ศิโรตม์ เรียกร้องปิยบุตร พูดต่อไป งานใหญ่รออยู่ ร่างรธน.ฉบับใหม่ ไม่มีเสียงคุณไม่ได้
https://www.matichon.co.th/politics/news_4194730
ศิโรตม์ เรียกร้องปิยบุตร พูดต่อไป งานใหญ่รออยู่ ร่างรธน.ฉบับใหม่ ไม่มีเสียงคุณไม่ได้
จากกรณีที่
ปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ประกาศขอยุติคอมเมนต์การเมือง หลังผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลไม่พอใจ หลังออกมาโพสต์วิจารณ์ถึงพรรคก้าวไกล ไม่มีท่าทีต่อกรณีที่
ช่อ พรรณิการ์ วานิช อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคอนาคตใหม่ ถูกถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้งตลอดไป และไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น
ล่าสุด ( 23 ก.ย.)
ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ มองกรณีดังกล่าว ผ่าน รายการ The Politics X อ.
ศิโรตม์ ทางมติชนทีวี โดยระบุว่า เรื่องนี้ ก็อาจจะเป็นผลลบต่อก้าวไกล เพราะจะมีการปั่นว่า แฟนคลับก้าวไกลคลั่งจนกระทั่งปิยบุตรยังงอน แต่ในฐานะที่ตนรู้จักส่วนตัวกับนายปิยบุตร ตั้งแต่เขายังเรียนป.โทตนคิดว่า ยังไงๆ นาย
ปิยบุตรก็ไม่เลิกพูดการเมือง ไม่มีทางเลย ถ้านาย
ปิยบุตรเลิกพูดการเมืองได้ ถ้า นาย
ปิยบุตรเจอตน มาเตะได้เลย แม้จะกระทั่งเรื่องก้าวไกลด้วย เพราะเขารักก้าวไกลกับอนาคตใหม่มาก การที่นาย
ปิยบุตรบอกจะเลิกพูดเหมือนกับแฟนงอนกัน อย่างรอบที่แล้ว กับ นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ทั้งพรรคเครียดกันหมด แต่วันรุ่งขึ้นกอดคอกันร้องเพลง กับ นาย
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เรื่องจบ
ต้องยอมรับว่า นาย
ปิยบุตรเป็นคนชอบแสดงความคิดเห็น ซึ่งเป็นความเห็นที่มีคอนเซ็ปต์ที่เขาอ่านและเรียนมาด้วย เพราะฉะนั้นนี่คือดีเอ็นเอของปิยบุตร ยังไงๆก็ไม่หยุดพูดหรอก ถามว่า ถ้าจะมีอะไรน้อยใจไหม ส่วนตัวคิดว่ามี แต่ก็อยากให้นาย
ปิยบุตรคิดในแง่นี้ว่า เราเป็นบุคคลสาธารณะ เมื่อเราวิจารณ์อะไรออกไป คนวิจารณ์เราได้หมด ยิ่งในคำวิจารณ์อาจจะมีบางอย่างที่เราไม่ชอบ เช่น ทำไมเรื่องนี้ไม่พูดกันเป็นการภายใน ซึ่งสำหรับนาย
ปิยบุตรอาจจะคิดว่า ทำไมจะต้องพูดภายในก็อยากสื่อสารภายนอกมันเป็นปัญหาตรงไหน
ซึ่งเรื่องแบบนี้ในสังคมไทย ยังไม่วัฒนธรรมของการวิจารณ์ เขาก็จะคิดว่ามีอะไรให้พูดกันภายใน บ้านเราเป็นแบบนี้แทบจะทุกองค์กร ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า พอนาย
ปิยบุตรมาพูดถึงก้าวไกลในที่สาธารณะ ก็อาจมีคนคิดว่า ปุ่มความเป็นไทยที่สอนเราแบบนี้ว่า ต้องพูดกันภายใน ซึ่งส่วนตัวไม่ทราบว่า คนที่พูดแบบนี้ เป็นคนรักก้าวไกล หรือรัก
ปิยบุตรจริงๆหรือว่า มีสายเสี้ยมเข้ามาปั่น หรือผสมโรงด้วย
“
แต่ส่วนตัวคิดว่า เรื่องนี้ปิยบุตรต้องพูดต่อ เราไม่ต้องสนใจ ใครจะทักว่า ไม่เกี่ยวกับพรรคก้าวไกลแล้วพูดทำไม ก็ไม่ต้องไปสนใจ ปิยบุตรต้องวางหลักให้สังคมว่า ทุกคนสามารถพูดถึงพรรคการเมือง ในฐานะองค์กรสาธารณะได้ จะพูดในพรรค หรือนอกพรรคก็พูดได้ ยิ่งคนที่เคยทำงานในองค์กรนั้นๆ อาจจะจำเป็นมากกว่าด้วยซ้ำ เพื่อสื่อสารว่า ข้างในมีประเด็นอะไรที่ต้องคุยกัน”
ศิโรตม์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ต้องยอมรับก้าวไกลในยุค
พิธา พรรคแมสขึ้น การที่ส.ส.จากได้เกือบ 80 เป็น 151 คน ซึ่งเป็ยการเติบโตเกือบ 1 เท่าตัว จากคนเลือก 8 ล้านคน เป็น 14 ล้านคน มันก็แปลว่า มีอย่างน้อย 6 ล้านคน อาจจะไม่ทันสมัยที่นาย
ปิยบุตรยังมีบทบาท ในเวลาที่นาย
ปิยบุตร เป็นดาวฤกษ์ในสภา มันสั้นมาก และหลังจากนั้นก็ถูกทำลาย จากนั้นมาหลายปีก็อาจทำให้คนลืมว่า เขามีความสำคัญกับพรรคขนาดไหน ซึ่งเรื่องนี้คนในพรรครู้ แล้วความสำเร็จของก้าวไกลคราวนี้ส่วนหนึ่งก็มาจากนาย
ปิยบุตรช่วยวางยุทธศาสตร์หาเสียง
สิ่งที่นาย
ปิยบุตร มีแต่พรรคอื่นไม่มีคือสมองที่จะคิดยุทธศาสตร์หาเสียงโดยอิงทฤษฎีบางอย่างได้ แต่สำหรับกองเชียร์ใหม่ อาจจะห่างจากนาย
ปิยบุตร เขารักพรรค แต่อาจมาในช่วงที่นาย
ปิยบุตรไม่ได้ทำงานในพรรคแล้ว ก็อาจจะมีความไม่เข้าใจกัน ส่วนตัวจึงอยากให้นาย
ปิยบุตรมองคนเหล่านี้ว่า เขารักพรรค
ปิยบุตรก็รักพรรค แต่เฟสของการเข้ามามันไม่ตรงกัน แต่ในเมื่ออาจารย์
ปิยบุตรแสดงความเห็นก็ต้องทน และเข้าใจเอฟซี
“
ปิยบุตรคิดง่ายๆว่า คนพวกนี้เขาไม่รู้จักพรรค ตอนที่คุณทำอยู่ ดังนั้นต้องใจเย็นๆ เขามาสนใจพรรคตอนที่ปิยบุตรไม่ได้ทำพรรคแล้ว เรื่องนี้ง่ายๆต้องเข้าใจ ก้าวไกลโตก้าวกระโดดมาก จากยุคที่ปิยบุตรทำ มาถึงยุคพิธา ฉะนั้นพรรคเป็นบ้านหลังใหญ่ขึ้น คนที่มาอยู่ในบ้าน เขาไม่ทันก็อาจมีความรู้สึกว่า มาว่าทำไม”
เมื่อถามว่า ล่าสุดนาย
ปิยบุตรโพสต์ว่า อาจหมดเวลาของเขาแล้ว
ศิโรตม์ กล่าวว่า คนอย่างนาย
ปิยบุตรไม่มีหมดเวลาหรอก มีแต่พักครึ่ง เดี๋ยวมาใหม่ ตนคิดว่า นาย
ปิยบุตรยังทิ้งก้าวไกลไปไม่ได้ เพราะเบื้องต้นยังมีภารกิจสำคัญในการผลักดันให้เกิดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แล้วในประเทศไทย ชื่อของนาย
ปิยบุตรเป็นคนหนึ่งที่มีเสียงในการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เรื่องนี้นาย
ปิยบุตรน้อยใจไม่ได้ จะปล่อยให้มีการร่างรัฐธรรมนูญโดยไม่มีเสียงของ
ปิยบุตรเลยหรือ อาจารย์คิดว่าตัวเองสำคัญน้อยขนาดนั้นเลยหรือ คนอย่างปิยบุตร เมื่อร่วมกับก้าวไกล มันคือทรัพยากรสำคัญ ในการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประเทศนี้ คนที่อย่างนายปิยบุตรมีองค์ความรู้ในเรื่องรัฐธรรมนูญมากคนหนึ่ง ถ้าไม่มีคนอย่างนี้เข้ามาช่วยทำ ประเทศเราเสียหาย
ศิโรตม์ ยังเผยเรื่องที่อยากวิจารณ์นาย
ปิยบุตรไว้ด้วยว่า “
ถ้ามีอะไรวิจารณ์ปิยบุตร ผมขอพูดเรื่องนี้ตรงๆเลย ผมไม่เคยพูดที่ไหนเลย อดทนมานานแล้ว ขอพูดหน่อย ผมรับปิยบุตรไม่ได้อย่างมาก เรื่องที่ปิยบุตรพูดถึงร้านบะหมี่ร้านหนึ่งว่า อร่อย แต่สำหรับผมบอกตรงๆเลยว่า ร้านนั้นไม่อร่อย”
“
ผมไม่อยากวิจารณ์ปิยบุตรต่อหน้า เรื่องนี้คือเรื่องที่ผมไม่พอใจอย่างมาก เพราะเขาชมเยอะ แต่ผมไม่อร่อย ผมคาใจมานานละ”
ศิโรตม์ยิ้มทิ้งท้าย
‘พิธา’ หม่ำข้าวร่วมปิยบุตรสยบดราม่า พร้อมถกเลือกหน.ก้าวไกล
https://www.dailynews.co.th/news/2744256/
'พิธา' ถกเลือกหัวหน้าก้าวไกลคนใหม่ ปัดตอบเตรียมการรับคำตัดสินของศาล ระบุทุกคนพร้อมทำหน้าที่ถาวร เดินหน้าแม้ไร้ตำแหน่ง เผย เพิ่งกินข้าว 'ปิยบุตร' หลังเจอดราม่า ก้าวไกลเฉยปม 'ช่อ' ถูกตัดสิทธิทางการเมือง เสียดาย 'อมรัตน์' ปฏิเสธเป็นกรรมการพรรค แต่ยืนยันทำงานร่วมกันเป็นทีมเหมือนเดิม
เมื่อเวลา 09.20 น. วันที่ 23 ก.ย. ที่ อาคารไทยซัมมิท นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล เพื่อคัดเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ ว่า โดยรวมเป็นการปรับโครงสร้างการทำงานของพรรคก้าวไกลทั้งเรื่องของบุคลากร ข้อบังคับให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อเดินหน้าต่อไปในอนาคต ซึ่งคนที่จะมาทำหน้าที่หัวหน้าพรรคคนใหม่นั้น ตนไม่ได้คาดหวังอะไร คิดว่าคนที่กำลังเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกลต่อไปนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องของบุคคล แต่เป็นเรื่องการเดินทางของพรรคโดยรวม ซึ่งคนที่เดินมาก็มีความพร้อมทุกคน
เมื่อถามว่า การเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่เพื่อเตรียมการรองรับคำตัดสินของศาลหรือไม่ นาย
พิธา กล่าวว่า อันนี้เร็วเกินไปที่จะพูด ตอนนี้ยังไม่มีความแน่นอน ใครที่จะขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรค หรือเลขาฯ พรรค ก็มีความท้าทายทุกวัน ทุกอาทิตย์ ทุกเดือน เพราะฉะนั้นก็ต้องพร้อมที่จะเป็นทั้งหัวหน้าตัวจริงและเลขาฯ ตัวจริง
เมื่อถามว่าส่วนตัวนาย
พิธา จะมีการรับตำแหน่งพิเศษภายในพรรคหรือไม่ นาย
พิธา กล่าวว่า ขอให้รอดูหลังการประชุมจะได้ความชัดเจน 100% อย่างไรก็ตาม ตนพร้อมที่จะทำงานเพื่อพรรคก้าวไกลทุกบทบาท ถึงไม่มีตำแหน่งก็ทำงานเหมือนเดิม
เมื่อถามว่ากรณีนาย
ปิยบุตร แสงกนกุล เลขาคณะก้าวหน้า ออกมาแสดงความคิดเห็น ถึงพรรคก้าวไกลไม่แสดงความเห็นต่อกรณี นางสาว
พรรณิการ์ วานิช ถูกศาลพิพากษาตัดสิทธิทางการเมือง จะทำให้เสียมวลชนหรือไม่ นาย
พิธา กล่าวว่า ไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการจะต้องเสียมวลชนไปหรือไม่ สิ่งสำคัญคือ แต่เป็นเรื่องที่ต้องคำนึงถึงความรู้สึกของคนในพรรคและนาย
ปิยบุตร ส่วนตนคิดถึงอาจารย์อยู่ตลอด ตั้งแต่ครั้งที่เริ่มตั้งพรรคอนาคตใหม่มาด้วยกัน จนกระทั่งมาเป็นผู้ช่วยหาเสียงของพรรค และช่วยพรรคถูกต้องตามกฎหมาย และเชื่อว่าพวกเราทุกคนก็คิดถึงอาจารย์
ปิยบุตร รวมถึงกรรมการบริหารพรรคที่ถูกตัดสิทธิในช่วงที่ยังเป็นพรรคอนาคตใหม่
เมื่อถามย้ำว่า จะมีการพูดคุยปรับความเข้าใจกันหรือไม่ นาย
พิธา กล่าวว่า ตนก็ยังเจออาจารย์
ปิยบุตรอยู่เรื่อยๆ และเพิ่งจะไปรับประทานอาหารด้วยกัน มีการพูดคุยกันตลอดในกรอบที่กฎหมายอนุญาต และเป็นเพื่อนกัน
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้มีทัวร์ลงที่นาย
ปิยบุตร เราจะมีการบอกกล่าวกับแฟนคลับอย่างไรหรือไม่ นาย
พิธา กล่าวว่า ตนคิดว่า ความสามัคคีคือสิ่งสำคัญของทุกฝ่าย โดยเฉพาะการเมืองบริบทแบบนี้ ขอให้ทุกคนมีความสามัคคี อดทน อดกลั้นในการที่จะแสดงความคิดเห็นทางการเมืองเพื่อให้เราฝ่ายค้านเข้มแข็ง
เมื่อถามว่า มีความกังวลเรื่องกระแสของพรรคก้าวไกลหรือไม่ ที่หัวหน้าพรรคเปลี่ยนมือจากนาย
พิธาไปเป็นคนอื่น นาย
พิธา กล่าวว่า ไม่ได้กังวลอะไรเลย ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม แต่มันมีความจำเป็นที่จะต้องคิดถึงส่วนรวม และเปิดทางให้มีผู้นำฝ่ายค้าน ทั้งเชิงมหภาค จุลภาค ฉะนั้นไม่ได้มีความแตกต่างอะไรกันในการทำงานของแกนนำทั่วไป
เมื่อถามว่าเสียดายหรือไม่ที่นาง
อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีต สส.พรรคก้าวไกล และที่ปรึกษารองประธานสภาคนที่ 1 ปฏิเสธที่จะเข้ามาเป็นกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล นาย
พิธา กล่าวว่า แน่นอน แต่เชื่อว่านาง
อมรัตน์ก็เป็นส่วนหนึ่งของพรรคอยู่แล้ว อย่างที่บอก พรรคก้าวไกลไม่ได้เลือกที่ตัวบุคคล และไม่ได้ยึดในตำแหน่ง ฉะนั้นก็ยังทำงานกันเป็นทีมอยู่ดี
จากนั้น นาย
พิธา ได้เข้าห้องประชุมพร้อมกล่าวบนเวทีถึงสาเหตุการประชุมใหญ่วิสามัญของพรรคก้าวไกลว่า เหตุผลการที่ต้องมาประชุมกันในวันนี้ เริ่มต้นจากการที่นาย
ปดิพัทธ์ สันติภาดา ได้ลาออกจากกรรมการบริหารพรรค เพื่อจะไปเป็นรองประธานสภาคนที่ 1 ต่อมาเมื่อมีความแน่ชัดแล้วว่า พรรคก้าวไกลจะต้องเป็นฝ่ายค้านและต้องเป็นฝ่ายค้านเชิงรุก ตนจึงจำเป็นตัดสินใจลาออก เพื่อเปิดทางให้พรรค ได้หาผู้นำฝ่ายค้านตามรัฐธรรมนูญที่จะต้องเป็น สส. ในระหว่างที่จะต้องรอเรื่องเกี่ยวกับคดีความของตน.
JJNY : ศิโรตม์เรียกร้องปิยบุตร พูดต่อไป│‘พิธา’หม่ำข้าวร่วมปิยบุตร│‘จีน’หยุดส่งออกแร่หายาก│ยูเครนโวยิงฐานทัพรัสเซียทะเลดำ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4194730
ศิโรตม์ เรียกร้องปิยบุตร พูดต่อไป งานใหญ่รออยู่ ร่างรธน.ฉบับใหม่ ไม่มีเสียงคุณไม่ได้
จากกรณีที่ ปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ประกาศขอยุติคอมเมนต์การเมือง หลังผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลไม่พอใจ หลังออกมาโพสต์วิจารณ์ถึงพรรคก้าวไกล ไม่มีท่าทีต่อกรณีที่ ช่อ พรรณิการ์ วานิช อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคอนาคตใหม่ ถูกถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้งตลอดไป และไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น
ล่าสุด ( 23 ก.ย.) ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ มองกรณีดังกล่าว ผ่าน รายการ The Politics X อ. ศิโรตม์ ทางมติชนทีวี โดยระบุว่า เรื่องนี้ ก็อาจจะเป็นผลลบต่อก้าวไกล เพราะจะมีการปั่นว่า แฟนคลับก้าวไกลคลั่งจนกระทั่งปิยบุตรยังงอน แต่ในฐานะที่ตนรู้จักส่วนตัวกับนายปิยบุตร ตั้งแต่เขายังเรียนป.โทตนคิดว่า ยังไงๆ นายปิยบุตรก็ไม่เลิกพูดการเมือง ไม่มีทางเลย ถ้านายปิยบุตรเลิกพูดการเมืองได้ ถ้า นายปิยบุตรเจอตน มาเตะได้เลย แม้จะกระทั่งเรื่องก้าวไกลด้วย เพราะเขารักก้าวไกลกับอนาคตใหม่มาก การที่นายปิยบุตรบอกจะเลิกพูดเหมือนกับแฟนงอนกัน อย่างรอบที่แล้ว กับ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ทั้งพรรคเครียดกันหมด แต่วันรุ่งขึ้นกอดคอกันร้องเพลง กับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เรื่องจบ
ต้องยอมรับว่า นายปิยบุตรเป็นคนชอบแสดงความคิดเห็น ซึ่งเป็นความเห็นที่มีคอนเซ็ปต์ที่เขาอ่านและเรียนมาด้วย เพราะฉะนั้นนี่คือดีเอ็นเอของปิยบุตร ยังไงๆก็ไม่หยุดพูดหรอก ถามว่า ถ้าจะมีอะไรน้อยใจไหม ส่วนตัวคิดว่ามี แต่ก็อยากให้นายปิยบุตรคิดในแง่นี้ว่า เราเป็นบุคคลสาธารณะ เมื่อเราวิจารณ์อะไรออกไป คนวิจารณ์เราได้หมด ยิ่งในคำวิจารณ์อาจจะมีบางอย่างที่เราไม่ชอบ เช่น ทำไมเรื่องนี้ไม่พูดกันเป็นการภายใน ซึ่งสำหรับนายปิยบุตรอาจจะคิดว่า ทำไมจะต้องพูดภายในก็อยากสื่อสารภายนอกมันเป็นปัญหาตรงไหน
ซึ่งเรื่องแบบนี้ในสังคมไทย ยังไม่วัฒนธรรมของการวิจารณ์ เขาก็จะคิดว่ามีอะไรให้พูดกันภายใน บ้านเราเป็นแบบนี้แทบจะทุกองค์กร ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า พอนายปิยบุตรมาพูดถึงก้าวไกลในที่สาธารณะ ก็อาจมีคนคิดว่า ปุ่มความเป็นไทยที่สอนเราแบบนี้ว่า ต้องพูดกันภายใน ซึ่งส่วนตัวไม่ทราบว่า คนที่พูดแบบนี้ เป็นคนรักก้าวไกล หรือรักปิยบุตรจริงๆหรือว่า มีสายเสี้ยมเข้ามาปั่น หรือผสมโรงด้วย
“แต่ส่วนตัวคิดว่า เรื่องนี้ปิยบุตรต้องพูดต่อ เราไม่ต้องสนใจ ใครจะทักว่า ไม่เกี่ยวกับพรรคก้าวไกลแล้วพูดทำไม ก็ไม่ต้องไปสนใจ ปิยบุตรต้องวางหลักให้สังคมว่า ทุกคนสามารถพูดถึงพรรคการเมือง ในฐานะองค์กรสาธารณะได้ จะพูดในพรรค หรือนอกพรรคก็พูดได้ ยิ่งคนที่เคยทำงานในองค์กรนั้นๆ อาจจะจำเป็นมากกว่าด้วยซ้ำ เพื่อสื่อสารว่า ข้างในมีประเด็นอะไรที่ต้องคุยกัน”
ศิโรตม์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ต้องยอมรับก้าวไกลในยุคพิธา พรรคแมสขึ้น การที่ส.ส.จากได้เกือบ 80 เป็น 151 คน ซึ่งเป็ยการเติบโตเกือบ 1 เท่าตัว จากคนเลือก 8 ล้านคน เป็น 14 ล้านคน มันก็แปลว่า มีอย่างน้อย 6 ล้านคน อาจจะไม่ทันสมัยที่นายปิยบุตรยังมีบทบาท ในเวลาที่นายปิยบุตร เป็นดาวฤกษ์ในสภา มันสั้นมาก และหลังจากนั้นก็ถูกทำลาย จากนั้นมาหลายปีก็อาจทำให้คนลืมว่า เขามีความสำคัญกับพรรคขนาดไหน ซึ่งเรื่องนี้คนในพรรครู้ แล้วความสำเร็จของก้าวไกลคราวนี้ส่วนหนึ่งก็มาจากนายปิยบุตรช่วยวางยุทธศาสตร์หาเสียง
สิ่งที่นายปิยบุตร มีแต่พรรคอื่นไม่มีคือสมองที่จะคิดยุทธศาสตร์หาเสียงโดยอิงทฤษฎีบางอย่างได้ แต่สำหรับกองเชียร์ใหม่ อาจจะห่างจากนายปิยบุตร เขารักพรรค แต่อาจมาในช่วงที่นายปิยบุตรไม่ได้ทำงานในพรรคแล้ว ก็อาจจะมีความไม่เข้าใจกัน ส่วนตัวจึงอยากให้นายปิยบุตรมองคนเหล่านี้ว่า เขารักพรรค ปิยบุตรก็รักพรรค แต่เฟสของการเข้ามามันไม่ตรงกัน แต่ในเมื่ออาจารย์ปิยบุตรแสดงความเห็นก็ต้องทน และเข้าใจเอฟซี
“ปิยบุตรคิดง่ายๆว่า คนพวกนี้เขาไม่รู้จักพรรค ตอนที่คุณทำอยู่ ดังนั้นต้องใจเย็นๆ เขามาสนใจพรรคตอนที่ปิยบุตรไม่ได้ทำพรรคแล้ว เรื่องนี้ง่ายๆต้องเข้าใจ ก้าวไกลโตก้าวกระโดดมาก จากยุคที่ปิยบุตรทำ มาถึงยุคพิธา ฉะนั้นพรรคเป็นบ้านหลังใหญ่ขึ้น คนที่มาอยู่ในบ้าน เขาไม่ทันก็อาจมีความรู้สึกว่า มาว่าทำไม”
เมื่อถามว่า ล่าสุดนายปิยบุตรโพสต์ว่า อาจหมดเวลาของเขาแล้ว ศิโรตม์ กล่าวว่า คนอย่างนายปิยบุตรไม่มีหมดเวลาหรอก มีแต่พักครึ่ง เดี๋ยวมาใหม่ ตนคิดว่า นายปิยบุตรยังทิ้งก้าวไกลไปไม่ได้ เพราะเบื้องต้นยังมีภารกิจสำคัญในการผลักดันให้เกิดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แล้วในประเทศไทย ชื่อของนายปิยบุตรเป็นคนหนึ่งที่มีเสียงในการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เรื่องนี้นายปิยบุตรน้อยใจไม่ได้ จะปล่อยให้มีการร่างรัฐธรรมนูญโดยไม่มีเสียงของปิยบุตรเลยหรือ อาจารย์คิดว่าตัวเองสำคัญน้อยขนาดนั้นเลยหรือ คนอย่างปิยบุตร เมื่อร่วมกับก้าวไกล มันคือทรัพยากรสำคัญ ในการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประเทศนี้ คนที่อย่างนายปิยบุตรมีองค์ความรู้ในเรื่องรัฐธรรมนูญมากคนหนึ่ง ถ้าไม่มีคนอย่างนี้เข้ามาช่วยทำ ประเทศเราเสียหาย
ศิโรตม์ ยังเผยเรื่องที่อยากวิจารณ์นายปิยบุตรไว้ด้วยว่า “ถ้ามีอะไรวิจารณ์ปิยบุตร ผมขอพูดเรื่องนี้ตรงๆเลย ผมไม่เคยพูดที่ไหนเลย อดทนมานานแล้ว ขอพูดหน่อย ผมรับปิยบุตรไม่ได้อย่างมาก เรื่องที่ปิยบุตรพูดถึงร้านบะหมี่ร้านหนึ่งว่า อร่อย แต่สำหรับผมบอกตรงๆเลยว่า ร้านนั้นไม่อร่อย”
“ผมไม่อยากวิจารณ์ปิยบุตรต่อหน้า เรื่องนี้คือเรื่องที่ผมไม่พอใจอย่างมาก เพราะเขาชมเยอะ แต่ผมไม่อร่อย ผมคาใจมานานละ” ศิโรตม์ยิ้มทิ้งท้าย
‘พิธา’ หม่ำข้าวร่วมปิยบุตรสยบดราม่า พร้อมถกเลือกหน.ก้าวไกล
https://www.dailynews.co.th/news/2744256/
'พิธา' ถกเลือกหัวหน้าก้าวไกลคนใหม่ ปัดตอบเตรียมการรับคำตัดสินของศาล ระบุทุกคนพร้อมทำหน้าที่ถาวร เดินหน้าแม้ไร้ตำแหน่ง เผย เพิ่งกินข้าว 'ปิยบุตร' หลังเจอดราม่า ก้าวไกลเฉยปม 'ช่อ' ถูกตัดสิทธิทางการเมือง เสียดาย 'อมรัตน์' ปฏิเสธเป็นกรรมการพรรค แต่ยืนยันทำงานร่วมกันเป็นทีมเหมือนเดิม
เมื่อเวลา 09.20 น. วันที่ 23 ก.ย. ที่ อาคารไทยซัมมิท นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล เพื่อคัดเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ ว่า โดยรวมเป็นการปรับโครงสร้างการทำงานของพรรคก้าวไกลทั้งเรื่องของบุคลากร ข้อบังคับให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อเดินหน้าต่อไปในอนาคต ซึ่งคนที่จะมาทำหน้าที่หัวหน้าพรรคคนใหม่นั้น ตนไม่ได้คาดหวังอะไร คิดว่าคนที่กำลังเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกลต่อไปนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องของบุคคล แต่เป็นเรื่องการเดินทางของพรรคโดยรวม ซึ่งคนที่เดินมาก็มีความพร้อมทุกคน
เมื่อถามว่า การเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่เพื่อเตรียมการรองรับคำตัดสินของศาลหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า อันนี้เร็วเกินไปที่จะพูด ตอนนี้ยังไม่มีความแน่นอน ใครที่จะขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรค หรือเลขาฯ พรรค ก็มีความท้าทายทุกวัน ทุกอาทิตย์ ทุกเดือน เพราะฉะนั้นก็ต้องพร้อมที่จะเป็นทั้งหัวหน้าตัวจริงและเลขาฯ ตัวจริง
เมื่อถามว่าส่วนตัวนายพิธา จะมีการรับตำแหน่งพิเศษภายในพรรคหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ขอให้รอดูหลังการประชุมจะได้ความชัดเจน 100% อย่างไรก็ตาม ตนพร้อมที่จะทำงานเพื่อพรรคก้าวไกลทุกบทบาท ถึงไม่มีตำแหน่งก็ทำงานเหมือนเดิม
เมื่อถามว่ากรณีนายปิยบุตร แสงกนกุล เลขาคณะก้าวหน้า ออกมาแสดงความคิดเห็น ถึงพรรคก้าวไกลไม่แสดงความเห็นต่อกรณี นางสาวพรรณิการ์ วานิช ถูกศาลพิพากษาตัดสิทธิทางการเมือง จะทำให้เสียมวลชนหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการจะต้องเสียมวลชนไปหรือไม่ สิ่งสำคัญคือ แต่เป็นเรื่องที่ต้องคำนึงถึงความรู้สึกของคนในพรรคและนายปิยบุตร ส่วนตนคิดถึงอาจารย์อยู่ตลอด ตั้งแต่ครั้งที่เริ่มตั้งพรรคอนาคตใหม่มาด้วยกัน จนกระทั่งมาเป็นผู้ช่วยหาเสียงของพรรค และช่วยพรรคถูกต้องตามกฎหมาย และเชื่อว่าพวกเราทุกคนก็คิดถึงอาจารย์ปิยบุตร รวมถึงกรรมการบริหารพรรคที่ถูกตัดสิทธิในช่วงที่ยังเป็นพรรคอนาคตใหม่
เมื่อถามย้ำว่า จะมีการพูดคุยปรับความเข้าใจกันหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ตนก็ยังเจออาจารย์ปิยบุตรอยู่เรื่อยๆ และเพิ่งจะไปรับประทานอาหารด้วยกัน มีการพูดคุยกันตลอดในกรอบที่กฎหมายอนุญาต และเป็นเพื่อนกัน
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้มีทัวร์ลงที่นายปิยบุตร เราจะมีการบอกกล่าวกับแฟนคลับอย่างไรหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ตนคิดว่า ความสามัคคีคือสิ่งสำคัญของทุกฝ่าย โดยเฉพาะการเมืองบริบทแบบนี้ ขอให้ทุกคนมีความสามัคคี อดทน อดกลั้นในการที่จะแสดงความคิดเห็นทางการเมืองเพื่อให้เราฝ่ายค้านเข้มแข็ง
เมื่อถามว่า มีความกังวลเรื่องกระแสของพรรคก้าวไกลหรือไม่ ที่หัวหน้าพรรคเปลี่ยนมือจากนายพิธาไปเป็นคนอื่น นายพิธา กล่าวว่า ไม่ได้กังวลอะไรเลย ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม แต่มันมีความจำเป็นที่จะต้องคิดถึงส่วนรวม และเปิดทางให้มีผู้นำฝ่ายค้าน ทั้งเชิงมหภาค จุลภาค ฉะนั้นไม่ได้มีความแตกต่างอะไรกันในการทำงานของแกนนำทั่วไป
เมื่อถามว่าเสียดายหรือไม่ที่นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีต สส.พรรคก้าวไกล และที่ปรึกษารองประธานสภาคนที่ 1 ปฏิเสธที่จะเข้ามาเป็นกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล นายพิธา กล่าวว่า แน่นอน แต่เชื่อว่านางอมรัตน์ก็เป็นส่วนหนึ่งของพรรคอยู่แล้ว อย่างที่บอก พรรคก้าวไกลไม่ได้เลือกที่ตัวบุคคล และไม่ได้ยึดในตำแหน่ง ฉะนั้นก็ยังทำงานกันเป็นทีมอยู่ดี
จากนั้น นายพิธา ได้เข้าห้องประชุมพร้อมกล่าวบนเวทีถึงสาเหตุการประชุมใหญ่วิสามัญของพรรคก้าวไกลว่า เหตุผลการที่ต้องมาประชุมกันในวันนี้ เริ่มต้นจากการที่นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ได้ลาออกจากกรรมการบริหารพรรค เพื่อจะไปเป็นรองประธานสภาคนที่ 1 ต่อมาเมื่อมีความแน่ชัดแล้วว่า พรรคก้าวไกลจะต้องเป็นฝ่ายค้านและต้องเป็นฝ่ายค้านเชิงรุก ตนจึงจำเป็นตัดสินใจลาออก เพื่อเปิดทางให้พรรค ได้หาผู้นำฝ่ายค้านตามรัฐธรรมนูญที่จะต้องเป็น สส. ในระหว่างที่จะต้องรอเรื่องเกี่ยวกับคดีความของตน.