นี่คือเรื่องที่….สุดในชีวิตของว่าที่ คุณแม่ลูก 3
ก่อนอื่นต้องเอ่ยว่าเรานะมีลูกมา 2 คนแล้ว ปัจจุบัน อายุ 10 ขวบ กับ 4 ขวบ เป็นความตั้งใจของพวกเรากับสามีว่าอยากมีลูก 3 คน แต่ต้องขอมีก่อน อายุ 35 ปี และแล้ววันที่เรารอคอยก็มาถึง ต้องบอกก่อนว่าเราจะตรวจทุกครั้งเมื่อเริ่มรู้สึกผิดปกติ ซึ่งตลอดระยะที่ผ่านมามันผิดหวังตลอด จนกระทั่งวันนี้เอาที่ตรวจมาตรวจดู ปรากฎว่าขึ้น 2 ขีด ซึ่งมันจางมากๆ (ในใจแอบคิดว่าเราซื้อที่ตรวจเก็บไว้นานรึเปล่า) จนออกไปซื้อที่ตรวจใหม่ เราตรวจอันที่ 2 สีเริ่มมาหล่ะ แต่ขอตรวจเพิ่มอีกอันให้แน่ใจก่อน คราวนี้ปรากฎว่าสีเข้มชัดเลย เราท้องแล้ว !!! จนเรากรี้ดลั่นห้องน้ำ บอกแฟนให้รีบมาดู และแน่นอน เราทั้งสองคนดีใจกันมาก แต่….ทุกอย่างไม่ได้เป็นดั่งที่เราคิด
ที่เรามาเล่าให้ฟังเป็นแค่ประสบการณ์ของเรา เมื่อเราตรวจเช็คกับวันไข่ตกในแอปๆนึง เราได้มารู้ว่าเราท้องได้ 6 สัปดาห์แล้ว เรากะไม่บอกใครกะจะ
ถือเคล็ดดั่งโบราณเค้าว่ากันไว้ แม้กระทั่งพ่อแม่ตัวเอง แต่เมื่อเราได้กลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่ที่บ้าน มันอดไม่ได้ที่จะเอ่ย ก็บอกพ่อแม่ไป
แต่!!!วันรุ่งขึ้น เรามีก้อนเลือด 1 ก้อน หลุดออกมา เราตกใจรีบไปหาหมอทันที ปรากฎว่า น้องยังไม่หลุดพออัตราซาวด์ก็พบว่าหัวใจน้องยังเต้นอยู่
เราดีใจมากปนความสงสัยว่าที่ออกมามันคือก้อนเลือดอะไร ถามคุณหมอแล้วแจ้งว่าอาจจะเลือดที่ค้างอยู่ (ซึ่งตอนนั้นแอบคิดว่าเรามีแฝดรึเปล่า แต่เอ๊ะ
ถ้าจะแท้ง มดลูกต้องเปิดอีกคนจะอยู่รอดได้ยังไง และต้องบอกก่อนว่าเราเคยแท้งมาก่อนจะมีลูกทั้ง 2 คนอีก รูปร่างลักษณะเหมือนกันมากๆ ได้แต่แอบสงสัยในใจว่าคือเลือดอะไร?) มันกลัวไปหมดทุกอย่าง เราเลยเข้ารพ.เอกชน ขอตรวจอีกรอบ เพื่อความแน่ใจ แต่คำตอบก็เหมือนกับคุณหมอท่านแรก
เราก็มั่นใจว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เลยยังไม่ได้ฝากครรภ์ทันที จนกระทั่งถึงวันที่เราไปฝากครรภ์ เราเลือก รพ.เอกชนเดิมที่ลูกทั้ง 2 คนเกิด ซึ่งมันไกลจากบ้านเรามากๆ และแน่นอนว่าเราเลือกหมอคนเดิม ตอนที่ไปฝากอายุครรภ์ 9+ พอหมออัตราซาวด์แล้ว ก็พบความผิดปกติบางอย่าง ซึ่งคุณหมออธิบายว่าอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้
จนถึงนัด ครั้งที่ 2 อายุครรภ์ 13+ก็พบความปกติเหมือนเดิมอีกแต่เนื่องจากอายุครรภ์ยังน้อย อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้อีก เราก็ยังใช้ชีวิตตามปกติ
ไปทำงาน รับส่งลูก ไปตลาด ใช้ชีวิตตามปกติ เพียงแต่เดินช้าลง ทำอะไรช้าลง (ต้องเอ่ยก่อนว่าโดยส่วนตัวแล้วเป็นคนว่องไว ทำอะไรทำทันที เดินทำงานที เป็น 3-4 กิโล ) เรามาหาคุณหมอตามนัดทุกเดือน
จนกระทั่งอายุครรภ์ได้ 29+สัปดาห์ ตอนนั้นเวลา 22.30น. เรานอนหลับอยู่จู่ๆรู้สึกเหมือนมีน้ำไหลออกมา พอเราเอามือล้วงจับดูเท่านั้นล่ะมันคือเลือด พอเราลุกขึ้น เลือดไหลออกเยอะมากๆ ไหลมาเหมือนเปิดก็อกน้ำเลย เราตกใจแทบช็อค ตะโกนเรียกให้แม่พาไปรพ.ใกล้บ้านที่สุด และในระหว่างทางกว่าจะถึงรพ.ประมาณ ครึ่งชั่วโมงได้ เราเริ่มมีอาการตาเริ่มพร่ามัว จะหลับให้ได้แต่เราฝืนไม่ให้หลับ ฝืนจนไปถึง รพ. หมอ icu แทบช็อค เนื่องจากเลือดอาบเต็มขาไปหมด หมอได้ซักประวัติ อัตราซาวด์ วินิจฉัย ให้กินยา ฉีดยา เปลี่ยนชุด เช็ดเลือด ใส่สายสวนปัสสาวะ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ในเวลาพร้อมๆกัน เพราะตอนนั้นเราเริ่มซีดแล้ว คุณหมอจึงฉีดยากระตุ้นปอดเด็ก 4 เข็ม พอเลือดหยุดไหลพาขึ้นไปพักดูอาการในห้องรอคลอด โดนให้เลือดไปอีก 3 ถุง (ตอนนั้นกว่าจะได้เลือดแต่ละถุง ต้องเปิดขอรับบริจาคเพราะตอนนั้นเลือดกรุ๊ปนี้ขาดแคลนพอดี)พอให้เลือดแต่ละถุงเสร็จ ต้องเจาะเลือดส่งผลตรวจทุกครั้ง แขนเราพรุนไปหมด โดนให้ทั้งยาฆ่าเชื้อ เจาะเลือดแต่ละเข็มเช็คค่าเลือดว่าจางไหมตรวจเบาหวานด้วย พร้อมกับให้เรานอนนิ่งๆห้ามลงจากเตียง จนได้ทำการอัตราซาว์ดหาวิธีรักษาอีกครั้ง คุณหมอหลายท่านมากๆ ที่มาร่วมวินิจฉัย เพราะว่าเคสเรามีภาวะรกเกาะต่ำปิดปากมดลูก แล้วเลือดที่ไหลออกมาก็คือไหลมาจากรกปรากฎว่าเลือดที่อยู่ในรกหายไป1 ชั้นครึ่ง ซึ่งปกติจะมี 3 ชั้น จนกระทั่งได้คิวเข้าทำ MRI เพื่อจะได้ดูว่ารกมันเกาะติดฝั่งแน่นตรงส่วนไหนบ้าง เพื่อเตรียมพร้อมถ้าจะคลอดฉุกเฉิน ขออธิบายนิดนึงว่าการเข้าทำMRI เป็นอะไรที่ทรมานมากๆ เพราะเราต้องนอนหงายนิ่งๆ ซึ่งเราไม่ได้กินข้าว กินน้ำเลย 3 วันเต็มๆ คุณหมอให้แต่น้ำเกลือ ตอนเข้าเครื่อง MRI มันจะมีแผ่นเหล็กครอบทับหน้าท้องเอาไว้ แค่นี้ว่าอึดอัดแล้วนะ แต่มันมีมากกว่านั้น รอบแรกที่เข้าเครื่องไป คุณหมอมองดูภาพแล้วไม่ค่อยชัดเพราะไม่มีน้ำในกระเพาะปัสสาวะ เลย นำเราออกมาเอาน้ำใส่สายสวนฉี่ให้เต็มกระเพาะเพื่อจะได้เห็นข้างในชัดเจน และเราต้องทนอั้นฉี่ไว้ด้วยเพราะเข้ามัดสายไว้ วิธีการเข้าเครื่องนั้นต้องหายใจเข้า หายใจออก แล้วต้องกลั้นหายใจเวลาประมาณ13 วินาที ทำแบบนั้นซ้ำๆ เซตละ 6 ครั้ง รวมๆแล้ว ทำหลายเซตมากๆ ซึ่งคุณหมอหลอกเราว่าทำราว ครึ่งชั่วโมง แต่ความจริงนั้นเราเข้าๆออกๆ ในนั้น 1.30 ได้ มันอึดอัด หายใจไม่ออก เหนื่อย เวียนหัว อากาศในนั้นใช่ว่าจะมีเยอะ มันทรมานมากๆ สำหรับเรากับการที่นอนหงายเป็นเวลานาน คนท้องจะเข้าใจว่ามันอึดอัดขนาดไหน ตอนทำช่วง 2 เซตสุดท้ายเราร้องไห้ออกมาเลย มันเหนื่อยมันท้อ หายใจไม่เข้าที่เข้าทางเลย พอทำเสร็จเข็นเราไปที่ห้องรอคลอดเหมือนเดิม ไม่ให้กินน้ำกินข้าวเหมือนเดิมจนอาการดีขึ้นไม่มีเลือดสดไหล จึงเริ่มให้ข้าวมื้อแรก ในรอบ 5 วัน (น้ำตาแทบไหลมื้อแรกที่ได้กินคือข้าวต้ม มันไม่มีความอร่อยเลยแต่เรากินจนหมดถ้วย กลัวลูกไม่ได้รับสารอาหาร) และนอนอยู่ในห้องรอคลอดถึง 11 วัน กว่าจะผ่านไปแต่ละวัน แต่ละคืน มันเจ็บปวดที่สุด เราได้แต่นอนรอนิ่งๆ ห้ามลงจากเตียง ได้ยินเสียงคุณแม่ท่านอื่นๆ รอคลอด บ้างเคสพอเข้าห้องรอคลอด ไม่กี่ชั่วโมงก็คลอด บางเคสรอคลอดยันข้ามคืนก็มี เสียงแม่ร้องด้วยความเจ็บปวดจนขอคุณหมอผ่าคลอดก็มี อีกเคสนึงใกล้ๆเตียงที่เราอยู่ เข็นมาช่วงเย็นถูกส่งตัวมาจากคลีนิคด้วยความดันสูง ครรภ์เป็นพิษตอนอายุครรภ์ 25+ หมอต้องรีบผ่าคลอด ไม่งั้นจะเสียทั้งแม่และลูก เราก็ไม่รู้ว่าเด็กรอดหรือไม่รอด ไม่ได้ถามพยาบาล ซึ่งเราได้ยินเสียงแบบนี้ทุกวัน บางคืนแทบไม่ได้นอน ตอนนั้นเรามีความหวังว่าเราจะได้ยินเสียงลูกตัวเองบ้าง ตอนนั้นมันคิด สับสน กังวลไปหมด ไม่มีใครคุยด้วยนอกจากพยาบาล หมอฝึกหัด ผลัดมาให้กำลังใจ เพราะต้องตรวจวัดความดัน กับฟังหัวใจน้อง ทุกๆ 2 ชั่วโมง เช็คว่าท้องแข็งไหม ท้องปั้นไหม แต่มันก็ไม่เหมือนได้คุยกับคนที่รู้จักเราจริงๆ มันพูดความรู้สึกตัวเองที่เผชิญอยู่ไม่ได้ ในห้องรอคลอดนั้น แบ่งเป็นล็อคๆ มีกำแพงกั้นแล้วปลายเตียงก็มีแต่ผ้าม่านกั้นเท่านั้น ไม่มีทีวีให้ดู ไม่ให้ใช้โทรศัพท์ส่วนตัว เวลาจะคุยกับญาติต้องคุยผ่านโทรศัพท์ส่วนกลางของ รพ.เท่านั้น มันเคว้ง มันเศร้าไปหมด มันบอกความรู้สึกตัวเองให้ใครฟังไม่ได้ ถ้าพูดไปก็กลัวว่าแฟนจะเป็นห่วงไปมากกว่านี้ ได้แต่เก็บความรู้สึกอยู่ในใจตัวเอง บ้างวันร้องไห้หนักมาก สมองคิดแต่เรื่องเดิมๆเหตุการ์ณเดิมๆที่ผ่านมา คิดถึงลูกที่อยู่บ้านมาก คิดถึงแฟน ทุกอย่างมันวนในหัวตลอดเวลา และช่วงนั้นเป็นวันแม่ ซึ่งเราได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของห้องเพื่อไปรับเกียรติบัตรคุณแม่ดีเด่น ซึ่งเราได้แจ้งว่าเราป่วยแอดมิทอยู่รพ.ไปไม่ได้แต่คุณครูก็ยืนยันเป็นเราไม่เปลี่ยนเป็นคุณแม่ท่านอื่น แล้ววันนั้นทั้งวันที่รพ.ก็เปิดแต่เพลงแม่ เราร้องไห้หนักมากทั้งวันมีแต่คำถามว่าทำไมๆ ทำไมๆ ซ้ำๆ ทำไมเราทำอะไรไม่ได้กว่าจะผ่านพ้นแต่ละคืน มันทรมานโคตรๆ จนคุณหมอประเมินอาการว่าดีขึ้นจึงได้ย้ายมานอนห้องพิเศษ คืนที่ 12 หมอแจ้งว่าให้อยู่ยาวยันคลอดเลย เราก็แบบห่ะ กลับบ้านได้ไหม คิดถึงลูกมาก อยากเจอ อยากกอด อยากหอม หมอแจ้งงั้นขอให้ดูอาการวัน/วัน ถึงเราจะได้พักห้องพิเศษก็ไม่อนุญาตให้เด็กเข้าเยี่ยมได้ มีกฎให้เยี่ยมแค่ 2 ช่วง/จำกัดจำนวนคน เราก็ดีใจระดับนึงที่ได้ใช้โทรศัพท์ส่วนตัวได้ ได้คลอคุยกับลูกได้แล้ว จนเรานอนอยู่อย่างนั้นต่ออีก 7 วัน หมอจึงอนุญาตให้กลับบ้านได้ แล้วคุณหมอนัดดูอาการอาทิตย์ต่อไป เรากลับบ้านไปก็ให้นอนนิ่งๆ ห้ามเดินเยอะ ให้ทำตัวเหมือนอยู่รพ. ถึงเวลามาหาหมอนัดตรวจดูแล้วอาการปกติทุกอย่างให้กินยาบำรุงเหมือนเดิม จนกระทั่ง ถัดมาอีก 4 วัน เราตื่นเช้ามารู้สึกลูกไม่ดิ้น เราก็คิดว่าเค้าหลับ จนได้กินข้าวเช้า ลูกก็ยังไม่ดิ้นอีก จึงให้แฟนพาไปหาหมอ ที่รพ.เอกชนเดิมที่เราฝากคลอดนั้น ปรากฎว่า น้องหัวใจไม่เต้นแล้วเราแบบว่าอึ้งจนช็อคไปเลยน้ำตาท่วมเลยตอนนั้น มีคำถามในหัวอีก ว่าทำไมๆ เราไม่ทำอะไรให้ไวกว่านี้ พอตรวจเสร็จเรากลับบ้านไปอาบน้ำ เตรียมตัว ไปรพ.ศูนย์ฯ ที่เราฉุกเฉินไปตอนนั้นแทน เนื่องจาก รพ.เอกชน ไม่มีหมอด้านรังสีแล้วเลือดสำรองไม่มีด้วย คุณหมอแนะนำว่าไปที่รพ.ศูนย์จะดีกว่าเพราะมีเลือดรองรับได้เยอะ พอเราไปถึงรพ.ศูนย์ฯ ก็ทำอัตราซาวด์อีกครั้ง แล้วอ่านผลที่คุณหมอเขียนใบส่งตัวมาให้ และแน่นอนว่าคุณหมอก็ยืนยันอีกเสียงว่า น้องเสียแล้ว ให้แอดมิทนอนรอและจะแจ้งวันผ่าตัดอีกที แน่นอนว่าคนที่บ้านย่อมเป็นห่วงว่าน้องเสียชีวิตในครรภ์ไปแล้ว ทำไมถึงไม่รีบผ่าตัดออก ซึ่งเราก็เข้าใจว่าหมอรังสีมีคนเดียว และคิวของอาจาร์ยแน่นมาก (ซึ่งหมอด้านนี้มีคนเรียนน้อย เรียนยากมากและก็กดดันมากด้วย) คุณหมอได้ลัดคิววันผ่าไปอีก 4 วัน ก็คือเราได้คิวผ่าวันที่ 7 ก.ย.ต้องบอกก่อนว่าเราได้คิวผ่าคลอดวันที่ 15 ก.ย. อยู่แล้ว ต้องผ่าคลอดก่อนกำหนดตอนอายุครรภ์35 w เพื่อน้องออกมาจะได้ไม่ต้องเข้าตู้อบนาน แล้วปอดน้องแข็งแรงพอที่ออกมาลืมตาดูโลกได้ แล้วหลังจากที่นอนแอดมิทได้ 1 คืนก็มีเหตุการ์ณอีก นอนอยู่ดีๆ ตอนตี 5.30 มีเลือดไหลออกมาเป็นก้อน 2 ก้อน จึงแจ้งพยาบาลไป หลังจากนั้นสักพักเลือดก็ไหลท่วม เหมือนครั้งแรกที่ตกเลือดเลย คุณหมอมาดูอาการแล้วบอกว่าเป็นการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย
เราตกใจมากเหตุการ์ณเดิมๆภาพแบบเดิมๆ มันหลอนเข้ามาในหัวตลอดเวลา ตกอยู่ในภวังค์ในการหลับอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนเราฝืนไม่ให้หลับ เพราะเรากลัว จนต้องย้ายห้องมาที่วอร์ด เพื่อดูอาการอย่างใกล้ชิด นอนรักษาอาการพร้อมให้เลือดอีก2 ถุง รอเข้ารับการผ่าตัด ในระหว่างที่รอมีหมอที่เกี่ยวข้องมาบอก
วิธีปฏิบัติในการผ่าตัดว่า กรีดแผลเป็นแนวตั้งนะและใช้วิธีดมยาสลบ ผลข้างเคียงจากการผ่าเป็นยังไงบ้าง เมื่อถึงคิวผ่าตอน 9.00 น. เราได้เปลี่ยนชุดเข้าห้องผ่าตัดคุณหมอวิสัญญีแจ้งว่าเปลี่ยนเป็นบล๊อคหลังแทนและผ่าแนวนอนแนวเดิมที่ผ่าคลอดไว้และแน่นอนเรารับรู้ว่าชลมุ่นแค่ไหน คุณหมอที่ผ่าตัดเรา ในแต่ละด้าน ถึง 5 ท่าน และพยาบาลแต่ละแผนกที่รุมเรารวมๆแล้วเกือบ 20 คนได้ อยู่ในห้องผ่าตัดมันเย็นมาก ขั้นตอนแรกให้นอนคดตัวให้มากที่สุด
เพื่อบล๊อคหลัง หลังจากยาออกฤทธิ์ คุณหมอจะเช็คว่าเราชารึยัง รู้สึกเจ็บไหมเราเย็บว้าปทั้งช่วงตัวลงไป คุณหมอเริ่มทำการผ่าคลอดน้องก่อน เอาน้องออกเสร็จแล้ว คุณหมอทำการอุดเส้นเลือดหลายเส้นๆมาก เพื่อยับยั้งให้เลือดออกน้อยที่สุดแล้วคุณหมออีกท่านถึงทำการผ่าตัดปากมดลูกเพื่อเซฟทุกอย่าง ให้มีการสูญเสียน้อยที่สุด ตอนเลาะปากลูกมด เรารู้สึกเจ็บมาก ทั้งอ้วก ทั้งร้องไห้ นอนอยู่รู้สึกได้เลยว่ามีน้ำอะไรไม่รู้ไหลมาถึงแขนตัวเองเยอะมากๆ และก็เจ็บสุดๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเจ็บได้ไงในเมื่อทำการบล้อคหลังแล้ว จนเราบอกคุณหมอว่าเราเจ็บ ทนไม่ไหวแล้วก็สลบไปเลยไม่รู้ตัว จนมารู้หลังผ่าตัดว่า ครั้งแรกที่ผ่าตัดเราเสียเลือดไป 10 ลิตร พอเย็บแผลเสร็จ ทุกอย่างปกติเข็นเราไปห้องฟักพื้น แต่จู่ๆความดันเราต่ำมาก พยาบาลเข็นเราไปห้องผ่าตัดใหญ่
ซึ่งแฟนและเพื่อน ญาติๆ ที่มาให้กำลังใจ เห็นเราในสภาพแบบ ดำไปทั้งตัว สายอะไรเต็มตัวไปหมดคิดว่าเราไม่รอดแล้วด้วยซ้ำ เนื่องจากเสียเลือดมากกว่าร่างกายที่มีอยู่เสียอีก คุณหมอก็มาอธิบายให้แฟนเข้าใจถึงวิธีการรักษาอีกรอบ ท่าทางคุณหมอเหนื่อยมาก เลือดเต็มเสื้อคุณหมอไปหมด (เพื่อนแอบบอกซึ่งแฟนไม่เคยเล่าให้ฟังเลย)หมอทำการเปิดแผลซ้ำ ผ่าตัดใหม่อีกรอบ ครั้งนี้ตัดมดลูกทิ้งไปหมดเลย แล้วกระเพาะปัสสาวะก็หายไปด้วย 5 cm เสียเลือดไปอีก 7 ลิตร แล้วคุณหมอให้เลือด+เกร็ดเลือด รวมๆ แล้ว 50 ถุง เราโชคดีมากที่ตอนนั้นมีนักศึกษาบริจาคเลือดพอดี เดี๋ยวมาต่อนะ......
ประสบการณ์แห่งการสูญเสีย และเป็นวัยทองตอนอายุ 34
ก่อนอื่นต้องเอ่ยว่าเรานะมีลูกมา 2 คนแล้ว ปัจจุบัน อายุ 10 ขวบ กับ 4 ขวบ เป็นความตั้งใจของพวกเรากับสามีว่าอยากมีลูก 3 คน แต่ต้องขอมีก่อน อายุ 35 ปี และแล้ววันที่เรารอคอยก็มาถึง ต้องบอกก่อนว่าเราจะตรวจทุกครั้งเมื่อเริ่มรู้สึกผิดปกติ ซึ่งตลอดระยะที่ผ่านมามันผิดหวังตลอด จนกระทั่งวันนี้เอาที่ตรวจมาตรวจดู ปรากฎว่าขึ้น 2 ขีด ซึ่งมันจางมากๆ (ในใจแอบคิดว่าเราซื้อที่ตรวจเก็บไว้นานรึเปล่า) จนออกไปซื้อที่ตรวจใหม่ เราตรวจอันที่ 2 สีเริ่มมาหล่ะ แต่ขอตรวจเพิ่มอีกอันให้แน่ใจก่อน คราวนี้ปรากฎว่าสีเข้มชัดเลย เราท้องแล้ว !!! จนเรากรี้ดลั่นห้องน้ำ บอกแฟนให้รีบมาดู และแน่นอน เราทั้งสองคนดีใจกันมาก แต่….ทุกอย่างไม่ได้เป็นดั่งที่เราคิด
ที่เรามาเล่าให้ฟังเป็นแค่ประสบการณ์ของเรา เมื่อเราตรวจเช็คกับวันไข่ตกในแอปๆนึง เราได้มารู้ว่าเราท้องได้ 6 สัปดาห์แล้ว เรากะไม่บอกใครกะจะ
ถือเคล็ดดั่งโบราณเค้าว่ากันไว้ แม้กระทั่งพ่อแม่ตัวเอง แต่เมื่อเราได้กลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่ที่บ้าน มันอดไม่ได้ที่จะเอ่ย ก็บอกพ่อแม่ไป
แต่!!!วันรุ่งขึ้น เรามีก้อนเลือด 1 ก้อน หลุดออกมา เราตกใจรีบไปหาหมอทันที ปรากฎว่า น้องยังไม่หลุดพออัตราซาวด์ก็พบว่าหัวใจน้องยังเต้นอยู่
เราดีใจมากปนความสงสัยว่าที่ออกมามันคือก้อนเลือดอะไร ถามคุณหมอแล้วแจ้งว่าอาจจะเลือดที่ค้างอยู่ (ซึ่งตอนนั้นแอบคิดว่าเรามีแฝดรึเปล่า แต่เอ๊ะ
ถ้าจะแท้ง มดลูกต้องเปิดอีกคนจะอยู่รอดได้ยังไง และต้องบอกก่อนว่าเราเคยแท้งมาก่อนจะมีลูกทั้ง 2 คนอีก รูปร่างลักษณะเหมือนกันมากๆ ได้แต่แอบสงสัยในใจว่าคือเลือดอะไร?) มันกลัวไปหมดทุกอย่าง เราเลยเข้ารพ.เอกชน ขอตรวจอีกรอบ เพื่อความแน่ใจ แต่คำตอบก็เหมือนกับคุณหมอท่านแรก
เราก็มั่นใจว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เลยยังไม่ได้ฝากครรภ์ทันที จนกระทั่งถึงวันที่เราไปฝากครรภ์ เราเลือก รพ.เอกชนเดิมที่ลูกทั้ง 2 คนเกิด ซึ่งมันไกลจากบ้านเรามากๆ และแน่นอนว่าเราเลือกหมอคนเดิม ตอนที่ไปฝากอายุครรภ์ 9+ พอหมออัตราซาวด์แล้ว ก็พบความผิดปกติบางอย่าง ซึ่งคุณหมออธิบายว่าอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้
จนถึงนัด ครั้งที่ 2 อายุครรภ์ 13+ก็พบความปกติเหมือนเดิมอีกแต่เนื่องจากอายุครรภ์ยังน้อย อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้อีก เราก็ยังใช้ชีวิตตามปกติ
ไปทำงาน รับส่งลูก ไปตลาด ใช้ชีวิตตามปกติ เพียงแต่เดินช้าลง ทำอะไรช้าลง (ต้องเอ่ยก่อนว่าโดยส่วนตัวแล้วเป็นคนว่องไว ทำอะไรทำทันที เดินทำงานที เป็น 3-4 กิโล ) เรามาหาคุณหมอตามนัดทุกเดือน
จนกระทั่งอายุครรภ์ได้ 29+สัปดาห์ ตอนนั้นเวลา 22.30น. เรานอนหลับอยู่จู่ๆรู้สึกเหมือนมีน้ำไหลออกมา พอเราเอามือล้วงจับดูเท่านั้นล่ะมันคือเลือด พอเราลุกขึ้น เลือดไหลออกเยอะมากๆ ไหลมาเหมือนเปิดก็อกน้ำเลย เราตกใจแทบช็อค ตะโกนเรียกให้แม่พาไปรพ.ใกล้บ้านที่สุด และในระหว่างทางกว่าจะถึงรพ.ประมาณ ครึ่งชั่วโมงได้ เราเริ่มมีอาการตาเริ่มพร่ามัว จะหลับให้ได้แต่เราฝืนไม่ให้หลับ ฝืนจนไปถึง รพ. หมอ icu แทบช็อค เนื่องจากเลือดอาบเต็มขาไปหมด หมอได้ซักประวัติ อัตราซาวด์ วินิจฉัย ให้กินยา ฉีดยา เปลี่ยนชุด เช็ดเลือด ใส่สายสวนปัสสาวะ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ในเวลาพร้อมๆกัน เพราะตอนนั้นเราเริ่มซีดแล้ว คุณหมอจึงฉีดยากระตุ้นปอดเด็ก 4 เข็ม พอเลือดหยุดไหลพาขึ้นไปพักดูอาการในห้องรอคลอด โดนให้เลือดไปอีก 3 ถุง (ตอนนั้นกว่าจะได้เลือดแต่ละถุง ต้องเปิดขอรับบริจาคเพราะตอนนั้นเลือดกรุ๊ปนี้ขาดแคลนพอดี)พอให้เลือดแต่ละถุงเสร็จ ต้องเจาะเลือดส่งผลตรวจทุกครั้ง แขนเราพรุนไปหมด โดนให้ทั้งยาฆ่าเชื้อ เจาะเลือดแต่ละเข็มเช็คค่าเลือดว่าจางไหมตรวจเบาหวานด้วย พร้อมกับให้เรานอนนิ่งๆห้ามลงจากเตียง จนได้ทำการอัตราซาว์ดหาวิธีรักษาอีกครั้ง คุณหมอหลายท่านมากๆ ที่มาร่วมวินิจฉัย เพราะว่าเคสเรามีภาวะรกเกาะต่ำปิดปากมดลูก แล้วเลือดที่ไหลออกมาก็คือไหลมาจากรกปรากฎว่าเลือดที่อยู่ในรกหายไป1 ชั้นครึ่ง ซึ่งปกติจะมี 3 ชั้น จนกระทั่งได้คิวเข้าทำ MRI เพื่อจะได้ดูว่ารกมันเกาะติดฝั่งแน่นตรงส่วนไหนบ้าง เพื่อเตรียมพร้อมถ้าจะคลอดฉุกเฉิน ขออธิบายนิดนึงว่าการเข้าทำMRI เป็นอะไรที่ทรมานมากๆ เพราะเราต้องนอนหงายนิ่งๆ ซึ่งเราไม่ได้กินข้าว กินน้ำเลย 3 วันเต็มๆ คุณหมอให้แต่น้ำเกลือ ตอนเข้าเครื่อง MRI มันจะมีแผ่นเหล็กครอบทับหน้าท้องเอาไว้ แค่นี้ว่าอึดอัดแล้วนะ แต่มันมีมากกว่านั้น รอบแรกที่เข้าเครื่องไป คุณหมอมองดูภาพแล้วไม่ค่อยชัดเพราะไม่มีน้ำในกระเพาะปัสสาวะ เลย นำเราออกมาเอาน้ำใส่สายสวนฉี่ให้เต็มกระเพาะเพื่อจะได้เห็นข้างในชัดเจน และเราต้องทนอั้นฉี่ไว้ด้วยเพราะเข้ามัดสายไว้ วิธีการเข้าเครื่องนั้นต้องหายใจเข้า หายใจออก แล้วต้องกลั้นหายใจเวลาประมาณ13 วินาที ทำแบบนั้นซ้ำๆ เซตละ 6 ครั้ง รวมๆแล้ว ทำหลายเซตมากๆ ซึ่งคุณหมอหลอกเราว่าทำราว ครึ่งชั่วโมง แต่ความจริงนั้นเราเข้าๆออกๆ ในนั้น 1.30 ได้ มันอึดอัด หายใจไม่ออก เหนื่อย เวียนหัว อากาศในนั้นใช่ว่าจะมีเยอะ มันทรมานมากๆ สำหรับเรากับการที่นอนหงายเป็นเวลานาน คนท้องจะเข้าใจว่ามันอึดอัดขนาดไหน ตอนทำช่วง 2 เซตสุดท้ายเราร้องไห้ออกมาเลย มันเหนื่อยมันท้อ หายใจไม่เข้าที่เข้าทางเลย พอทำเสร็จเข็นเราไปที่ห้องรอคลอดเหมือนเดิม ไม่ให้กินน้ำกินข้าวเหมือนเดิมจนอาการดีขึ้นไม่มีเลือดสดไหล จึงเริ่มให้ข้าวมื้อแรก ในรอบ 5 วัน (น้ำตาแทบไหลมื้อแรกที่ได้กินคือข้าวต้ม มันไม่มีความอร่อยเลยแต่เรากินจนหมดถ้วย กลัวลูกไม่ได้รับสารอาหาร) และนอนอยู่ในห้องรอคลอดถึง 11 วัน กว่าจะผ่านไปแต่ละวัน แต่ละคืน มันเจ็บปวดที่สุด เราได้แต่นอนรอนิ่งๆ ห้ามลงจากเตียง ได้ยินเสียงคุณแม่ท่านอื่นๆ รอคลอด บ้างเคสพอเข้าห้องรอคลอด ไม่กี่ชั่วโมงก็คลอด บางเคสรอคลอดยันข้ามคืนก็มี เสียงแม่ร้องด้วยความเจ็บปวดจนขอคุณหมอผ่าคลอดก็มี อีกเคสนึงใกล้ๆเตียงที่เราอยู่ เข็นมาช่วงเย็นถูกส่งตัวมาจากคลีนิคด้วยความดันสูง ครรภ์เป็นพิษตอนอายุครรภ์ 25+ หมอต้องรีบผ่าคลอด ไม่งั้นจะเสียทั้งแม่และลูก เราก็ไม่รู้ว่าเด็กรอดหรือไม่รอด ไม่ได้ถามพยาบาล ซึ่งเราได้ยินเสียงแบบนี้ทุกวัน บางคืนแทบไม่ได้นอน ตอนนั้นเรามีความหวังว่าเราจะได้ยินเสียงลูกตัวเองบ้าง ตอนนั้นมันคิด สับสน กังวลไปหมด ไม่มีใครคุยด้วยนอกจากพยาบาล หมอฝึกหัด ผลัดมาให้กำลังใจ เพราะต้องตรวจวัดความดัน กับฟังหัวใจน้อง ทุกๆ 2 ชั่วโมง เช็คว่าท้องแข็งไหม ท้องปั้นไหม แต่มันก็ไม่เหมือนได้คุยกับคนที่รู้จักเราจริงๆ มันพูดความรู้สึกตัวเองที่เผชิญอยู่ไม่ได้ ในห้องรอคลอดนั้น แบ่งเป็นล็อคๆ มีกำแพงกั้นแล้วปลายเตียงก็มีแต่ผ้าม่านกั้นเท่านั้น ไม่มีทีวีให้ดู ไม่ให้ใช้โทรศัพท์ส่วนตัว เวลาจะคุยกับญาติต้องคุยผ่านโทรศัพท์ส่วนกลางของ รพ.เท่านั้น มันเคว้ง มันเศร้าไปหมด มันบอกความรู้สึกตัวเองให้ใครฟังไม่ได้ ถ้าพูดไปก็กลัวว่าแฟนจะเป็นห่วงไปมากกว่านี้ ได้แต่เก็บความรู้สึกอยู่ในใจตัวเอง บ้างวันร้องไห้หนักมาก สมองคิดแต่เรื่องเดิมๆเหตุการ์ณเดิมๆที่ผ่านมา คิดถึงลูกที่อยู่บ้านมาก คิดถึงแฟน ทุกอย่างมันวนในหัวตลอดเวลา และช่วงนั้นเป็นวันแม่ ซึ่งเราได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของห้องเพื่อไปรับเกียรติบัตรคุณแม่ดีเด่น ซึ่งเราได้แจ้งว่าเราป่วยแอดมิทอยู่รพ.ไปไม่ได้แต่คุณครูก็ยืนยันเป็นเราไม่เปลี่ยนเป็นคุณแม่ท่านอื่น แล้ววันนั้นทั้งวันที่รพ.ก็เปิดแต่เพลงแม่ เราร้องไห้หนักมากทั้งวันมีแต่คำถามว่าทำไมๆ ทำไมๆ ซ้ำๆ ทำไมเราทำอะไรไม่ได้กว่าจะผ่านพ้นแต่ละคืน มันทรมานโคตรๆ จนคุณหมอประเมินอาการว่าดีขึ้นจึงได้ย้ายมานอนห้องพิเศษ คืนที่ 12 หมอแจ้งว่าให้อยู่ยาวยันคลอดเลย เราก็แบบห่ะ กลับบ้านได้ไหม คิดถึงลูกมาก อยากเจอ อยากกอด อยากหอม หมอแจ้งงั้นขอให้ดูอาการวัน/วัน ถึงเราจะได้พักห้องพิเศษก็ไม่อนุญาตให้เด็กเข้าเยี่ยมได้ มีกฎให้เยี่ยมแค่ 2 ช่วง/จำกัดจำนวนคน เราก็ดีใจระดับนึงที่ได้ใช้โทรศัพท์ส่วนตัวได้ ได้คลอคุยกับลูกได้แล้ว จนเรานอนอยู่อย่างนั้นต่ออีก 7 วัน หมอจึงอนุญาตให้กลับบ้านได้ แล้วคุณหมอนัดดูอาการอาทิตย์ต่อไป เรากลับบ้านไปก็ให้นอนนิ่งๆ ห้ามเดินเยอะ ให้ทำตัวเหมือนอยู่รพ. ถึงเวลามาหาหมอนัดตรวจดูแล้วอาการปกติทุกอย่างให้กินยาบำรุงเหมือนเดิม จนกระทั่ง ถัดมาอีก 4 วัน เราตื่นเช้ามารู้สึกลูกไม่ดิ้น เราก็คิดว่าเค้าหลับ จนได้กินข้าวเช้า ลูกก็ยังไม่ดิ้นอีก จึงให้แฟนพาไปหาหมอ ที่รพ.เอกชนเดิมที่เราฝากคลอดนั้น ปรากฎว่า น้องหัวใจไม่เต้นแล้วเราแบบว่าอึ้งจนช็อคไปเลยน้ำตาท่วมเลยตอนนั้น มีคำถามในหัวอีก ว่าทำไมๆ เราไม่ทำอะไรให้ไวกว่านี้ พอตรวจเสร็จเรากลับบ้านไปอาบน้ำ เตรียมตัว ไปรพ.ศูนย์ฯ ที่เราฉุกเฉินไปตอนนั้นแทน เนื่องจาก รพ.เอกชน ไม่มีหมอด้านรังสีแล้วเลือดสำรองไม่มีด้วย คุณหมอแนะนำว่าไปที่รพ.ศูนย์จะดีกว่าเพราะมีเลือดรองรับได้เยอะ พอเราไปถึงรพ.ศูนย์ฯ ก็ทำอัตราซาวด์อีกครั้ง แล้วอ่านผลที่คุณหมอเขียนใบส่งตัวมาให้ และแน่นอนว่าคุณหมอก็ยืนยันอีกเสียงว่า น้องเสียแล้ว ให้แอดมิทนอนรอและจะแจ้งวันผ่าตัดอีกที แน่นอนว่าคนที่บ้านย่อมเป็นห่วงว่าน้องเสียชีวิตในครรภ์ไปแล้ว ทำไมถึงไม่รีบผ่าตัดออก ซึ่งเราก็เข้าใจว่าหมอรังสีมีคนเดียว และคิวของอาจาร์ยแน่นมาก (ซึ่งหมอด้านนี้มีคนเรียนน้อย เรียนยากมากและก็กดดันมากด้วย) คุณหมอได้ลัดคิววันผ่าไปอีก 4 วัน ก็คือเราได้คิวผ่าวันที่ 7 ก.ย.ต้องบอกก่อนว่าเราได้คิวผ่าคลอดวันที่ 15 ก.ย. อยู่แล้ว ต้องผ่าคลอดก่อนกำหนดตอนอายุครรภ์35 w เพื่อน้องออกมาจะได้ไม่ต้องเข้าตู้อบนาน แล้วปอดน้องแข็งแรงพอที่ออกมาลืมตาดูโลกได้ แล้วหลังจากที่นอนแอดมิทได้ 1 คืนก็มีเหตุการ์ณอีก นอนอยู่ดีๆ ตอนตี 5.30 มีเลือดไหลออกมาเป็นก้อน 2 ก้อน จึงแจ้งพยาบาลไป หลังจากนั้นสักพักเลือดก็ไหลท่วม เหมือนครั้งแรกที่ตกเลือดเลย คุณหมอมาดูอาการแล้วบอกว่าเป็นการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย
เราตกใจมากเหตุการ์ณเดิมๆภาพแบบเดิมๆ มันหลอนเข้ามาในหัวตลอดเวลา ตกอยู่ในภวังค์ในการหลับอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนเราฝืนไม่ให้หลับ เพราะเรากลัว จนต้องย้ายห้องมาที่วอร์ด เพื่อดูอาการอย่างใกล้ชิด นอนรักษาอาการพร้อมให้เลือดอีก2 ถุง รอเข้ารับการผ่าตัด ในระหว่างที่รอมีหมอที่เกี่ยวข้องมาบอก
วิธีปฏิบัติในการผ่าตัดว่า กรีดแผลเป็นแนวตั้งนะและใช้วิธีดมยาสลบ ผลข้างเคียงจากการผ่าเป็นยังไงบ้าง เมื่อถึงคิวผ่าตอน 9.00 น. เราได้เปลี่ยนชุดเข้าห้องผ่าตัดคุณหมอวิสัญญีแจ้งว่าเปลี่ยนเป็นบล๊อคหลังแทนและผ่าแนวนอนแนวเดิมที่ผ่าคลอดไว้และแน่นอนเรารับรู้ว่าชลมุ่นแค่ไหน คุณหมอที่ผ่าตัดเรา ในแต่ละด้าน ถึง 5 ท่าน และพยาบาลแต่ละแผนกที่รุมเรารวมๆแล้วเกือบ 20 คนได้ อยู่ในห้องผ่าตัดมันเย็นมาก ขั้นตอนแรกให้นอนคดตัวให้มากที่สุด
เพื่อบล๊อคหลัง หลังจากยาออกฤทธิ์ คุณหมอจะเช็คว่าเราชารึยัง รู้สึกเจ็บไหมเราเย็บว้าปทั้งช่วงตัวลงไป คุณหมอเริ่มทำการผ่าคลอดน้องก่อน เอาน้องออกเสร็จแล้ว คุณหมอทำการอุดเส้นเลือดหลายเส้นๆมาก เพื่อยับยั้งให้เลือดออกน้อยที่สุดแล้วคุณหมออีกท่านถึงทำการผ่าตัดปากมดลูกเพื่อเซฟทุกอย่าง ให้มีการสูญเสียน้อยที่สุด ตอนเลาะปากลูกมด เรารู้สึกเจ็บมาก ทั้งอ้วก ทั้งร้องไห้ นอนอยู่รู้สึกได้เลยว่ามีน้ำอะไรไม่รู้ไหลมาถึงแขนตัวเองเยอะมากๆ และก็เจ็บสุดๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเจ็บได้ไงในเมื่อทำการบล้อคหลังแล้ว จนเราบอกคุณหมอว่าเราเจ็บ ทนไม่ไหวแล้วก็สลบไปเลยไม่รู้ตัว จนมารู้หลังผ่าตัดว่า ครั้งแรกที่ผ่าตัดเราเสียเลือดไป 10 ลิตร พอเย็บแผลเสร็จ ทุกอย่างปกติเข็นเราไปห้องฟักพื้น แต่จู่ๆความดันเราต่ำมาก พยาบาลเข็นเราไปห้องผ่าตัดใหญ่
ซึ่งแฟนและเพื่อน ญาติๆ ที่มาให้กำลังใจ เห็นเราในสภาพแบบ ดำไปทั้งตัว สายอะไรเต็มตัวไปหมดคิดว่าเราไม่รอดแล้วด้วยซ้ำ เนื่องจากเสียเลือดมากกว่าร่างกายที่มีอยู่เสียอีก คุณหมอก็มาอธิบายให้แฟนเข้าใจถึงวิธีการรักษาอีกรอบ ท่าทางคุณหมอเหนื่อยมาก เลือดเต็มเสื้อคุณหมอไปหมด (เพื่อนแอบบอกซึ่งแฟนไม่เคยเล่าให้ฟังเลย)หมอทำการเปิดแผลซ้ำ ผ่าตัดใหม่อีกรอบ ครั้งนี้ตัดมดลูกทิ้งไปหมดเลย แล้วกระเพาะปัสสาวะก็หายไปด้วย 5 cm เสียเลือดไปอีก 7 ลิตร แล้วคุณหมอให้เลือด+เกร็ดเลือด รวมๆ แล้ว 50 ถุง เราโชคดีมากที่ตอนนั้นมีนักศึกษาบริจาคเลือดพอดี เดี๋ยวมาต่อนะ......