เราไม่รู้ว่าตอนนี้ยังมีใครเปิดอ่านกระทู้พันทิปอยู่บ้าง หรือทุกคนอาจจะเข้ามาอ่านในtopicที่ตัวเองสนใจ แต่สิ่งที่เราจะเขียนในวันนี้คือเรื่องราวของเราเอง ทุกอย่างที่เราเขียนลงไปมาจากประสบการณ์จริงๆ มันอาจจะไม่ได้ดูเป็นปัญหาใหญ่โตสำหรับใครบางคน แต่สำหรับเราในตอนนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่สุด
สวัสดีค่ะ เราเป็นนักศึกษาปี4 อยู่คณะสถาปัตย์ สาขาสถาปัตย์หลัก ใครหลายคนอาจจะเคยได้ยินเรื่องราวของสายนี้มาบ้าง ว่ามันหนักยังไง เบายังไง แต่สำหรับเราแล้ว เราเองก็ยังหาคำตอบตรงนั้นไม่ได้เลยค่ะ555 เรื่องทั้งหมดเกิดจากตัวเราเองตอนอายุ9ขวบ ตอนนั้นเราเรียนอยู่ป.4 เราโตมาในบ้านคนจีน บ้านเรามีฐานะที่ดี พร้อมที่จะส่งเราไปถึงฝั่ง ตอนนั้นม๊าทำงานหนักมาก ไม่ค่อยมีเวลาให้เรา เลยให้เราลองเล่นเกม เกมที่เราเล่นคือ the sims, sims city ตอนนั้นเราสนุกมาก เราชอบวางแผน ชอบสร้างบ้าน ชอบตกแต่ง เราจินตนาการเก่ง แต่ก็ชอบอยู่บนความเป็นจริง
ทุกคนคงเคยจะโดนคำถามนี้กันมาหมดใช่มั้ยคะ ว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร? เวลาที่เรานั่งอยู่บนรถแล้วรถแล่นขึ้นไปบนสะพานสูงๆ เราจะมองวิวในเมืองตลอด เราชอบดูตึก ดูบ้าน เรามักจะจำโลเคชั่นจากสิ่งก่อสร้าง สิ่งที่เราตอบผู้ใหญ่ไปว่าเราอยากเป็นอะไร คือเวลาที่เราไปที่ในสักแห่ง แล้วเราได้เห็นสิ่งก่อสร้างที่เราเป็นคนสร้างด้วยตัวเอง นี่แหละสิ่งที่เราอยากเป็น
ตอนนั้นเราไม่รู้จักสถาปัตยกรรมเลย ไม่รู้ว่าmeaningของมันคืออะไร สถาปนิกคือใคร เรารู้แค่ว่าเรามีแพชชั่นกับตึกราบ้านช่องเป็นพิเศษมากๆ แล้ววันเวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆ จนเราอายุ13 เราได้ไป open house ของมหาวิทยาลัยหนึ่งในกรุงเทพ และวันนั้นคือวันที่เรารู้จักคณะสถาปัตย์ แล้วเป้าหมายของเราก็เริ่มมาจากวันนั้น เราขอที่บ้านเรียนพิเศษ เรียนดรออิ้ง เพื่อที่จะเข้าคณะนี้ให้ได้ เรียกได้ว่าตอนนั้นชอบมากจริงๆ ตอนเรียนพิเศษก็เหนื่อยนะคะ มันต้องวาดตีบเยอะมากก แต่เราก็มีความสุขและสนุกมากค่ะ บวกกับที่บ้านเราก็ซัพพอร์ตตรงนี้มากๆ มันเลยทำให้เรามั่นใจกับทางนี้มากขึ้นไปอีก
แต่มันก็แค่ในช่วงเวลานั้น ถ้าเทียบกับตอนมัธยมที่เราเตรียมตัวแอดมิชชั่นแล้ว มันเรียกว่าความเป็นจริงไม่ได้เลย วันที่เราก้าวเข้ามาในรั้วมหาลัยวันแรก ตอนที่เราเรียนปี1ที่นี่ เราก็ยังแฮปปี้อยู่ มันยังสนุก แต่จุดที่พลิกมันคือตอนที่เราขึ้นมาเรียนปีที่สูงขึ้น ปีที่ทุกคนจูรี่กันครั้งแรก เรียนในสิ่งที่มันpracticalขึ้นมากๆครั้งแรก ตอนนั้นช็อคไปเลยค่ะ สุขภาพกาย สุขภาพใจ มันพังสุดๆ เรียกได้ว่าเราร้องไห้ออกมาทุกครั้งก่อนที่จะเริ่มทำงานตลอด เราไม่รู้ว่าเราสามารถเรียกเหตุการณ์เหล่านั้นว่าเราท้อได้มั้ย แต่เราก็ยังสู้สุดใจนะคะ ถึงกายเรามันไม่ค่อยไปด้วยในบางที
สาเหตุที่เราร้องไห้และเริ่มกังวลหลักๆมันมาจากที่กลัวทำงานไม่ทันบ้าง คิดงานไม่ออก สมองไม่เดิน ร่างกายเราไม่อึด ไม่สามารถอดหลับอดนอนได้เกิน24ชั่วโมง บางทีเราก็ร้องไห้ เพราะเรารู้สึกถอดใจกับมัน แต่อีกมุมเราก็จะคิดว่า เห้ย นี่เราเคยชอบมันมากๆๆๆมาก่อนเลยนะ ทำไมวันนี้เราถึงอยากหนีไปพ้นๆซะงั้นวะ เพราะคำถามพวกนี้มันยังอยู่ในใจเราตลอด มันเลยทำให้เราอยากจะร้องไห้ทุกที
จริงๆแล้วสถาปัตย์ ถ้าคนที่ไม่ได้รักจริงๆ อยู่ตรงนี้ไม่ได้เลยนะ แล้วการที่เราเรียนปีสูงๆขึ้นไปเนี่ย ยิ่งเป็นตัววัด คนเริ่มลาออกกันไปทีละ2-3คน ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับเราแล้วที่เรายังอยู่ตรงนี้มันด้วยหลายๆเหตุผลเอามากๆ ไหนจะเพราะที่บ้าน บ้านเรามีความคิดค่อนข้างtoxicคือไม่ไหวยังไงก็ต้องทนแย่แค่ไหนก็ห้ามหยุดพัก เพราะมันมาไกลแล้ว กลับรถไม่ทันแล้ว แล้วเราก็รู้สึกเสียเวลาชีวิต เพราะเราเองก็ไม่รู้ว่าเราจะใช้เวลาอีก4-5ปีเพื่อค้นหาตัวเองอีกหรอ แต่อีกใจนึงมันก็ทรมานเหลือเกิน เราเริ่มรู้สึกอิจฉาคนที่เรียนแล้วไม่เครียดหรือมีเรื่องให้เครียดน้อย เพราะสิ่งที่เรารู้สึกในตอนนี้คือเราเริ่มเรียนแล้วไม่มีความสุข มีแต่ความทุกข์และคิดจะถอดใจอยู่ตลอด
แต่ถ้าพูดถึงเนื้องาน คือเรามีเกรดที่ดีตลอดนะคะ แต่ถ้าต้องพูดกันจริงๆเหมือนตอนนี้เราไม่ได้สนใจแล้วว่าที่ผ่านมาเราทำได้ดีมากขนาดไหนมันกลายเป็นว่าเราเอาแต่สนใจว่าทำไมเราถึงเริ่มburned outไปทุกที เวลาที่นั่งทำงานถ้าเทียบกับปีก่อนๆเรานั่งอยู่กับงานได้หลายชั่วโมงเลย แต่พอมาตอนนี้เราอยู่กับมันได้แค่ชั่วโมงกว่า เราก็เริ่มเหนื่อย เริ่มล้า แล้วก็เริ่มท้อลงไปทุกที ไม่รู้ว่าจะผลักดันตัวเองยังไงเลยค่ะ พอบอกให้ตัวเองสู้ทีไรก็จะมีน้ำตาออกมาโดยไม่รู้ตัวทุกครั้งเลย มันเหมือนกับว่าทำไมสิ่งที่เราเคยรักมากขนาดนั้น พอมาวันนี้ วันที่ใกล้ถึงความเป็นจริงเท่าไหร่ จากที่เคยรักมันมากๆ อยู่กับมันได้เป็นวันๆ มันเริ่มถดถอยลงไปทุกที
นั่นแหละค่ะ นี่คือเรื่องราวของเรา มันอาจจะไม่ได้ใจความมากมายอะไรนะคะ เพราะเรามานั่งเขียนตอนที่เราเบรคจากงานอยู่ ซึ่งสมองก็เบลอเอามากๆแล้ว ตอนนี้เราก็คงดำเนินชีวิตการเรียนไปกับการตั้งคำถามที่ตัวเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้ และจะสู้ต่อไปเท่าที่ไหวที่สุด วันไหนที่เหนื่อยท้อก็คงร้องไห้ออกมา หรือวันที่จบโปรเจคก็คงไปหาอะไรอร่อยๆกิน เราคงจะอยู่กับมันไปก่อน จนกว่าจะถึงวันที่เราไม่อยากจะอยู่อีกแล้ว ใครที่หมดแพชชั่นกับสิ่งที่เรียน หรือเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองเหมือนกับเราว่าตรงที่ยืนอยู่นี่ ใช่หรือเปล่า? เราขอให้หาคำตอบเจอไวๆนะคะ แล้วถ้าจะใช่หรือไม่ใช่ก็ขอให้ทุกคนที่ติดปัญหาเดียวกันได้อยู่ถูกที่และเวลาที่ถูกต้องค่ะ
ขอบคุณที่อ่านเรื่องราวปัญหาร้อยแปดพันอย่างของเราจนจบค่ะ มีวันที่ดีกันนะคะทุกคน
วันที่เรารู้สึกหมดแพชชั่นกับคณะที่กำลังเรียน
สวัสดีค่ะ เราเป็นนักศึกษาปี4 อยู่คณะสถาปัตย์ สาขาสถาปัตย์หลัก ใครหลายคนอาจจะเคยได้ยินเรื่องราวของสายนี้มาบ้าง ว่ามันหนักยังไง เบายังไง แต่สำหรับเราแล้ว เราเองก็ยังหาคำตอบตรงนั้นไม่ได้เลยค่ะ555 เรื่องทั้งหมดเกิดจากตัวเราเองตอนอายุ9ขวบ ตอนนั้นเราเรียนอยู่ป.4 เราโตมาในบ้านคนจีน บ้านเรามีฐานะที่ดี พร้อมที่จะส่งเราไปถึงฝั่ง ตอนนั้นม๊าทำงานหนักมาก ไม่ค่อยมีเวลาให้เรา เลยให้เราลองเล่นเกม เกมที่เราเล่นคือ the sims, sims city ตอนนั้นเราสนุกมาก เราชอบวางแผน ชอบสร้างบ้าน ชอบตกแต่ง เราจินตนาการเก่ง แต่ก็ชอบอยู่บนความเป็นจริง
ทุกคนคงเคยจะโดนคำถามนี้กันมาหมดใช่มั้ยคะ ว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร? เวลาที่เรานั่งอยู่บนรถแล้วรถแล่นขึ้นไปบนสะพานสูงๆ เราจะมองวิวในเมืองตลอด เราชอบดูตึก ดูบ้าน เรามักจะจำโลเคชั่นจากสิ่งก่อสร้าง สิ่งที่เราตอบผู้ใหญ่ไปว่าเราอยากเป็นอะไร คือเวลาที่เราไปที่ในสักแห่ง แล้วเราได้เห็นสิ่งก่อสร้างที่เราเป็นคนสร้างด้วยตัวเอง นี่แหละสิ่งที่เราอยากเป็น
ตอนนั้นเราไม่รู้จักสถาปัตยกรรมเลย ไม่รู้ว่าmeaningของมันคืออะไร สถาปนิกคือใคร เรารู้แค่ว่าเรามีแพชชั่นกับตึกราบ้านช่องเป็นพิเศษมากๆ แล้ววันเวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆ จนเราอายุ13 เราได้ไป open house ของมหาวิทยาลัยหนึ่งในกรุงเทพ และวันนั้นคือวันที่เรารู้จักคณะสถาปัตย์ แล้วเป้าหมายของเราก็เริ่มมาจากวันนั้น เราขอที่บ้านเรียนพิเศษ เรียนดรออิ้ง เพื่อที่จะเข้าคณะนี้ให้ได้ เรียกได้ว่าตอนนั้นชอบมากจริงๆ ตอนเรียนพิเศษก็เหนื่อยนะคะ มันต้องวาดตีบเยอะมากก แต่เราก็มีความสุขและสนุกมากค่ะ บวกกับที่บ้านเราก็ซัพพอร์ตตรงนี้มากๆ มันเลยทำให้เรามั่นใจกับทางนี้มากขึ้นไปอีก
แต่มันก็แค่ในช่วงเวลานั้น ถ้าเทียบกับตอนมัธยมที่เราเตรียมตัวแอดมิชชั่นแล้ว มันเรียกว่าความเป็นจริงไม่ได้เลย วันที่เราก้าวเข้ามาในรั้วมหาลัยวันแรก ตอนที่เราเรียนปี1ที่นี่ เราก็ยังแฮปปี้อยู่ มันยังสนุก แต่จุดที่พลิกมันคือตอนที่เราขึ้นมาเรียนปีที่สูงขึ้น ปีที่ทุกคนจูรี่กันครั้งแรก เรียนในสิ่งที่มันpracticalขึ้นมากๆครั้งแรก ตอนนั้นช็อคไปเลยค่ะ สุขภาพกาย สุขภาพใจ มันพังสุดๆ เรียกได้ว่าเราร้องไห้ออกมาทุกครั้งก่อนที่จะเริ่มทำงานตลอด เราไม่รู้ว่าเราสามารถเรียกเหตุการณ์เหล่านั้นว่าเราท้อได้มั้ย แต่เราก็ยังสู้สุดใจนะคะ ถึงกายเรามันไม่ค่อยไปด้วยในบางที
สาเหตุที่เราร้องไห้และเริ่มกังวลหลักๆมันมาจากที่กลัวทำงานไม่ทันบ้าง คิดงานไม่ออก สมองไม่เดิน ร่างกายเราไม่อึด ไม่สามารถอดหลับอดนอนได้เกิน24ชั่วโมง บางทีเราก็ร้องไห้ เพราะเรารู้สึกถอดใจกับมัน แต่อีกมุมเราก็จะคิดว่า เห้ย นี่เราเคยชอบมันมากๆๆๆมาก่อนเลยนะ ทำไมวันนี้เราถึงอยากหนีไปพ้นๆซะงั้นวะ เพราะคำถามพวกนี้มันยังอยู่ในใจเราตลอด มันเลยทำให้เราอยากจะร้องไห้ทุกที
จริงๆแล้วสถาปัตย์ ถ้าคนที่ไม่ได้รักจริงๆ อยู่ตรงนี้ไม่ได้เลยนะ แล้วการที่เราเรียนปีสูงๆขึ้นไปเนี่ย ยิ่งเป็นตัววัด คนเริ่มลาออกกันไปทีละ2-3คน ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับเราแล้วที่เรายังอยู่ตรงนี้มันด้วยหลายๆเหตุผลเอามากๆ ไหนจะเพราะที่บ้าน บ้านเรามีความคิดค่อนข้างtoxicคือไม่ไหวยังไงก็ต้องทนแย่แค่ไหนก็ห้ามหยุดพัก เพราะมันมาไกลแล้ว กลับรถไม่ทันแล้ว แล้วเราก็รู้สึกเสียเวลาชีวิต เพราะเราเองก็ไม่รู้ว่าเราจะใช้เวลาอีก4-5ปีเพื่อค้นหาตัวเองอีกหรอ แต่อีกใจนึงมันก็ทรมานเหลือเกิน เราเริ่มรู้สึกอิจฉาคนที่เรียนแล้วไม่เครียดหรือมีเรื่องให้เครียดน้อย เพราะสิ่งที่เรารู้สึกในตอนนี้คือเราเริ่มเรียนแล้วไม่มีความสุข มีแต่ความทุกข์และคิดจะถอดใจอยู่ตลอด
แต่ถ้าพูดถึงเนื้องาน คือเรามีเกรดที่ดีตลอดนะคะ แต่ถ้าต้องพูดกันจริงๆเหมือนตอนนี้เราไม่ได้สนใจแล้วว่าที่ผ่านมาเราทำได้ดีมากขนาดไหนมันกลายเป็นว่าเราเอาแต่สนใจว่าทำไมเราถึงเริ่มburned outไปทุกที เวลาที่นั่งทำงานถ้าเทียบกับปีก่อนๆเรานั่งอยู่กับงานได้หลายชั่วโมงเลย แต่พอมาตอนนี้เราอยู่กับมันได้แค่ชั่วโมงกว่า เราก็เริ่มเหนื่อย เริ่มล้า แล้วก็เริ่มท้อลงไปทุกที ไม่รู้ว่าจะผลักดันตัวเองยังไงเลยค่ะ พอบอกให้ตัวเองสู้ทีไรก็จะมีน้ำตาออกมาโดยไม่รู้ตัวทุกครั้งเลย มันเหมือนกับว่าทำไมสิ่งที่เราเคยรักมากขนาดนั้น พอมาวันนี้ วันที่ใกล้ถึงความเป็นจริงเท่าไหร่ จากที่เคยรักมันมากๆ อยู่กับมันได้เป็นวันๆ มันเริ่มถดถอยลงไปทุกที
นั่นแหละค่ะ นี่คือเรื่องราวของเรา มันอาจจะไม่ได้ใจความมากมายอะไรนะคะ เพราะเรามานั่งเขียนตอนที่เราเบรคจากงานอยู่ ซึ่งสมองก็เบลอเอามากๆแล้ว ตอนนี้เราก็คงดำเนินชีวิตการเรียนไปกับการตั้งคำถามที่ตัวเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้ และจะสู้ต่อไปเท่าที่ไหวที่สุด วันไหนที่เหนื่อยท้อก็คงร้องไห้ออกมา หรือวันที่จบโปรเจคก็คงไปหาอะไรอร่อยๆกิน เราคงจะอยู่กับมันไปก่อน จนกว่าจะถึงวันที่เราไม่อยากจะอยู่อีกแล้ว ใครที่หมดแพชชั่นกับสิ่งที่เรียน หรือเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองเหมือนกับเราว่าตรงที่ยืนอยู่นี่ ใช่หรือเปล่า? เราขอให้หาคำตอบเจอไวๆนะคะ แล้วถ้าจะใช่หรือไม่ใช่ก็ขอให้ทุกคนที่ติดปัญหาเดียวกันได้อยู่ถูกที่และเวลาที่ถูกต้องค่ะ
ขอบคุณที่อ่านเรื่องราวปัญหาร้อยแปดพันอย่างของเราจนจบค่ะ มีวันที่ดีกันนะคะทุกคน