บท 1
ตัวใกล้..ใจห่าง (รึเปล่า!?)
เสียงฟ้าร้องพร้อมกับสายฝนที่โปรยลงมาตั้งแต่เมื่อคืนไม่มีทีท่าว่าจะหยุด พลอยทำให้สิตางค์ขี้เกียจขึ้นมาติดหมัด
‘วันนี้ถ้าไม่มีสอบนะ แม่จะนอนอืดทั้งวันเลย’ ร่างเล็กนึกเข่นเขี้ยวในใจพร้อมกับตักข้าวต้มคำสุดท้ายเข้าปาก
“อิ่มแล้วใช่มั้ยลูก? ทำเวลาหน่อยจ้ะ อย่าให้พี่เขารอนาน’’ เสียงแม่จ๋าสำทับขึ้นมาเบาๆทำให้สิตางค์หันมาทำหน้าทะเล้นใส่
“จ้า รับทราบครับกระผม’’
ร่างบางยกมือไหว้มารดา คว้ากระเป๋าสะพายที่เป็นกระเป๋าผ้าลายดอกไม้สีชมพูหวาน พร้อมกับไม่ลืมหยิบร่มสีหวานเข้ากันกับกระเป๋า วิ่งตึงๆออกมาหน้าบ้าน กางร่ม แล้วรีบเดินไปยังรัตติกาลที่จอดรถคอยอยู่
เธอกับรัตติกาลเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน รัตติกาลเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ ปีสุดท้าย ใกล้จะจบได้ไปใช้ชีวิตการทำงานเต็มตัวแล้ว ส่วนเธอเหรอเพิ่งเข้าปีเเรกในคณะศึกษาศาสตร์ เธออยากเป็นครู เป็นแม่พิมพ์ของชาติ พ่อจ๋า แม่จ๋า ลุงจ๋า ป้าจ๋า พี่สาวจ๋า ต่างดีใจกับเธอกันทุกคน ลูบหน้า ลูบหลัง ยินดีกับเธอที่เธอสอบเข้าในคณะที่เธอใฝ่ฝันได้
‘จะสอนใครเขาได้ ยังนึกภาพไม่ออก’ ร่างสูงเอ่ยขึ้นลอยๆ โดยไม่หวังคำตอบอะไรจริงจังนัก
‘ตายจริง ตารัตติ ดูพูดเข้ามันน่าตีนักเชียว หนูตางค์ว่าไงลูกได้ยินที่พี่เขาพูดไหม?’ ป้าจ๋าถามสิตางค์เสียงอ่อน มือยังลูบหลังแสดงความยินดีกับเธอ
‘แหม๋ สอนได้อยู่แล้วค่ะ ขนาดแม่จ๋าไม่ได้เป็นครูยังสอนหนูได้เลย’ เธอพูดพร้อมกับทำปากยื่นน้อยๆ ทำให้ได้รับเสียงหัวเราะครืนขึ้นมาเกือบจะพร้อมกันทุกคน เว้นรัตติกาลที่ปรายตามองดูเธอ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“มีสอบกี่โมงนะ?’’ ร่างสูงถามพร้อมกับคาดเข็มขัดนิรภัยเตรียมตัวเผชิญการจราจรที่คับคั่งในสภาวะเช้าที่ฝนตกหนักต่อเนื่องจากเมื่อคืน
“สิบโมงตรงค่ะ’’ ร่างบางตอบ
ร่างสูงยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู พร้อมทำเสียงจิ๊กจั๊ก
“คงทัน นี่ก็เพิ่งแปดโมงเอง คาดเข็มขัดด้วย รถจะออกแล้ว’’ ชายหนุ่มบอกเมื่อเห็นสิตางค์ยังคงง่วนกับการเลื่อนไอแพดขึ้นลง อ่านโซเชียลยอดฮิตอย่างตั้งใจ
“พี่รัตติอัพเดทเฟสบุ๊คล่าสุดกี่เดือนแล้วคะ?’’ ร่างบางถามพร้อมกับเลื่อนจอขึ้นลงผ่านไปมา เหมือนไม่รู้จะอ่านอะไรดีกว่านี้แล้ว
“ถามทำไม? อัพเมื่อไรเราก็เห็นเองแหละ’’ ตอบแบบขอไปทีทำให้สิตางค์หลุดขำพรืดออกมา
“เจ้าค่ะ ไม่น่าถาม’’ เธอย่นจมูก เฟสบุ๊คของรัตติกาลอัพเดทน้อยมาก ล่าสุดก็เกือบจะสองเดือนที่แล้ว เธอเห็นเขาโพสรูปต้นกระบองเพชร แล้วมีคำคมประมาณว่า Life is like a cactus, full of pricks, but also very beautiful.. เขาจะสื่อถึงอะไรเธอไม่รู้หรอก แต่คำคมนี้มันใช้ได้เลยหละ “ชีวิตเปรียบเหมือนกระบองเพชร เต็มไปด้วยหนามแหลม แต่ก็ยังมีความสวยงามให้เราได้ชื่นชม”
ร่างบางขยับตัวยุกยิก ระบบการทำงานของแอร์รถยนต์ยังทำงานดีอย่างเช่นทุกวัน เธอนั่นแหละที่เผลอเรอลืมหยิบเสื้อคลุมมา ฝนก็ยังปรอยๆไม่หยุดสักที หนาวก็หนาว
“เสื้อคลุมอยู่เบาะหลังเอามาใส่สิ’’ ร่างสูงบอกในขณะที่สายตายังจับจ้องไปเบื้องหน้าอย่างตั้งใจ
“พี่รัตติไม่ได้ซักกี่วันแล้วคะ?’’ ร่างบางถามพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบเสื้อคลุมฮู้ดสตรีทสุดเท่ห์ สีดำมีโลโก้ BOY LONDON เด่นหรากลางหลัง
“เกือบสองอาทิตย์’’ ชายหนุ่มบอกเมื่อเหลือบไปเห็นสิตางค์ยกเสื้อคลุมขึ้นดม
“อี๋ จริงอ่ะ? สกปรก’’ ร่างบางบ่นลอยๆแบบไม่จริงจังนัก พร้อมกับสวมเสื้อคลุมอย่างรวดเร็ว กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มยังหอมอวลอยู่ในจมูก
รถเก๋งสีขาวแล่นมาจอดอยู่ลานจอดรถของมหาวิทยาลัย ฝนยังตกปรอยๆไม่ขาดสาย สิตางค์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู เพิ่งจะ 09.30 น. มีเวลาเตรียมตัวอีก 30 นาทีสินะ
“เอาไปใส่เถอะ เดี๋ยวนั่งเเข็งตายทำข้อสอบไม่ได้’’ ร่างสูงบอกเมื่อเห็นสิตางค์กำลังจะถอดเสื้อคลุมคืน
“อุ๊ย ขอบคุณพี่รัตติเจ้าค่ะ’’ ร่างบางยกมือไหว้พร้อมกับยิ้มตาหยี รีบหยิบของ ก้าวลงจากรถ กางร่ม กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่คณะทันที
-จบบท 1-
ก็ว่าจะไม่รัก (1)
‘วันนี้ถ้าไม่มีสอบนะ แม่จะนอนอืดทั้งวันเลย’ ร่างเล็กนึกเข่นเขี้ยวในใจพร้อมกับตักข้าวต้มคำสุดท้ายเข้าปาก
“อิ่มแล้วใช่มั้ยลูก? ทำเวลาหน่อยจ้ะ อย่าให้พี่เขารอนาน’’ เสียงแม่จ๋าสำทับขึ้นมาเบาๆทำให้สิตางค์หันมาทำหน้าทะเล้นใส่
“จ้า รับทราบครับกระผม’’
ร่างบางยกมือไหว้มารดา คว้ากระเป๋าสะพายที่เป็นกระเป๋าผ้าลายดอกไม้สีชมพูหวาน พร้อมกับไม่ลืมหยิบร่มสีหวานเข้ากันกับกระเป๋า วิ่งตึงๆออกมาหน้าบ้าน กางร่ม แล้วรีบเดินไปยังรัตติกาลที่จอดรถคอยอยู่
เธอกับรัตติกาลเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน รัตติกาลเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ ปีสุดท้าย ใกล้จะจบได้ไปใช้ชีวิตการทำงานเต็มตัวแล้ว ส่วนเธอเหรอเพิ่งเข้าปีเเรกในคณะศึกษาศาสตร์ เธออยากเป็นครู เป็นแม่พิมพ์ของชาติ พ่อจ๋า แม่จ๋า ลุงจ๋า ป้าจ๋า พี่สาวจ๋า ต่างดีใจกับเธอกันทุกคน ลูบหน้า ลูบหลัง ยินดีกับเธอที่เธอสอบเข้าในคณะที่เธอใฝ่ฝันได้
‘จะสอนใครเขาได้ ยังนึกภาพไม่ออก’ ร่างสูงเอ่ยขึ้นลอยๆ โดยไม่หวังคำตอบอะไรจริงจังนัก
‘ตายจริง ตารัตติ ดูพูดเข้ามันน่าตีนักเชียว หนูตางค์ว่าไงลูกได้ยินที่พี่เขาพูดไหม?’ ป้าจ๋าถามสิตางค์เสียงอ่อน มือยังลูบหลังแสดงความยินดีกับเธอ
‘แหม๋ สอนได้อยู่แล้วค่ะ ขนาดแม่จ๋าไม่ได้เป็นครูยังสอนหนูได้เลย’ เธอพูดพร้อมกับทำปากยื่นน้อยๆ ทำให้ได้รับเสียงหัวเราะครืนขึ้นมาเกือบจะพร้อมกันทุกคน เว้นรัตติกาลที่ปรายตามองดูเธอ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“มีสอบกี่โมงนะ?’’ ร่างสูงถามพร้อมกับคาดเข็มขัดนิรภัยเตรียมตัวเผชิญการจราจรที่คับคั่งในสภาวะเช้าที่ฝนตกหนักต่อเนื่องจากเมื่อคืน
“สิบโมงตรงค่ะ’’ ร่างบางตอบ
ร่างสูงยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู พร้อมทำเสียงจิ๊กจั๊ก
“คงทัน นี่ก็เพิ่งแปดโมงเอง คาดเข็มขัดด้วย รถจะออกแล้ว’’ ชายหนุ่มบอกเมื่อเห็นสิตางค์ยังคงง่วนกับการเลื่อนไอแพดขึ้นลง อ่านโซเชียลยอดฮิตอย่างตั้งใจ
“พี่รัตติอัพเดทเฟสบุ๊คล่าสุดกี่เดือนแล้วคะ?’’ ร่างบางถามพร้อมกับเลื่อนจอขึ้นลงผ่านไปมา เหมือนไม่รู้จะอ่านอะไรดีกว่านี้แล้ว
“ถามทำไม? อัพเมื่อไรเราก็เห็นเองแหละ’’ ตอบแบบขอไปทีทำให้สิตางค์หลุดขำพรืดออกมา
“เจ้าค่ะ ไม่น่าถาม’’ เธอย่นจมูก เฟสบุ๊คของรัตติกาลอัพเดทน้อยมาก ล่าสุดก็เกือบจะสองเดือนที่แล้ว เธอเห็นเขาโพสรูปต้นกระบองเพชร แล้วมีคำคมประมาณว่า Life is like a cactus, full of pricks, but also very beautiful.. เขาจะสื่อถึงอะไรเธอไม่รู้หรอก แต่คำคมนี้มันใช้ได้เลยหละ “ชีวิตเปรียบเหมือนกระบองเพชร เต็มไปด้วยหนามแหลม แต่ก็ยังมีความสวยงามให้เราได้ชื่นชม”
ร่างบางขยับตัวยุกยิก ระบบการทำงานของแอร์รถยนต์ยังทำงานดีอย่างเช่นทุกวัน เธอนั่นแหละที่เผลอเรอลืมหยิบเสื้อคลุมมา ฝนก็ยังปรอยๆไม่หยุดสักที หนาวก็หนาว
“เสื้อคลุมอยู่เบาะหลังเอามาใส่สิ’’ ร่างสูงบอกในขณะที่สายตายังจับจ้องไปเบื้องหน้าอย่างตั้งใจ
“พี่รัตติไม่ได้ซักกี่วันแล้วคะ?’’ ร่างบางถามพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบเสื้อคลุมฮู้ดสตรีทสุดเท่ห์ สีดำมีโลโก้ BOY LONDON เด่นหรากลางหลัง
“เกือบสองอาทิตย์’’ ชายหนุ่มบอกเมื่อเหลือบไปเห็นสิตางค์ยกเสื้อคลุมขึ้นดม
“อี๋ จริงอ่ะ? สกปรก’’ ร่างบางบ่นลอยๆแบบไม่จริงจังนัก พร้อมกับสวมเสื้อคลุมอย่างรวดเร็ว กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มยังหอมอวลอยู่ในจมูก
รถเก๋งสีขาวแล่นมาจอดอยู่ลานจอดรถของมหาวิทยาลัย ฝนยังตกปรอยๆไม่ขาดสาย สิตางค์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู เพิ่งจะ 09.30 น. มีเวลาเตรียมตัวอีก 30 นาทีสินะ
“เอาไปใส่เถอะ เดี๋ยวนั่งเเข็งตายทำข้อสอบไม่ได้’’ ร่างสูงบอกเมื่อเห็นสิตางค์กำลังจะถอดเสื้อคลุมคืน
“อุ๊ย ขอบคุณพี่รัตติเจ้าค่ะ’’ ร่างบางยกมือไหว้พร้อมกับยิ้มตาหยี รีบหยิบของ ก้าวลงจากรถ กางร่ม กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่คณะทันที