ความเหมือนประการต่อมา ก็คือ การใช้มวลชนเป็นหลังพิงฝา
จะเห็นได้ทั้ง “ธนาธร” และแกนนำพรรคมักอ้าง “6 ล้านเสียง”ที่เลือกพรรคอนาคตใหม่เป็นเดิมพัน ขณะที่การแสดงพลังของมวลชนในการเดินทางไปให้กำลังใจ “ธนาธร” ที่ สน.ปทุมวัน เมื่อวันที่ 6 เมษายนที่ผ่านมา อย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เกิด # Save Thanatorn ขึ้นเทรนด์ทวิตเตอร์ เพียงแค่ “ธนาธร” ถูกพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกมาให้ปากคำ 3 ข้อหา คือ มาตรา116 ฐานยุยงปลุกปั่น, มาตรา 119 พาผู้ต้องหลบหนี และมาตรา 251 มั่วสุมชุมนุมกันเกิน 10 คนเพื่อประทุษร้าย “ผมเชื่อมั่นว่ามีประชาชนหลายล้านคนที่รักความเป็นธรรม ยืนเคียงข้างผมและพร้อมจะแสดงออกว่าพวกเขาไม่ยอมทนกับอำนาจมืดที่จ้องทำลาย” ความตอนหนึ่งจากข้อความที่ “ธนาธร”โพสต์ในแฟนเพจของตนเองต่อกรณีได้รับหมายเรียกจกพนักงานสอบสวน ในขณะที่การเคลื่อนไหวของพรรคอนาคตใหม่ ในหลายจังหวะก้าวทางการเมืองที่ผ่านมา ก็สอดรับกับการเคลื่อนของมวลชนกลุ่มคนอยากเลือกตั้งอย่างพอเหมาะพอเจาะ
เฉกเช่นเดียวกัน คราว “ทักษิณ”ติดหล่มคดีซุกหุ้น ก็มีข่าวว่าจะมีการชุมนุมเพื่อกดดันและเผาศาลรัฐธรรมนูญออกมา และมีการอ้างประชาชนที่สนับสนุนพรรคไทยรักไทย 11 ล้านเสียง ซึ่งถือเป็นการใช้มวลชนเป็น “เกราะ”ช่วยให้รอดพ้นคดีในครั้งนั้น และหลายครั้งที่ “ทักษิณ”เลือกที่จะส่งสารถึงกลุ่มคนเสื้อแดง ในการต่อต้านกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในวิกฤตการณ์ทางการเมือง
กระทั่งรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มีรัฐบาล คมช. รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ เองก็เคยเผชิญกับแรงเสียดทานจากกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ต่อมาคือแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติมาแล้ว
และเมื่อคราว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรอดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นน้องสาวต้องเดินทางไปขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งางการเมือง ในคดีปล่อยปละละเลยให้เกิดความเสียหาย ในโครงการรับจำนำข้าว ก็ได้เห็นพลังของมวลชนที่ออกมากดดัน ก่อนที่ “ยิ่งลักษณ์” จะเลือกเดินตามรอยพี่ชาย คือหลบหนีออกนอกประเทศไปก่อนมีคำพิพากษาจำคุก
ประการที่สาม ดิสเครดิตกระบวนการยุติธรรม ตรงนี้ค่อนข้างชัดเจน
https://siamrath.co.th/n/75375

สังคมชาวเน็ตตาสว่าง เห็นแผน ธนาธร และแกนนำกลุ่มมักอ้างล้านเสียง” กลยุทธ์ของขบวนการรุกฆาตอธิปไตยไซเบอร์ประเทศไทย
จะเห็นได้ทั้ง “ธนาธร” และแกนนำพรรคมักอ้าง “6 ล้านเสียง”ที่เลือกพรรคอนาคตใหม่เป็นเดิมพัน ขณะที่การแสดงพลังของมวลชนในการเดินทางไปให้กำลังใจ “ธนาธร” ที่ สน.ปทุมวัน เมื่อวันที่ 6 เมษายนที่ผ่านมา อย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เกิด # Save Thanatorn ขึ้นเทรนด์ทวิตเตอร์ เพียงแค่ “ธนาธร” ถูกพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกมาให้ปากคำ 3 ข้อหา คือ มาตรา116 ฐานยุยงปลุกปั่น, มาตรา 119 พาผู้ต้องหลบหนี และมาตรา 251 มั่วสุมชุมนุมกันเกิน 10 คนเพื่อประทุษร้าย “ผมเชื่อมั่นว่ามีประชาชนหลายล้านคนที่รักความเป็นธรรม ยืนเคียงข้างผมและพร้อมจะแสดงออกว่าพวกเขาไม่ยอมทนกับอำนาจมืดที่จ้องทำลาย” ความตอนหนึ่งจากข้อความที่ “ธนาธร”โพสต์ในแฟนเพจของตนเองต่อกรณีได้รับหมายเรียกจกพนักงานสอบสวน ในขณะที่การเคลื่อนไหวของพรรคอนาคตใหม่ ในหลายจังหวะก้าวทางการเมืองที่ผ่านมา ก็สอดรับกับการเคลื่อนของมวลชนกลุ่มคนอยากเลือกตั้งอย่างพอเหมาะพอเจาะ
เฉกเช่นเดียวกัน คราว “ทักษิณ”ติดหล่มคดีซุกหุ้น ก็มีข่าวว่าจะมีการชุมนุมเพื่อกดดันและเผาศาลรัฐธรรมนูญออกมา และมีการอ้างประชาชนที่สนับสนุนพรรคไทยรักไทย 11 ล้านเสียง ซึ่งถือเป็นการใช้มวลชนเป็น “เกราะ”ช่วยให้รอดพ้นคดีในครั้งนั้น และหลายครั้งที่ “ทักษิณ”เลือกที่จะส่งสารถึงกลุ่มคนเสื้อแดง ในการต่อต้านกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในวิกฤตการณ์ทางการเมือง
กระทั่งรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มีรัฐบาล คมช. รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ เองก็เคยเผชิญกับแรงเสียดทานจากกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ต่อมาคือแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติมาแล้ว
และเมื่อคราว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรอดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นน้องสาวต้องเดินทางไปขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งางการเมือง ในคดีปล่อยปละละเลยให้เกิดความเสียหาย ในโครงการรับจำนำข้าว ก็ได้เห็นพลังของมวลชนที่ออกมากดดัน ก่อนที่ “ยิ่งลักษณ์” จะเลือกเดินตามรอยพี่ชาย คือหลบหนีออกนอกประเทศไปก่อนมีคำพิพากษาจำคุก
ประการที่สาม ดิสเครดิตกระบวนการยุติธรรม ตรงนี้ค่อนข้างชัดเจน
https://siamrath.co.th/n/75375