!!!...กูมีแฟนแล้วโว้ย!..”  ผมตะโกนลั่นจนปุ๊ต้องมาตีแขน 
                “หนึ่ง...เบาๆหน่อยซิอายชาวบ้านเขาตะโกนอยู่ได้” 
                “ก็ผมดีใจนี่นามีแฟนสวยขนาดนี้จะสั่งให้ไปบุกป่าลุยไฟที่ไหนก็ยอมล่ะ” 
                “บ้า...พูดเพ้อเจ้อไปได้” แล้วผมก็โอบกอดหญิงสาวผู้เป็นที่รักเข้าไว้แนบกายแล้วพึมพำกับตัวเอง
                “ในที่สุดก็มีวันนี้จนได้นะ...ไอ้เด็กวัดไผ่ตัน”  ผมพำพัมในใจอยู่ในอ้อมกอดของแฟนสาวคนรักอย่างชื่นใจเป็นที่สุด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่