อยากวางแผนลาออกจากงาน

ตอนนี้เรารู้สึกอยากลาออกจากงานที่ทำอยู่ แต่ยังไม่รู้ว่าพอลาออกแล้วจะไปทำงานที่ไหนต่อ หรือทำงานอะไรต่อ จึงอยากจะลองวางแผนก่อนลาออก เพื่อลาออกไปแล้วจะได้ไม่ลำบากเรื่องการเงิน สมัยนี้งานไม่ได้หาง่าย การแข่งขันก็สูง ที่ๆจะให้เงินเดือนเราสูงๆ (สูงกว่าที่เราได้ตอนนี้) ก็คงยิ่งหายาก บวกกับอายุเราที่มากแล้วด้วย เงินเก็บเราโดยลำพังตอนนี้แล้วก็ไม่เท่าไหร่ น่าจะไม่เกิน 500K

ปัจจุบันเราอายุ 30 ต้นๆ เรียนจบ ป.ตรี ด้าน HR แต่ทำงานด้านบริหารทั่วไป (ประสานงาน/ทำเอกสารกึ่งๆการเงินและกฎหมาย/ธุรกิจ รพ./เบ๊จิปาถะ) ใน รพ.รัฐ ที่ กทม. เงินเดือนไม่เกิน 25K ตอนนี้อยู่ในช่วงกำลังเขียนผลงานขอความก้าวหน้าทางตำแหน่ง (ถ้าโชคชะตาไม่ใจร้ายกับเรา ปีหน้าผลงานเราก็คงผ่านการพิจารณาจากผู้ใหญ่ แล้วเราก็จะได้ขึ้นเงินเดือนเป็น 30K)

พอเราเขียนผลงานขอความก้าวหน้าเสร็จ เราคิดว่าจะเรียนต่อ ป.โท ด้าน Data Science (หรือไม่ก็ MBA ยังลังเลอยู่) เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย พอเรียนจบ ป.โท ก็คิดว่าจะหางานใหม่ (ถ้าโชคดีก็อาจหาได้ก่อนเรียนจบ) และก็จะเรียน ป.ตรี อีกใบด้านนิติศาสตร์ หรือเรียนด้านอะไรก็ได้ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ตัวเอง

พูดเรื่องสาเหตุที่อยากลาออกจากงานบ้าง

---1. เริ่มหมดไฟ เพราะงานเยอะ ทำคนเดียว เวลาเราไม่อยู่ก็ไม่มีใครทำแทนเรา (ยกเว้นหัวหน้า ช่วยดูแทนบ้าง แต่เวลามีอะไรเขาก็จะโทรถามเราอยู่ดี) เราทำงานไม่ทัน โดนหัวหน้าเร่ง และก็ยังถูกสั่งงานใหม่ๆ มาอีก เดี๋ยวก็จะปรับแก้งานโน่นนี่อีก เขาชอบสั่งงานแบบกระชั้นชิด หรือให้เวลาน้อย หรือบางทีก็ไม่กำหนดเดดไลน์ แต่จะรีบเอา งานนี้ยังไม่เสร็จ จะสั่งงานใหม่อีกแล้ว ทำให้เราค่อนข้างมีปัญหาเรื่องการบริหารเวลา ทุกงานเหมือนจะรีบเร่งไปหมด ต้องเจอกับความเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนสูง (ใครคิดว่าคนทำงานหน่วยงานรัฐแล้วจะสบาย ขอให้คิดดูอีกที)

---2. เราตัดสินใจอะไรเกี่ยวกับงานตัวเองไม่ค่อยได้ เพราะเนื้องานเกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย ทำให้เราต้องพึ่งพาคนอื่นมาก พอพึ่งพาคนอื่นแล้วก็ต้องรอ ต้องคอยติดตาม (หัวหน้าก็เร่งตามที่เรา) แล้วฝ่ายที่เราต้องพึ่งพาก็ไม่ค่อยโอเค ให้ความร่วมมือได้ไม่ค่อยดี บางครั้งก็โยนงานมาให้เรา ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยใจ ต้องให้หัวหน้าเราเป็นคนไฟท์ แต่หลายครั้งหัวหน้าก็ไฟท์ไม่สำเร็จ

---3. หัวหน้าเป็นคนบ้างานและทำงานแบบ Freedom คือนึกอยากติดต่องานกับใครเมื่อไหร่ก็ได้ เวลาเราจะปรึกษางานกับหัวหน้าในช่วงเวลางาน เขาก็ไม่ค่อยว่าง เราส่งข้อมูลปรึกษาทาง Line หรือ e-mail เขาก็ไม่ค่อยอ่าน แต่พออยู่นอกเวลางานหัวหน้ากลับชอบติดต่อมาถามงานเรา วันลา วันหยุด ยังต้องมาอ่านไลน์/รับโทรศัพท์จากเขา เราจึงรู้สึกเบื่อและหงุดหงิด

---4. การทำงานในหน่วยงานที่ยึดระบบอาวุโสเป็นอย่างมาก ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนขี้กลัวมากขึ้น จะพูดหรือจะทำอะไรก็ต้องระวัง ต้องเอาใจผู้ใหญ่ ทำให้ความกล้า/ความรู้สึกอิสระของเรามันลดลงจากเดิม (หากเทียบกับตอนทำงานในบริษัทเอกชน) ในหน่วยเรามีบุคลากร 10 คน คนที่จะสามารถนำเสนองานในที่ประชุมที่มีผู้บริหารอยู่ด้วยนั้นมีไม่เกิน 3 คน นอกนั้นนำเสนอไม่ได้ เพราะจะเกิดอาการแพนิค (บางคนถึงขั้นต้องกินยา) เรารู้สึกเหมือนตัวเองยังเป็นเด็กน้อยที่ต้องเกรงกลัวผู้ใหญ่ ทั้งๆที่เราอายุ 30+ แล้ว เราอยากเป็นคนเข้มแข็งกว่านี้

---5. เราเบื่อการเข้าประชุม ในหน่วยงานเราจะต้องสรุปเสนองานตัวเองทุกเดือน และเรายังต้องเป็นคนจดรายงานประชุมอีก ทุกเดือน ยังไม่นับการประชุมเฉพาะกิจอื่นๆ เราก็ต้องเป็นคนสรุปเนื้อหาประชุมอีก และเราต้องสละเวลานอกมาทำ เพราะในเวลางานไม่มีสมาธิ ถูกรบกวนบ่อย (ตอนทำงานที่อื่นไม่ได้ประชุมบ่อยขนาดนี้ และเราก็ไม่ต้องสรุปรายงานด้วย) เราอยากให้คนอื่นมาทำรายงานประชุมแทนเราบ้าง แต่หัวหน้าก็มองว่าคนอื่นทำได้ไม่ดี

---6. เพื่อนร่วมงานหลายคนค่อนข้าง Toxic ชอบนินทากัน ชอบใช้คำพูดเสียดสีประชดประชัน ถึงจะไม่ได้ทำงานด้วยกัน แต่การนั่งอยู่ในห้องเดียวกัน แล้วเราต้องมาได้ยินอะไรแบบนี้ ทำให้เรารู้สึกไม่ค่อยโอเค ความสามัคคีภายในหน่วยงานไม่ค่อยมี หัวหน้าก็รู้และเห็น แต่ไม่รู้จะจัดการยังไง นอกจากเรียกมาเตือน แต่สุดท้ายพฤติกรรมเดิมก็เกิดขึ้นอีก ทุกวันนี้เราเหมือนคนที่ไม่ได้พกปากมาทำงาน นั่งทำงานเงียบๆ ไม่คุยกับใครถ้าไม่จำเป็น (บางครั้งเราต้องช่วยเพื่อนร่วมงานหลบหนีเจ้าหนี้ด้วย เพราะเขาติดหนี้คนอื่น แล้วเจ้าหนี้โทรเข้าเบอร์ที่ทำงาน เรากับเขาใช้เบอร์โทรเบอร์เดียวกัน เขาขอให้เราช่วยบอกเจ้าหนี้ว่าเขาไม่อยู่)

---7. ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นภายในหน่วยงานเรา ผู้บริหารไม่เคยรับรู้เลย มันถูกจำกัดให้รับรู้แค่ภายในหน่วยที่มีกันอยู่ 10 คน มีปัญหาอะไรก็จัดการกันเอง (ซึ่งก็จัดการไม่ได้) อย่างเรามีปัญหาเรื่องงานล้น ทำไม่ทัน ตอนแรกหัวหน้าบอกจะรับลูกน้องเพิ่มมาช่วยเรา เขามีหน้าที่ต้องไปเสนอขอคนเพิ่มกับผู้บริหาร แต่สุดท้ายเวลาผ่านไปครึ่งค่อนปีแล้วก็ยังไม่เปิดรับคนเพิ่ม หัวหน้าเอาค่าโอทีมาล่อเราให้ทำงานเกินเวลาแทน (ก่อนหน้านี้ทำโอฟรีตลอด หัวหน้าเพิ่งอนุมัติให้ค่าโอทีเมื่อไม่กี่เดือนนี้เอง) เราไม่รู้ว่าจะต้องทำโอทีไปถึงเมื่อไหร่ หรือเวลาที่เราต้องสรุปปริมาณงาน/ระยะเวลาทำงานของตัวเองส่งให้ฝ่าย HR ถ้าเราสรุปออกมาว่ามันเยอะเกินกว่าจะทำ 1 คน หัวหน้าเราก็จะให้เราไปแก้ไขใหม่

---8. หัวหน้าเราค่อนข้างบกพร่องเรื่องการบริหารคนทำงาน จริงๆเขาเป็นผู้ปฏิบัติงานที่เก่งมาก และก็เป็นคนใจดี แต่ในแง่ของการเป็นหัวหน้าที่ต้องบริหารลูกน้องในทีม เรามองว่าเขายังทำได้ไม่ค่อยเวิร์ค ลูกน้องบางคนเคยส่งจดหมายสนเท่ห์ไม่ระบุชื่อถึง HR ในจดหมายมีเนื้อหาเกี่ยวกับการคอมเพลนหัวหน้า (ปีนี้หัวหน้าเราถูกลูกน้องคอมเพลนผ่านจดหมายสนเท่ห์ 2 ครั้งแล้ว) แต่ HR ก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย แถมยังนำเนื้อหาจดหมายไปบอกหัวหน้าเราหมด (ทำให้เขาเดาได้ว่าใครเป็นคนเขียน แต่ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข) แล้วหัวหน้าก็จะพูดเหมือนกับว่าตัวเองตกเป็นเหยื่อ

---9. หัวหน้าไม่ค่อยเข้าใจความลำบากของลูกน้อง เขาคิดว่าไม่มีใครลำบากเท่าเขาอีกแล้ว พอลูกน้องเริ่มบ่นเรื่องงาน หัวหน้าก็จะชอบบอกว่าอย่าคุยด้วยอารมณ์ความรู้สึก ให้คุยกันด้วยผลงาน จากนั้นเขาก็จะยกเรื่องความลำบากของการเป็นหัวหน้ามาพูดบ้าง ทำให้ลูกน้องรู้สึกว่าถึงบ่นหรือพูดอะไรไปก็ไร้ผล สำหรับเรามองว่าคนเป็นหัวหน้าควรจะรู้อยู่แล้วว่าลูกน้องแต่ละคนทำงานอะไรบ้าง และทำมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับว่าใส่ใจหรือเปล่า ส่วนเรื่องการใช้อารมณ์ในการพูด ก็เพราะลูกน้องเป็นคน มีความรู้สึก และความรู้สึกที่พูดออกมาก็เกี่ยวข้องกับเรื่องงาน หัวหน้าไม่ควรมองข้าม

---10. เราอยากลองเปลี่ยนสายงานบ้าง อยากทำงานที่จุกจิกน้อยลง ประสานงานกับคนอื่นน้อยลง พึ่งพาคนอื่นน้อยลง มีอิสระในการคิดและการตัดสินใจมากขึ้น เมื่อถึงเวลาพักผ่อนก็ได้พักเต็มที่ ไม่ถูกรบกวน เราไม่ได้ทะเยอทะยานอยากมีตำแหน่งสูงๆ ไม่อยากบริหารคน ขอแค่เงินเดือนขึ้นก็พอ หัวหน้าดูเหมือนอยากจะโปรโมทเราในอนาคต สังเกตจากการที่เขาให้เราฝึกพูดนำเสนอในที่ประชุมที่มีผู้บริหารอยู่ด้วย (ในขณะที่ลูกน้องคนอื่นๆไม่ต้องพูดเอง หัวหน้าพูดให้หมด) และก่อนหน้านี้เราเคยพูดกับหัวหน้าว่า ถ้าวันไหนหัวหน้าไม่อยู่ทำงานที่นี่แล้ว เราก็คงไม่อยู่เหมือนกัน (ถึงเราจะบ่นหัวหน้าเยอะ แต่ในที่ทำงาน เราสนิทกับหัวหน้าที่สุด ไม่สนิทกับเพื่อนร่วมงานเลย) หัวหน้าก็พูดว่า เราเป็นหนึ่งในลูกน้องไม่กี่คนที่เขาไว้ใจ อยากจะให้อยู่ที่นี่นานๆ

ไม่รู้ว่าเหตุผลของเรามีน้ำหนักมากพอที่จะลาออกหรือไม่ แต่ถ้าเราเจอเส้นทางใหม่ที่คิดว่าดีกว่าเดิม เราคงไปแน่ๆ แต่ก็ต้องวางแผนเยอะ เพราะการจะตัดสินใจลาออกจากที่เดิมก็ทำให้เรารู้สึกลำบากใจไม่น้อย เราผูกพันกับองค์กร ผูกพันกับหัวหน้า ผูกพันกับความมั่นคงและเงินเดือนที่ได้รับจากที่นี่ ถ้าไปที่ใหม่แล้วมันแย่กว่าเดิม ก็ยังไม่รู้ว่าจะทำยังไง (คงไม่ถอยกลับไปที่เดิม) หรือว่าจะทำธุรกิจส่วนตัว ก็ต้องศึกษาอีกเยอะ เพราะไม่เคยทำ และมีแววจะร่วงมากกว่ารุ่ง เราคิดมากเกินไปหรือเปล่า
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่