ทำงาน 2 ที่ นอนวันละ 3ชั่วโมง อยากหาทางออกให้ชีวิตก่อนจะไม่ไหว......

สวัสดีครับ เป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว ลูก 3 อายุ 18 17 15 ตอนนี้ผมต้องทำงานหาเงินเลี้ยงลูกคนเดียว กลางวันทำงาน เป็น ผจก. บริษัทเอกชน เงินเดือนประมาณ 25K ข้างาน 09.00-18.00 น. กลับบ้านนอน ตื่นมา 21.00 อาบน้ำไปเข้างาน โรงแรม ตำแหน่ง Night GSA เงินเดือนประมาณ 13K + SV 2000 (ช่วงหน้า Low Season) หน้า High Season อาจจะได้มากกว่านี้แต่ไม่น่าเกิน 4000 เข้างาน 22.00-07.00 กลับมาบ้านอาบน้ำไปทำงาน ผจก. ต่อ ได้หยุดอาทิตย์ละ 1 วัน แต่ที่ทำงานกลางวันกับกลางคืนก็หยุดไม่ตรงกัน ทำมาได้ประมาณ 1 ปีครึ่งแล้วครับ มีความรู้สึกว่าเหนื่อยมาก บางวันนั่งทำงานอยู่ก็เผลอหลับไปเลยก็มี แต่นั้นแหละครับ ค่าใช้จ่ายมันมีอยู่ทุกวัน ลูก 3 คนผมให้เงินไปโรงเรียน อาทิตย์ละ 500 บาท/คน โดยให้ขับรถยนต์ไป ถ้าถามว่าทำไมให้ขับรถยนต์เพราะมี 3 คน นั่งมอไซค์ซ้อน 3 คงไม่เหมาะ และก่อนหน้านี้เคยลองให้ขับมอไซค์ไปกัน 2 คน ช่วงที่พี่ชายคนโตสุดไป ติวสอบที่กรุงเทพฯ อยู่ประมาณ 1 เดือน ปรากฎว่า ขับรถล้มไป 2 ครั้ง เลยได้แผลมาด้วย เห็นแล้วใจหายวูบเลยครับ รู้สึกว่ามันอันตรายมาก ถ้าถามว่าทำไมไม่ไป รับ-ส่ง ลูก ก็ตามที่บอกเลยครับ ทำงานแทบไม่มีเวลานอนแล้วครับ เรื่องที่ผมอยากได้คำปรึกษาคือ อยากหาวิธีจัดการค่าใช้จ่าย และเรื่องหารายได้เสริม ว่ามีแนวทางไหนบ้าง ค่าใช้จ่ายตายตัวก็มี ค่าโรงเรียนลูก 500*3 = 1500/สัปดาห์ * 4 สัปดาห์ = 6000 (ตกเฉลี่ยวันละ 100 บาทต่อคนถามว่ากินอิ่มไหม ก็คงไม่แต่เด็กๆก็อดทน ไม่เคยฟุ่มเฟือย ) ค่าน้ำมันรถ 4000 ตกอาทิตย์ละ 1000 ค่าเช่าบ้าน 7000 ค่าน้ำ+ไฟ 2000 ค่าผ่อนรถ 5000 ค่าผ่อนมอเตอร์ไซค์ 2000 ค่าน้ำมันของผมเอง 5000 ค่ากินเสาร์-อาทิตย์ ของเด็กๆอีกคนละ 200*3 = 600*4 = 2400 ค่าโทรศัพท์ 1000 ค่าเรียนเทควันโด 4800 (เป็นนักกีฬาจังหวัดทั้ง 3 คนครับ รู้ว่าสิ้นเปลืองจุดนี้แต่เรียนเพื่อเอาทุนโควต้านักกีฬาในการเข้ามหาวิทยาลัยครับจะทำให้ประหยัดค่าเทอมได้เยอะเลย)

รวมรายได้ = 25000+13000+2000 = 40000
รวมรายจ่าย = 6000+4000+7000+2000+5000+2000+5000+2400+4800+1000 = 39200 (โดยประมาณ) 

ซึ่งบางเดือน มีค่ากิจกรรม ค่าชุด รด. ค่าจิปาถะ ต่างๆ ทำให้ ทุกวันนี้หมุนเงินแบบเดือนชนเดือนข้ามเดือน ยังติดขัดตลอด และตัวผมก็โดนผลกระทบช่วงโควิด ทำให้ถูกฟ้องกลายเป็นบุคคลล้มละลาย ไปเรียบร้อยแล้ว ทำให้ทำธุรกรรมอะไรไม่ได้ด้วย 

ผมอยากทำตามแนวทางที่แนะนำกันมากมาย เช่น เก็บก่อนใช้ แบ่งเงิน 50 30 20 ฯลฯ แต่ไม่ว่าวิธีไหนก็ยังมองไม่เห็นทางเลยครับ เพื่อนๆ คนไหนพอมีไอเดียดีๆ หรือทางออกดีๆ แนะนำไหมครับ ไม่รู้ว่าวันไหนร่างกายจะร่วงไปก่อน เป็นห่วงลูกครับ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
คุณมีภาระหนักมากจริงๆ  ต้องให้ลูกทำงานพาร์ทไทม์ช่วยอีกแรงแล้วล่ะครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
ตอบจากห้องวางแผนการเงิน

อ่านแล้วบอกได้คำเดียวว่าเหนื่อยแทน
ปกติผมไม่ตอบปัญหาแนวนี้

แต่ประโยคนึงทำให้ผมอยากตอบ

ผมอยากทำตามแนวทางที่แนะนำกันมากมาย เช่น เก็บก่อนใช้ แบ่งเงิน 50 30 20

นี่คือ คำแนะนำที่งี่เง่า และเหมาะกับคนงี่เง่า ใช้กัน

คำแนะนำ คือ หาเงิน ทำเงิน ไม่ใช่มานั่งเก็บเงิน

ปัญหาของคุณ คือ รายรับไม่พอรายจ่าย
วิธีแก้ คือ เพิ่มรายรับ หรือไม่ก็ลดรายจ่าย


คุณไม่สามารถ ทำงาน 2กะ ไปได้ตลอด อาการตอนนี้ คุณเองก็คงเริ่มไม่ไหวแล้ว

ผมลองคิดดูว่า ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะทำยังไง
ผมจะทำแบบนี้

ผมจะเปลี่ยนจากทำงานกลางคืน มาเป็นขายของกินง่ายๆ ขายง่ายๆแทน เช่น หมูปิ้ง ไก่ย่าง ลูกชิ้นทอด เพราะขายของช่วงค่ำ ถึงดีกๆ สามารถหาเงินได้เกิน 500 บ. มากกว่าทำงานกะกลางคืน. ของที่ขายไม่หมดก็เอามากินได้ ลดรายจ่ายไปได้

ผมจะไปที่กรมจัดหางาน เพราะที่นี้จะมีประกาศฝึกอาชีพ ฝึกทำขนม อาหาร บางทีมีประกาศหาคนงานไป ตปท.  รายได้น่าจะมากกว่าที่คุณทำก็ได้

ให้ลูก 3 คน มาช่วยกันคิด ใครพอทำอะไรได้บ้าง งาน Part time พอทำได้มั้ย จะไปให้รอดยังไง
ความคิดเห็นที่ 2
เป็นโจทย์ที่ ท้าทายมาก

ถ้าเกิดย้าย ไปอยู่ ใกล้ๆ  ที่เรียนน้องๆ

จะทำให้ค่าน้ำมันลดลงไหมครับ ( ให้คุณใช้คนเดียวแทน )

4000+5000+7000 ของเดิมอาจจะลดลงได้

อีกอย่าง สภาพร่างกายคุณจะไม่ไหวเอา เพราะต้องวิ่งรอก 2 งาน

แต่ด้วยค่าใข้จ่ายมันใกล้เงินเดือนมาก ถ้าทิ้งไปที่นึงคุณไม่น่าพอ

ค่าโทร1000 ของใครครับ ถ้าของคุณคนเดียวให้หาโปรใหม่

มอไซต์ใครขับครับ ถ้าคุณขับเพื่อไปทำงานสองที่
ในกรณีย้ายไปอยู่ใกล้ๆโรงเรียนน้องๆให้ขายไปซะ เพื่อเซฟ 2 พันต่อเดือน

แล้งใช้รถซะ คันเดียวไปส่งลูกและไปทำงาน  ( ไปส่งไม่ไหว ให้น้องๆเกินทางไปเอง กรณีใกล้ ๆ )

ส่วนงานเสริม ถ้าไหวให้ทำเสาร์อาทิตย์ หาอะไรขาย ถ้าดีจะได้ลดงานกลางคืนลง ( ดึกๆเดินทางอันตราย )

เรื่องงาน มองหางานใหม่ ถ้าได้เงินเดือนสัก 4 หมื่นอาจตอบโจทย์ ( เหลืองานเดียวได้ในช่วงนั้น )

บางคนอาจจะนึก ทำไมไปตัดให้เหลืองานเดียว ไม่เสี่ยงเหรอ

แลกกับตอนนี้ เจ้าของกระทู้จะเสี่ยง หลับใน ซะก่อน


ไม่อยากตัดค่าเทควันโดทิ้ง อาจเป็นความฝันเดียวของเด็กๆที่มี

เป็นกำลังใจให้ คุณพ่อลูก 3 สู้ๆครับ

วิธีที่ผมนึกออกตอนนี้มีเท่านี้ รอท่านอื่นครับ

ปล. เพิ่มเติม อีกเรื่องที่สำคัญมาก

คุณต้อง สื่อสาร ให้ลูกๆรู้ สถานการณ์ของบ้านครับ

อย่าเก็บเค้าไว้ในโลกที่สวยงามครับ

บอกลูกว่าเกิดอะไรขึ้นกับบ้านคุณ

คุณกำลังทำอะไรอยู่

เข้าใจว่าพ่อเองก็ไม่อยากบอกลูกว่าลำบากขนาดไหน

แต่มันต้องบอกครับ เพื่อให้ลูกๆรับรู้ เพื่ออนาคตมีอะไรเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะการใข้ขีวิต
เค้าจะได้ไม่เกิดคำถาม
และ เพื่อให้เค้าไม่พยายามก่อปัญหาเพิ่มในขีวิต ( นึกออกมะ บางบ้านลูกๆนึกว่าพ่อเลี้ยงดูสบายก็พัฒนาเป็นนิสัยขี้เกียจหรือเป็นคุณชายไป )

ปล.2 ถ้าคุณย้อนกลับมาอ่าน ผมแค่อยากพูดคำนึงว่า

" ชีวิตคุณแม่มโคตรยาก แต่ สู้นะโว้ยยยยยย !!! "
ความคิดเห็นที่ 27
อ่านดูแล้วเข้าใจเลย ภาระหนักแต่อยากให้ลองฟังเรื่องของเราดู ถ้าอ่านตัวเต็ม อ่านในเพจเราแล้วกันนะ

ถ้าเล่าโดยสรุปก็คือมีช่วงนึงเราก็มีความจำเป็นจะต้องหาเงินให้ได้มากๆเพราะกำลังจะเคลียร์หนี้ก้อนสุดท้ายที่บ้าน

ตอนนั้นทำงานตำแหน่งถือว่าใหญ่พอสมควรก็คือผู้จัดการฝ่ายผลิต แต่ ด้วยการปรับเปลี่ยนระบบการทำงานของผู้บริหาร ทำให้ ปกติจะหยุดเสาร์อาทิตย์กลายเป็นวันเสาร์ทำงานหยุดวันอาทิตย์วันเดียว เฉพาะผู้จัดการต้องเข้าไปดูรายผลิต 8:30 น ถึง 5 โมงครึ่งทุกวัน ตอนนั้นก็ถือว่าเราเหนื่อยมากแล้ว แต่ก็ทน จนมือถึง ทางแยกของเรื่องก็คือ ทางบริษัทได้งานจำนวนมากจากโครงการมา ทางเราเสนอให้เพิ่มพนักงานและเครื่องจักรเพื่อให้รองรับกับจำนวนออเดอร์ที่มากขึ้น แต่ทาง ผู้บริหาร ไม่อยากลงทุนเพิ่ม จึงใช้วิธี บังคับ ให้ระดับหัวหน้าต่างๆ ต้องอยู่คุมงาน ของเราในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายผลิตต้องเข้างาน 8:30 น และออกจากออฟฟิศ 5 ทุ่ม

ซึ่ง เราก็ปฏิบัติตาม ทำไปได้ประมาณ 4 เดือน เราต้องเข้าโรงพยาบาล ไม่สามารถเดินได้ ยืนๆอยู่ก็ล้ม แขนขาไม่มีแรง สุดท้ายสาเหตุก็คือทำงานหนักพักผ่อนน้อยความเครียดสะสม จนทำให้เกิดโรคชนิดหนึ่งขึ้น ซึ่งทำให้การทำงานของร่างกาย เปลี่ยนไป

หลังจากออกจากโรงพยาบาล 4 ครั้ง เราไม่สามารถเดินได้แบบคนปกติอยู่ร้อยกว่าวัน ตอนนั้นบอกเลยว่า ไม่อยากอยู่ ไม่อยากเป็นภาระคนอื่น และก็พยายามทบทวนว่าเรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง ก็มาจากความต้องการหาเงินให้มากเพียงพอและยอมแลกเวลากับทุกอย่างรวมถึงสุขภาพตัวเองด้วย

จากนั้นเราจึงตัดสินใจลาออกแม้ทางบริษัทจะเชิญให้กลับไปทำงาน 3 ครั้งเราก็ปฏิเสธ ใช้เวลารักษาตัว ประมาณ 4 ปี จึงเริ่มกลับมาใช้ชีวิตแบบคนปกติได้

ที่อยากฝากไว้ก็คือ ขอให้คิดในมุมของเราด้วย เพราะ ร่างกายเราไม่มีสัญญาณเตือนที่ชัดเจน มันไม่มีเสียงเตือน มันไม่มีไฟเตือนว่าคุณกำลังเหนื่อยเกินไปคุณต้องการการพักผ่อน หรือตอนนี้คุณกำลังเครียดมากเกินไป

ขอให้คิดถึงมุมนี้ว่าถ้าคุณ เกิดโรคแบบเดียวกับเราแล้วไม่สามารถทำงานได้ไม่สามารถดูแลครอบครัวได้ไม่สามารถแม้กระทั่ง เดินไปเซเว่นเพื่อซื้อของกินในชีวิตประจำวันได้

ชีวิตที่เหลือจะทำยังไง และทำยังไงถึงจะไม่เป็น อย่างเรา ตรงนี้คงต้องพิจารณาเองค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่