เราเหนื่อยกับการใช้ชีวิตมาก หนี้ท่วมหัวแบบหาทางออกไม่ได้แล้ว

ก่อนอื่นต้องขอโทษทุกคนที่เข้ามาอ่าน หลังอ่านจบคงรู้สึกอยากพิมพ์คอมเม้นท์ด่าเราแน่ ๆ แต่รบกวนช่วยยั้งมืออย่าแรงมากนะคะ เพราะเราด่าตัวเองทุกเวลาจนความรู้สึกมันดิ่งแบบไม่ไหวแล้วจริง ๆ ใครคิดว่าพอมีทางออกก็ต้องขอความกรุณาช่วยแนะนำด้วยจะขอบคุณมากเลยค่ะ

เราไม่ได้เกิดมาเป็นคนที่มีฐานะดีเท่าไร แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นลำบากมาก พอเรียนไปทำงานไป อยู่ในสังคมที่ไม่ต้องใช้เงิน ก็เลยกลายเป็นคนที่มีเงินเก็บมากพอสมควร เรามีความฝันหลาย ๆ อย่างในตอนเรียน แล้วด้วยความที่เราก็ว่าพ่อแม่เราเรียนจบแค่ป.4 เป็นแม่บ้าน เป็นรปภ. ยังส่งเราเรียนจบปริญญาตรีได้ ยังไงเราเรียนจบก็คงช่วยครอบครัวให้สบายขึ้นบ้าง... ในตอนนั้นคิดไว้แบบนี้

หลังจากเรียนจบความฝันหลาย ๆ เรื่องมันก็หายไป พร้อม ๆ กับรายจ่ายที่มากเกินจะรับไหว รวมถึงเงินเก็บที่ลดลงเรื่อย ๆ เนื่องจากรายได้มันน้อยกว่ารายจ่าย

ช่วงปีแรกเราหลงระเริงกับเงินเดือนจนไม่ได้เก็บเงินต่อ (ช่วงที่พ่อแม่ยังทำงานและยังไม่ได้ให้รับภาระค่าใช้จ่าย) และด้วยความคิดที่ว่าเงินเดือนเราปริญญาตรี start 15K รู้สึกว่ามากแล้ว เพราะครอบครัวไม่เคยมีใครได้เงินเยอะเท่านี้ เงินเก็บเราสมัยเรียนแบ่งไปซื้อหุ้นบางส่วน (ไม่ได้ตั้งใจเทรดเอากำไร แต่คาดหวังปันผลเป็นผลตอบแทนเล็ก ๆ น้อย ๆ) ส่วนที่ยังเหลือก็เก็บไว้ ตั้งใจจะเอาไปดาวน์บ้าน (บ้านที่เราอยู่มันเป็นสลำ มันอันตราย แล้วบ้านอีกหลังที่พ่อสร้างไว้แล้วแม่อยากให้เราไปอยู่ดีกว่าบ้านเดิมนิดหน่อยแต่ก็ไม่มีรั้วรอบขอบชิด เราอยากได้บ้านที่มีรั้ว อยากเลี้ยงหมา)

หลังจากนั้นปีเดียว เราออกจากงาน ลดเรตค่าตัวตัวเองรับเงินเดือนที่ 14K แล้วก็เปลี่ยนงานอีกครั้ง และอีกครั้ง จนที่บ้านเริ่มคิดว่าเรามีปัญหาอะไรนะ เราเข้ากับที่ทำงานไม่ได้สักที่เลยเหรอ ช่วงที่ออกจากงานเราก็ออกโดยที่ยังไม่ได้งานใหม่ เลยต้องใช้เงินเก็บสำรองของตัวเองบ้าง หางานพิเศษทำบ้าง (ซึ่งก็ไม่ได้ถูกเรียกทำงานทุกวัน) แต่พอได้งานที่ใหม่เงินเดือนเพิ่มเป็น 18K เราก็เริ่มมีเงินเก็บอีกครั้ง (แต่ก็ยังใช้เงินเยอะอยู่ดี ทำให้เงินเก็บต่อเดือนไม่มากเท่าไร)
- ผ่านไป 2 ปี แม่เริ่มมีแผนจะซื้อรถ เราทะเลาะกับแม่อยู่เป็นเดือนเพราะเราอยากได้บ้านมากกว่า แต่สุดท้ายก็แพ้ เงินเก็บของเราบางส่วนเอาไปดาวน์รถร่วมกับแม่
- เราต้องผ่อนรถเดือนละประมาณ 13k เป็นเวลา 5ปี (เงินเดือนเราขึ้นปีละ 400 - 1000 ไม่เคยเกินจากนี้)
- หลังผ่อนรถได้ 3 ปี ลูกพี่ลูกน้องเรา (ญาติสนิท) ฆ่าตัวตาย เขาไม่มีเงินเก็บ (แต่ไม่มีหนี้) มีพ่อแม่ที่เกษียณแล้วและไม่มีเงินเก็บเหลือพอจะดูแลตัวเอง พ่อแม่เขาก็ได้หางานรับจ้างจุกจิกทำเพื่อใช้ชีวิตต่อไป แต่รายจ่ายส่วนของบ้านนั้นทั้งค่าน้ำค่าไฟ เรากลายเป็นคนดูแลทั้งหมด (ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เงินเก็บเราเริ่มลดลงเพราะเงินใช้จ่ายต่อเดือนไม่พอใช้)
- เราพยายามหารายได้เพิ่ม ทั้งการขายออนไลน์ ขายตลาดนัด การรับสอนพิเศษ สอนคอมพิวเตอร์ ฯลฯ ทุกอย่างที่เราคิดว่าเราสามารถเพิ่มรายได้ให้ตัวเอง แต่ก็เจ๊ง แล้วก็ไม่ค่อยถูกจ้างเท่าไร จนเราก็รู้สึกว่าความสามารถเรามันคงไม่เป็นที่ต้องการ ขายของก็ไม่เป็น (สมัยนั้นยังไม่มีไลฟ์) โพสทั้งวันไม่มีคนซื้อ นั้งท้งวันมีคนซื้อแค่สองคน รายได้หลังหักต้นทุนน้อยกว่าค่าเช่าที่ เป็นช่วงที่ท้อแท้มาก
- โดนหลอกไปลงทุน (โพสที่บอกว่ารับสมัครคนตอบแชตลูกค้าวันละ 500 บาท) ตอนนั้นเงินเก็บก็ไม่เหลือ มีบัตรเครดิตก็กัดฟันรูดไป 40K (หนี้บัตรเครดิตก่อนแรก) เพื่อเข้ากลุ่มสอนงานเพื่อจะได้ทำงานสร้างรายได้ให้มากกว่าที่เสียไป (อันนี้ด่าเราก็ได้ เรายังรู้สึกโง่มาถึงทุกวันนี้ ตอนรูดก็แบบเชื่อเขาแหละ แต่พอรูดเสร็จกลับมาบ้านก็มานั่งคิดว่าเราทำอะไรลงไป) แล้วสรุปก็ไม่สามารถสร้างรายได้ได้เหมือนที่คิดไว้ เราทำใจนานมากก่อนจะหยุดเสียเวลาจากตรงนั้น (เป็นปีได้)
- จ่ายงวดรถยังไม่พ้นปีที่ 3 แม่จ่ายเงินซื้อบ้านแฟลตเอื้ออาทร (ที่ยังผ่อนไม่หมด) จากญาติมาให้เราผ่อนต่อ (ทะเลาะกันอีกยดเพราะเราอยากได้บ้านเดี่ยว) ตอนนั้นตึงมือมากทั้งบัตรเครดิต งวดรถ ค่าใช้จ่ายบ้านลุงกับป้า บ้านเอื้ออาทร (ที่ยังเป็นชื่อของญาติ**อันนี้มีประเด็นนะแต่ขอไม่ลงรายละเอียด อยากจะบอกทุกคนว่าเราสู้สุดชีวิตจริง ๆ กับบ้านเอื้ออาทรห้องนี้) เงินเก็บเราหมดแล้ว และเราประทังชีวิตด้วยบัตรเครดิต
- โทรศัพท์เราพังแล้วเราต้องซื้อใหม่แต่บัตรเครดิตใบแรกเต็มวงเงินแล้ว และยังปิดยอดไม่ได้ เลยเปิดบัตรใบที่ 2 เพื่อซื้อโทรศัพท์ราคา 9,000+ แต่เราคิดว่าผ่อนไม่ไหว เลยคุยกับที่บ้านครั้งนึง แม่บอกว่าจะช่วยจ่ายค่างวดรถบางส่วน แต่สุดท้ายรายจ่ายก็ยังมากเกินไปอยู่ดี
- เราเริ่มกู้เงิน(สด) จากธนาคารมาเพื่อปิดบัตรเครดิต (ตามโฆษณาที่บอกว่าสินเชื่อปิดหนี้ต่าง ๆ) แต่ก็กู้ผ่านไม่ถึงยอดปิดบัตรเครดิตใบเดียวด้วยซ้ำ แค่ทำให้ยอกคงค้างในบัตรเครดิตลดลง แต่เรามียอดผ่อนเงินกู้รายเดือนเพิ่มมาอีกก้อน ทำให้เราตต้องจ่ายหนี้จาก 2 ก่อน เป็น 3 ก้อน ก็ยิ่งทำให้รายจ่ายมากขึ้นไปอีก
- เราก็ทำตัวแบบนี้จนปิดงวดรถสำเร็จ (รถเป็นชื่อแม่) เรามีความหวังว่าเบาค่างวดรถแล้ว เดี๋ยวจะไปไล่ปิดหนี้สินต่าง ๆ เพื่อให้ตัวเองเบาที่สุด จะได้คิดไปถึงเรื่องการแต่งงานสร้างครอบครัวสักที (ตอนนั้นเรามีแฟนแต่ก็ไม่กล้าบอกแฟนเลย กลัวแฟนผิดหวัง เค้าคิดถึงขั้นแต่งงานแล้ว กลัวเค้าจะไม่ไปต่อ)

จนถึงตอนนี้ นอกจากหนี้แล้ว เราไม่มีทรัพย์สินอะไรเป็นชื่อของตัวเองเลยสักอย่าง แต่เราก็ทยอยลดยอดหนี้จากเกือบแสน เป็น 8 หมื่น 7 หมื่น แล้วก็มาถึงจุดพีคอีกครั้ง
- พ่อเราเกษียณ เราต้องรับผิดชอบค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ของทั้งบ้าน (ยกเว้นของแม่) ดีที่พ่อมีเงินคนชรากับเงินบำนาญประกันสังคม เราเลยไม่ต้องจ่ายเงินเดือนพ่อ
- จากนั้นอีกปี แม่เราเกษียณ (เลือกเกษียณตอนอายุ55) พ่อกับแม่แยกทางกัน แม่ย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด (สร้างบ้านใหม่) มีเงินค่าประกันชีวิตของพ่อกับแม่ที่แม่เคยซื้อไว้แล้วยังจ่ายไม่หมด เรารับมาจ่ายต่อ

เราเงินเดือนขึ้นน้อยมาก เปลี่ยนงานใหม่ก็ได้เงินเดือนน้อยเหมือนเดิม (อาจจะไร้ความสามารถมาก ๆ) แล้วสังคมออฟฟิศ โรงอาหารที่ทำงาน ทุกอย่างมันแพงไปหมดจนเราใช้ชีวิตยากขึ้นเรื่อย ๆ โทรศัพท์เริ่มใช้งานแอพธนาคารไม่ได้ เราก็ต้องอดทนใช้ไปก่อน

ถึงตอนนี้เรามีค่าประกันภัยรถยนต์ประจำปี ค่าน้ำค่าไฟค่าโทรศัพท์บ้านทั้งหมด 3 หลัง ค่าผ่อนบ้านเอื้ออาทร(มีคนเช่าและแม่รับค่าเช่า) ที่เป็นรายจ่ายประจำ และหนี้สินที่ยังปิดไม่หมดอีก 1 ก้อนโต ๆ เราอยู่กับสถานการณ์นี้มานานมาก แล้วแม่เราเริ่มเร่งให้แต่งงาน (ซึ่งเค้าเรียกสินสอด แต่แฟนเราก็ไม่ได้รวยและมีภาระค่าใช้จ่ายเหมือนกัน ถ้าจะแต่งก็ต้องช่วยกันเก็บเงิน เราเลยบอกแม่ว่าเราจะเคลียร์หนี้ก่อนแล้วค่อยคิดเรื่องแต่งงาน ซึ่งใจเราไม่อยากแต่งแล้วไม่อยากเสียงเงินเลยสักบาทเดียว) แฟนก็เริ่มคุยเรื่องแต่งงานหนักขึ้น (แฟนเริ่มเคลียร์ภาระค่าใช่จ่ายแล้วเจียดเงินมาเก็บค่าสินสอด) เราตัดสินใจบอกแฟนเรื่องสภาพการเงินของตัวเอง คาดไว้ว่าเค้าคงบอกเลิกแน่ ๆ และเตรียมใจยอมรับไว้แล้ว แต่แฟนเราก็ยังไม่เลิก ก็บอกว่าจะชวนเที่ยวให้น้อยลง ถ้าไปเที่ยวก็จะออกค่าใช้จ่ายให้ แต่พอเอาเข้าจริง แฟนเราก็เงินน้อยจะจ่ายให้เราทุกครั้งก็ไม่ได้ซึ่งเราเข้าใจข้อนี้ดี สุดท้ายเราก็ต้องพยายามรับผิดชอบตัวเองก่อนที่จะให้แฟนจ่ายให้ (เงินเราบางส่วนหมดไปจากการที่ต้องออกไปเจอแฟนทุกอาทิตย์ เพราะว่าไม่ได้อยู่ด้วยกัน เจอกันที่บ้านก็อึดอัดเลยต้องเจอข้างนอก คำว่าเที่ยวของเราก็คือแค่ออกไปนอกบ้าน ไปสวนสาธารณะ ไปห้าง ไปนิทรรศการต่างๆ)

เรายังอยากซื้อบ้าน ยังให้สัญญากับแฟนว่าจะไม่ทำหนี้ที่มีให้เป็นหนี้เสีย แล้วจะพยายามปิดให้ได้

แต่ว่าเราหมดหนทางแบบไม่รู้จะทำยังไงจริง ๆ เราไม่มีเงิน ไม่เคยแสดงออกว่ามีเงิน แต่ก็ชอบมีคนมายืมเงิน มาเอาปัญหาตัวเองโยนใส่เรา (ซึ่งเราก็ไม่มีเงินให้ยืมหรอก ได้แต่รับฟัง อยากจะระบายออกมาแบบนั้นได้บ้าง แต่ก็พูดไม่ออก ทำได้แค่ฟัง)

เราคือรายได้เดียวของทุกคน แต่เราก็แค่นี้เอง ไม่มีอะไรแถมติดลบ เราจะหนีไม่ดูแลก็ไม่ได้ ทำใจทำแบบนั้นไม่ได้ เป็นมนุษย์บัตรเครดิต มนุษย์เงินกู้ เพื่อประทังชีวิตไปวัน ๆ มองไม่เห็นอนาคต แต่ก็แบบว่ายังหวังยังพยายามจะปิดบัตร คือเราคิดว่าการมีรายได้เพิ่มขึ้นจะช่วยได้มากกว่า แต่เราหมดหนทางจริง ๆ เงินทุนก็ไม่มี ฟรีแลนซ์ก็ไม่ค่อยมีคนจ้างแถมกลัวโดนหลอกเสียเงินอีก จะทำพาร์ทไทม์งานประจำก็เวลาไม่แน่นอน เดินทางไปต่างจังหวัดก็บ่อย เลยพยายามลดรายจ่ายตัวเองลงแม้กระทั่งค่าโทรศัพท์ก็จ่ายในเรตต่ำที่สุด จากที่ต้องนั้งรถเมล์ไปทำงาน 2 ต่อ บางวันก็เดินกลับบ้านบ้าง เดินเพื่อนั่งรถแค่ต่อเดียวบ้าง แต่ก็ลดหนี้ไปได้แค่ 2 หมื่นนิด ๆ ในเวลาหลาย ๆ ปี

แต่สุดท้ายเหมือนความพยายามนั้นมันแค่อั้นเอาไว้ แล้วรายจ่ายก็โถมเข้ามาอีกครั้ง ในวันที่โทรศัพท์เราใช้งานแอพที่ต้องใช้ทำงานไม่ได้ โทรทัศน์พังแบบซ่อม 2 รอบในรอบเดือน (ตัดสินใจเปลี่ยนใหม่) ที่ทำงานบังคับตัดชุดฟอร์ม (ไม่ออกค่าใช้จ่ายให้เพราะไม่มีในสวัสดิการ)

ในวันที่เราไม่มีเงินสดเพียงพอ เราก็ใช้บัตรอีกครั้ง วงเงินกู้กลับมาเต็มเหมือนเดิม ประกันชีวิตที่ต้องจ่ายก็ใกล้เข้ามาทุกที แต่ก็โอเคไม่เป็นไร ค่อย ๆ ปิดไปก็ได้ คิดไว้แบบนี้ ประกันเหลืองวดปีสุดท้ายก็จบแล้ว อีกแค่นิดเดียว อดทนอีกแค่นิดเดียว

ไม่นานหลังจากนั้น ก็คือเร็ว ๆ นี้ โทรทัศน์ เราท์เตอร์อินเตอร์เน็ต พังพร้อมกัน กับค่าประกันชีวิตที่ต้องจ่ายเร็ว ๆ นี้ เงินสดที่เหลือติดตัวไม่ถึงพัน และวงเงินกู้ที่เต็ม max กับเงินเดือนที่ต่อให้ออกมาก็ต้องจ่ายหนี้หมดภายในวันเดียวอยู่ดี

อยากจะบอกว่าเราทำรายรับรายจ่ายค่ะ 555 เราเริ่มทำได้ 3 ปี เพราะว่าเราเหนื่อย เราอยากจบหนี้สิน
เราได้เห็นว่า (นอกจากนี้สินแล้ว) มีรายจ่ายอะไรที่ลดได้บ้าง แล้วก็พยายามขอคุยกับคนที่เกี่ยวข้อง เช่น แม่ แฟน เป็นต้น
บทสรุปก็คือมีรายจ่ายเดียวที่เราลดได้ ก็คือรายจ่ายส่วนตัวของตัวเราเอง ค่ากิน ค่ารถ เราไม่สามารถต่อสู้เพื่อสดรายจ่ายของคนอื่นได้เลย เพราะถ้าเราไม่จ่าย ก็ไม่มีใครจ่ายได้อีก อยากเลิกกับแฟนเพราะไม่อยากให้แฟนมาอดทนกับภาระของเรา เคยพูดไปหลายครั้งก็ไม่เลิก เคยคิดจะแต่งงานเอาสินสอดมาปิดหนี้ แต่แฟนเราก็ไม่ได้มีมากพอจะเสียเงินกับอะไรแบบนี้ แล้วก็ละอายใจที่มีความคิดแบบนี้ด้วย

ที่ตลกก็คือเราเคยอยากทิ้งทุกอย่างตั้งแต่ตอนที่ลูกพี่ลูกน้องเราเสียไป (เพราะว่าเรารักเขามาก เราก็เลยรู้สึกผิดมากที่ช่วยเหลือเขาไม่ได้) แต่พอเราทำใจได้ เราก็รับพ่อแม่เขามาดูแลแล้ว แล้วตอนนี้เราได้ทำงานที่เรารักเราก็ไม่อยากลาออกจากงานเพื่อหนีค่าใช้จ่ายที่เยอะจนหนักใจ แต่ออกจากงานไปก็ไม่ใช่ว่าจะหางานใหม่ได้ง่าย ๆ

สุดท้ายเรามีความคิดว่าอยากตายมาก ๆ เลยค่ะ ท้อกับการมีชีวิตแต่ไม่ได้ใช้ชีวิตมาก ๆ แต่ก็ตายไม่ได้ ถ้าตาย ทุกคนที่เราดูแลค่าใช้จ่ายอยู่ก็คงเดือดร้อน หนี้สินของเราพ่อแม่ก็คงเดือนร้อน หมดหนทางจริง ๆ ถ้าทำใจทิ้งทุกอย่างได้ เราคงไม่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ก็ได้ แต่ตอนนี้เราปล่อยสิ่งที่เราถือไม่ได้ ทำใจทิ้งก็ไม่ได้ เรามันโง่จริง ๆ โง่ในการใช้ชีวิต โง่ในการจัดระเบียบชีวิต โง่ในการใช้เงิน คือเราไม่อยากจะออกมาประจานตัวเองแบบนี้ เก็บไว้ที่ตัวเอง พยายามแก้ปัญหาเองมาตลอด แต่ไม่ไหวแล้วจริง ๆ ขอโทษด้วยค่ะ ขอโทษที่ทำให้เสียเวลาอ่าน แล้วขอโทษที่ทำให้เสียอารมณ์ด้วยค่ะ

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 12
จากใจนะคะ
หยุดจ่าย..ประกันชีวิตพ่อแม่
หยุดจ่าย..ประกันรถยนต์แม่
หยุดจ่าย..ค่าน้ำค่าไฟให้บ้านพ่อแม่ของลูกพี่ลูกน้อง

เรามองว่ารายการข้างบนเป็นรายจ่ายที่ไม่ควรจ่าย
อย่างบ้านเอื้ออาทร คุณไม่อธิบายว่าทำไมคุณไปผ่อนจ่าย โดยไม่ใช่ชื่อคุณด้วยซ้ำ ถ้าผ่อนหมดแล้วเขาไม่โอนให้คุณ คุณโดนเอาเปรียบเลยนะ หาวิธีให้เขาโอนให้คุณได้ไหม ผ่อนอะไรก็ควรจะเป็นของเรานะคะ ถ้าไม่ได้คุณไม่ควรผ่อนนะ

คุยแบบตั้งใจกับแม่ ให้แม่เอาเงินค่าเช่าจากบ้านเอื้ออาทรไปจ่ายประกันชีวิตเอง คุณทราบไหม ประกันชีวิตเขาทำมาทำไม
เขาทำมาเผื่อว่าคนที่เป็นเสาหลักของบ้านเสียชีวิตกระทันหัน แล้วอาจจะทำให้คนที่บ้านลำบาก ดังนั้นคนที่ควรทำจริงๆ ควรเป็นคุณตังหาก พวกเขาตายไปก็ไม่เดือดร้อนคุณหรอก

ประกันรถยนต์ ถ้าไม่มีเงินก็ไม่จำเป็นต้องทำหรอกค่ะ ซื้อให้แม่ไปแล้ว ก็ให้เขาดูแลเอง รถจะพังก็ชั่งมัน ถือว่าคุณซื้อให้เขาไปแล้ว จบกันไป

เข้าใจว่าคุณรู้สึกผิดกับลูกพี่ลูกน้อง ..แต่ว่ามันไม่ใช่ความผิดของคุณที่จะไม่จ่ายค่าน้ำค่าไฟให้เขา ถึงแม้ว่าคุณอาจจะเคยบอกเขาว่าจะดูแลก็ตาม แนะนำว่าเดินไปบอกเขาว่าอีกสามเดือนจะไม่จ่ายให้แล้ว เพราะไม่มี ถือว่าช่วยถึงที่สุดแล้ว ตัดใจซะ ใจคุณต้องเหี้ยมกว่านี้ ฝึกเห็นแก่ตัวซะบ้าง  ไปบอกเขา ไม่ต้องไปรับฟังเขา ยิ่งฟัง..คุณจะยิ่งใจอ่อน พูดแล้วก็เดินออกมาเท่านั้นพอ

จากที่อ่านเข้าใจว่าคุณอาศัยอยู่กับพ่อแม่รึเปล่า เห็นเขียนว่าต้องมีค่าเดินทางไปหาแฟน เพราะอยู่ที่บ้านไม่สะดวก ถ้าอยู่กับที่บ้าน เวลาพูดอะไรก็จะยาก เดี๋ยวก็น่าจะโดนท้วงบุญคุณ แล้วคุณก็เป็นคนดีมาก พ่อแม่น่าจะภูมิใจ ดีใจมากที่มีคุณ คุณเคยบอกเขาไหมว่าอยากตาย เคยพูดความเครียดที่คุณมีกับเขาบ่อยๆไหม ถ้าไม่..แนะนำให้พูดใส่หูทุกวัน ร้องไห้ใส่หน้าไปเลย ชวนทะเลาะเรื่องเงินทุกวัน ยิ่งคุณเก็บปัญหาทุกอย่างเอาไว้เงียบๆ สำหรับพ่อแม่คุณคือ ไม่มีปัญหา ลูกฉันจ่ายได้ บอกเขาไปเลยว่าถ้าหนูยังต้องจ่ายรายจ่ายพวกนี้อยู่ แม้แต่บ้านเอื้ออาทรหนูก็จะไม่จ่าย ถ้าไม่มีอะไรดีขึ้น (รายจ่ายข้างบนยังต้องจ่ายอยู่) สุดๆ ก่อนที่คุณจะอยากตาย ไหนๆก็ไม่เหลืออะไรแล้ว ลองสักครั้ง หยุดจ่ายทุกอย่าง หนีออกจากบ้านไปซะ ย้ายของไปอยู่หอพัก เปลี่ยนเบอร์ไปเลย อยู่คนเดียวไม่ยุ่งกับที่บ้านไปเลยอาจจะดีกว่านะคะ ถ้าเราเห็นลูกเราลำบาก แล้วซ้ำเติม ไม่ช่วยแก้ปัญหา จริงๆแล้วเขาอาจจะไม่ได้รักเรานะคะ เขาอาจจะลงทุนเลี้ยงคุณมาเผื่อเป็นสินทรัพย์รอขายก็ได้ค่ะ เห็นที่คุณเขียนว่าเขารอสินสอด ระหว่างนั้นเขาก็หาหนี้ให้คุณใช้แทน คุ้มมาก แล้วก็คุณเก็บแฟนไว้นะคะแฟนดีมากเลยค่ะ จากที่เขียนมา อย่างน้อยก็มีเป็นกำลังใจไว้สักคนก็ยังดีค่ะ เขียนไปก็ไม่ได้คิดว่าจุดจบมันจะโหดร้ายขนาดนั้นหรอกนะคะ คุณน่ะ..ต้องใจแข็งกว่านี้ แล้วสถานการณ์จะเปลี่ยนไปค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ
ความคิดเห็นที่ 3
เอาเป็นว่าคุณเสียงไม่แข็งพอครับ  ต้องตั้งกฏครับ

- ใครอยากได้ ใครซื้อ คนนั้นจ่าย
- ใครกิน ใครใช้ คนนั้นจ่ายครับ    

คุณไม่ใช่องค์กรการกุศล  อย่าสละชีวิตของตัวเองทั้งชีวิตเพื่อแบกคนอื่นครับ   ตัดรายจ่ายที่เคยให้เคยผ่อนให้คนอื่นให้หมด
แล้วมาใช้หนี้ตัวเองครับ เพราะตอนนี้ ดอกเบี้ยมันมากกว่ารายได้ทั้งเดือนของคุณแล้วครับ

อาจจะต้องยอมปล่อยทรัพย์สินทุกอย่างให้หลุดมือไปครับ แล้วค่อยเริ่มต้นใหม่  เพราะถ้าโดนฟ้องบังคับคดี
เขาจะหักเงินเดือนส่วนที่เกิน 20,000 ขึ้นไปเท่านั้น

เช่นถ้าคุณเงินเดือน 18,000 เขาหักไม่ได้
และถ้าทรัพย์ใดต้องใช้ในการดำรงค์ชีพเขาก็ยึดไม่ได้ เช่น มือถือ โน้ตบุค
หรือถ้าเป็นเซลขายของ รถยนต์อาจจะถึอเป็นทรัพย์ที่ต้องใช้ในการทำงานได้
ความคิดเห็นที่ 7
เออพี่อ่านแล้วก็เห็นใจ สงสารน้องที่เป็นคนดี อยากรับผิดชอบทุกอย่างไว้กับตัวเอง
  แต่พี่ว่าบางทีชีวิต  เราก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้คับ
  ต้องปล่อยวางบ้าง ยอมรับความจริงกำลังเรา รับผิดชอบไม่ไหว
  ที่น้องคิดไม่อยากอยู่บนแล้วนี้แล้ว มันเพราะน้องยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้
  เลยแค่คิดอยากจะหนีจากโลกนี้ เพื่อไม่ต้องพบกับคำว่าพ่ายแพ้
  
   เมื่อน้องยอมรับความพ่ายแพ้ได้จริงๆ น้องก็จะยอมปล่อยภาระบางอย่างได้
   ต้องทิ้งภาระไปบ้างเพื่อรักษาชีวิตและกำลังใจเราให้อยู่รอด
   ตราบที่เรายังไม่ตาย เรายังสู้ใหม่ได้เสมอ
   วิธีการใช้บัตรเครดิต หรือกู้เงินมาโป๊ะหนี้เก่า เลิกให้เด็ดขาด
   ภาระเลี้ยงดูแม่เพื่อน ก็พอ
   ผ่อนบ้านไม่ไหวไม่ต้องผ่อน ขายต่อให้ได้
   รถยนต์ขายได้ขาย มอไซต์ก็พอ
   เมื่อตัวเราเบาภาระได้ ใจเราก็จะกลับสดใสอีกครั้ง
   เมื่อเราสดใส ชีวิตก็จะเปิดโอกาสให้เราอีกครั้ง
ความคิดเห็นที่ 8
มันมีหลายอยา่ง หลายวิธีที่ลดภาระหนี้ได้ ถ้าคุณศึกษามันสักหน่อย
เช่นประกันชีวิต ของ พ่อ กับ แม่ คุณจะหยุดส่งเมื่อใหร่ก็ได้โดยขอให้ทางประกันลดทุนประกันลงมา
และประกันที่ส่งไปแล้ว บางส่วน สามารถ กู้ กับบริษัทประกันโดยตรงเลย
เพื่อเอาเงินมาปิดบัตร หรือลดหนี้บัตร
ซึ่งเงินที่กู้จากประกันดอกเบี้ยจะถูกกว่าบัตรเครดิต
ลองโทรถามบริษัทประกันดูค่ะ
ความคิดเห็นที่ 5
ระบายออกมาดีแล้วนะ  ไม่ด่าอะไรหรอก คนเรามันก็โตมาต่างกัน มีภาระต่างกัน  การตัดสินใจในตอนนั้นก็เลยไม่เหมือนกัน แต่สุดท้ายมันก็มาถึงจุดนี้แล้ว ก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ก็ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าเราเข้าใจ จขกท แล้วกัน

ต่อมา เราคิดว่า จขกท น่าจะ  list รายได้ต่อเดือน  รายจ่ายต่อเดือน และหนี้ปัจจุบัน (และดอกเบี้ยที่โดนเรียกเก็บอยู่) โดยละเอียด แล้วขอคำปรึกษาจากคนในนี้ว่าควรจะจัดการอย่างไรนะ  ในนี้มีคนเก่งๆที่จะให้คำแนะนำเรื่องการบริหารจัดการหนี้ได้เยอะเลยแหล่ะ  น่าจะเป็นประโยชน์กับ จขกท ด้วยค่ะ

ค่อยๆแก้ปัญหาไปค่ะ  เป้าหมายคือเราควบคุมสถานการณ์ให้ได้แล้วทุกปัญหาจะมีทางออกค่ะ  ตอนนี้ต้องเร่งหาทางควบคุมสถานการณ์ก่อนค่ะ ใจเย็นๆ   ลองเปิดข้อมูลหนี้ ... แล้วรอผู้รู้เข้ามาแนะนำต่อดีกว่า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่