Kyotoก็แค่ปากซอย สามวันสองคืนในเกียวโต ตะลุยเก็บดาวร้านMichelin (แถมรีวิว Kyoto Ekiben)
ทริปนี้ผมแลกไมล์กับการบินไทยมาครับ เนื่องจากจองร้านอาหาร Ogata ที่อยากกินได้ ตอนแรกตั้งใจจะจอง Noma Kyoto แต่ดวงผมกับ Noma ไม่เคยตรงกัน จองไม่ได้ แต่Ogata ให้ที่นั่งมาแล้ว ไหนๆก็ไหนๆ เอาร้านอาหารอื่นๆมาประกอบกันเป็นอีกทริปนึงละกัน ก่อนเริ่มทริปแวะจิบ prosecco ที่ เล้าจน์ TG ก่อน เบื่อ champagneที่ SQ ชอบปิดเร็ว
โดยเริ่มจากนั่งเครื่องบินไฟลท์ red eye มาสว่างตอนเช้าที่คันไซเลยครับ
ที่นั่งนอนสบาย
อาหารเช้าบนเครื่องเป็นไกเทริยากิครับ
ขาเข้าเมืองนั้นผมนั่ง Haruka express จากสนามบิน Kansai ตรงเข้ามายังเกียวโตเลยครับ ตัวรถนี่เป็นลายคิตตี้น่ารักมากครับ สามารถจองได้ที่ Website
https://www.traveloka.com/ โดยเลือกจุดหมายปลายทางของเรา ทางเว็บจะออกมาเป็นเว้าทเชอร์ให้ เราสามารถนำไปแลกได้ที่ตู้หน้าทางเข้าที่สถานีได้เลยครับสะดวกมากมาย
ถึงเกียวโตแล้ว
โดยทริปนี้ผมเลือกพักที่ Onyado Nono Kyoto Shichijo Natural Hot Spring
ที่พักประจำของผมเวลามาเกียวโต โรงแรมเป็นตึกทันสมัยเลยแต่ตบแต่งแบบเรียวกังญี่ปุ่นเลย ต้องถอดรองเท้าตั้งเเต่ทางเข้าเลยครับ การเดินในรรต้องเป็นเท้าเปล่าหมด โรงแรมนี้ยังมีขนมเเจกฟรี กาแฟฟรี และออนเซนด้วย เป็นตัวเลือกที่ดีในการมาหาความสงบนะครับ
พอเช็คอินโรงแรมเสร็จผมก็เดินทางไปยังร้านอาหารเเรกในทริป
Kiyama🌟 (Kyoto,Japan)
ผมค่อยๆเดินเรียบกำแพงวังจากสถานี marutamachi ไปยัง kiyama ร้านอาหารที่เป็นตัวเลือกเเรกของผมเมื่อมายังเกียวโต เหตุผลง่ายๆ อาหารที่นี้มีราคาย่อมเยาว์มากโดยเฉพาะมื้อกลางวัน (15,000 เยน )และยังมีคุณภาพที่สูง ได้ทั้งMichelin star 1ดาว และ Tabelog silver รวมทั้งยังจองโต๊ะได้ง่ายอีกด้วย Kiyama จึงเป็นตัวเลือกแรกๆของผมเมื่ออยากแนะนำร้านอาหารสักร้านให้ใครเมื่อมายังเกียวโต
ประโยคแรก 15,000 เยน กับอาหารKaiseki ในยุคหลังโควิดนี่ได้ขนาดนี้จริงๆหรือ นี่น่าจะเป็นร้านที่ผมรู้สึกคุ้มค่าที่สุดที่ได้กินที่ญี่ปุ่นหลังโควิดเลยครับ สิ่งนึงที่เปลี่ยนแปลงไปหลังโควิดก็คือ Kiyama เช่นเดียวกับหลายๆร้านในเกียวโต ที่เริ่มห้ามการถ่ายรูปละครับ ซึ่งหากไม่นับในจุดนี้ การบริการของทางร้านมีความเป็นกันเองดีมาก เชฟสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีพอใช้ได้ เค้าเตอร์ของผมในวันนั้น ได้รับการดูแลโดยเชฟเจ้าของร้าน Yoshiro Kiyama อดีตหัวหน้าพ่อครัวของห้องอาหารระดับตำนานที่ปั้นยอดฝีมือมาหลายคนแล้วอย่าง Wakuden ซึ่งเชฟหนุ่มในวัยสี่สิบนิดๆนั้นเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใสอารมณ์ดีๆมากๆ ช่วยสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายให้กับมื้ออาหารนี้ได้เป็นอย่างดีครับ
อย่างเเรกที่ต้องพูดถึง Kiyama คือ Ichiban dashi แสนขึ้นชื่อที่ทำกันสดๆต่อหน้า เราจะได้ชิมปลาเเห้งทั้งสามชนิดที่ขูดกันสด คัทสึโอะตากแห้งอายุ 1ปี โบนิโตะอายุ3ปี แล ทูน่า2ปี แต่ละอันนั้นรสไม่เหมือนกัน ก่อนที่เชฟจะนำไปต้มกับน้ำบาดาลจากบ่อของทางร้าน ออกมาเป็นดาชิรสกลมกล่อมให้เราลองก่อนอาหาร ที่กินเปล่าๆก็อร่อยอย่างไม่น่าเชื่อแล้ว โดยดาชินี้ละเป็นที่เป็นหัวใจความอร่อยของอาหาร Washoku
มื้ออาหารที่นี่ อาจจะไม่มีวัตถุดิบเลิศเลอด้วยราคา แต่เชฟสามารถเอาวัตถุดิบที่น้อยมาทำออกมาให้มากได้ดี วัตถุดิบง่ายๆอย่างปลาซาบะ ปลาหมึกหรือหอยฮามากุรินั้น ล้วนเเต่เป็นของดีที่ไม่ใช่ของราคาแพง แต่น่าสนใจ เราจะได้กินผักป่าที่มีเอกลักษณ์หลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นNanohana ที่เสริฟ์มาในซุปปลาไทรสเบาๆกับหน่อไม้ฟรั่งขาวตัวเเทนเเห่งฤดูใบไม้ผลิ หรือจะเป็นยอดอ่อนเฟริ์นสามชนิด zenmai , kogomi และyomogi ที่แต่ละตัวล้วนมีเท็กเจอร์เป็นเอกลักษณ์ เสริฟ์มากับซอสงารสเบา
จานที่ผมชอบที่สุดและยังคงประทับใจถึงตอนนี้คือปลาซาวาระ ที่เป็นจานที่รสเข้มข้นที่สุดในมื้อนี้ แต่กลับเป็นจานเบรคให้มื้ออาหารรสเบามื้อนี้ได้อย่างยอดเยี่ยมเชฟนำปลาเนื้อมันตัวนี้ไปย่างกับซอสมอลต์ข้าวดอง ที่ให้รสหวานอมเปรี้ยวเข้ากับปลาเนื้อมัน ที่ช่วยประสานให้เข้ากับหน่อไม้ภูเขาหรือudo ดองรสฉุนเปรี้ยวดองดับความมันของปลาได้อย่างลงตัว
ซุปฮามากุริกับทาเคะโนะโกะหรือหน่อไม้สดเกียวโตนั้น ทำออกมาได้ดีมาก ฮามากุริแม้ขนาดจะไม่ใหญ่แต่เป็นของดี เนื้อหวานหนึบไม่เหนียว เท็กเจอร์ของมันตัดกับ ทาเคะโนโกะที่ถูกต้มกับซุปอิชิบังดาชิด้วยไฟอ่อนๆจนเข้าเนื้อแต่ยังคงกรอบ ก่อนตัดรสด้วยfuki หรือ Japanese butterbur ที่ฉุนๆนิด
จานหลักของอาหารไคเซกิที่หลายคนมักจะรู้สึกเบื่อ แต่ที่คิยามะนั้นเราสามารถเลือกได้หลากหลายเมนูถึงสี่อย่าง ไม่ว่าจะเป็นข้าวปลาหมึกกับยามะอิโมะ ข้าวไข่คนกับไข่ปลาไท หรือจะเป็นข้าวไข่ไก่ดิบที่เสริฟ์มาพร้อมกับชิริเมนหรือปลาข้าวสารทำเองของทางร้าน
ถ้าไม่ทานข้าวที่หุงด้วยหม้อทองเเดงที่เชฟคิยามะบรรจงตักให้เองทุกถ้วย ก็สามารถลองเส้นหมี่ขาวในน้ำซุปหอยก็ได้ แต่ถ้าหนังท้องหนาอยากลองหมดก็ไม่ผิดอะไร ไม่อิ่มยังสามารถเติมได้อีก ใครบอกมากินไฟน์ไดน์ละไม่อิ่มตีมือเลยนะ
ส่วนตัวผมนั้นชอบรสความซ่าของซานโชสดที่ขับรสหวานของปลาข้าวสารออกมาได้อย่างละมุน ยิ่งพอกินกับไข่เเดงดิบละข้าวสวยร้อนๆเเล้วยิ่งเข้ากัน จนต้องขอเติม แต่กลับไม่ค่อยชอบเส้นหมี่ขาวที่ส่วนตัวรู้สึกว่ารสของซุปหอยนั้นเบาไปนิดจนกลิ่นแป้งในเส้นดูเด่นชัดไป
เราปิดท้ายมื้อด้วยส้มดีๆอย่าง Kawachi bankan และมัทฉะเป็นการจบมื้อเที่ยงที่ยอดเยี่ยมที่ Kiyama
การทำอาหารที่ยอดเยี่ยมนั้นควรค่าเเก่การชื่นชม มื้ออาหารที่เงียบสงบเเละเรียบง่ายจาก Yoshiro Kiyama ที่เเม้จะเงียบครีมแต่ก็มีรอยยิ้มออกมาอยู่เรื่อยๆ นั้นออกมาดีมากๆ ยิ่งเมื่อคำนวนเรื่องราคาทำให้ Kiyama คงเป็นร้านที่ผมกลับมาอย่างแน่นอน และอยากแนะนำให้ทุกคนมาลองกัน
Score: 9/10
ทานเสร็จก็เเวะเดินช็อปปิ้งเล็กน้อยแถวโรงแรมครับ ก่อนจะไปยังสาเหตุที่ทำให้มายังเกียวโตในคราวนี้ ร้าน Ogata
Ogata Honten (Kyoto,Japan )
Review ในวันนี้เป็นหนึ่งใน Top 10 ร้านอาหารในญี่ปุ่น หนึ่งในสุดยอดร้านอาหาร Kaiseki จุดสูงสุดของ washoku ตำนานของ Kyotoryori อย่าง Ogata Honten เต๊นๆๆๆๆ
ผมจองตั๋วเครื่องบินเพราะร้านนี้เลย เอาจริงๆคือผมจอง Noma kyoto ไม่ได้ แต่ Ogata ให้ที่มาแล้ว ไหนๆก็ไหนๆ ไปก็ได้ประกอบร้านอื่นยัดๆเข้าไปออกมาเป็นอีกทริปกินทั้งๆที่พึ่งกลับจากโตเกียวมาสัปดาห์เดียว ความสุดยอดของโอกาตะนั้นOgata เป็นหนึ่งในร้านที่คะแนนสูงที่สุดในTabelog ด้วยคะแนน 4.58 , OAD top100 Asia , Michelin star 2*
Toshiro ogata นั้นเริ่มต้นเส้นทางอาชีพเชฟเมื่อสมัยมัธยม เมื่อเขาได้ทำงานพาร์ทไทม์ ที่เรียวกังในเกียวโต ที่นั่นเขาได้รับการชักชวนให้เข้าทำงานที่ร้านอาหารระดับตำนานของเกียวโตอย่าง wakuden ร้านที่ปั่นยอดฝีมือมาแล้วมากมาย เขาใช้เวลาที่ wakudenกว่า 13ปี ก่อนจะออกมาเปิดร้านของตัวเองในที่สุด โดยตำแหน่งสุดท้ายของ Ogataซังคือหัวหน้าเชฟที่ Wakuden
ต้องยอมรับว่าอาหารของเชฟโอกาตะ นั้นมีเอกลักษณ์และสไตล์เฉพาะตัวจริงๆ และทำออกมาได้ยอดเยี่ยมมากๆ อาหารของที่นี้มีความลื่นไหล นุ่มนวล มีส่วนประกอบจากของจานที่ทำจากการต้ม นึ่ง หรือใช้น้ำมากกวาไคเซกิปกติ แต่ในจานที่เป็นของย่างทางร้านก็ทำได้ไม่ขาดตกบกพร่อง ที่ผมว่าดูจะด้อยกว่าจานอื่นเห็นจะเป็นของทอดที่ดูขาดความโดดเด่นเเละเอกลักษณ์ไปบ้าง การปรุงรสที่น้อยแต่ทว่ามาก เน้นการจับคู่วัตถุดิบตามธรรมชาติเพื่อดึงความอร่อยของวัตถุดิบ โดยรวมแล้วมื้ออาหารที่นี้เป็นหนึงในมื้ออาหารที่อร่อยที่สุดที่ผมเคยทานในญี่ปุนอย่างไม่ต้องสงสัย
ในเรื่องการบริการอาจจะมีความช้าบ้างเนื่องจากพนักงานดูขาดเเคลน เชฟเป็นคนขรึม พูดภาษาอ้งกฤษไม่ได้ เเต่ทว่าลึกๆมีมุขและอารมณ์ขันอยู่ไม่น้อยครับ เชฟดูค่อนข้างเปิดกว้างและต้อนรับชาวต่างชาติ ผมแนะนำให้สั่งสาเกโดยเชฟโอกาตะจะเลือกเเก้วจากคอลเลคชั่นเเก้วโบราณของทางร้านให้ตามบุคคลิกของแต่ละคน อาหารในมื้อนี้จะมีอะไรบ้างไปชมกันครับตามลิงค์ครับ
Score:9.25/10
https://www.facebook.com/eatliketheboss/posts/pfbid02SnCNP3ppotutSgLgvgiSUrBrTC7nvznvMhw2QLBCM3HPmwnpC8LnEaZR3ojrUmUcl
วันรุ่งขึ้นช่วงเช้าผมเเวะพิพิธภัณฑ์ รถไฟของเกียวโตครับ เป็นอีกหนึงที่ๆผมว่าทำออกมาได้ดี สามารถสนุกสนานทั้งคนที่ไม่อินกับรถไฟ หรือจะเด็ก หรือถ้าอยากได้ความรู้เรื่องวิวัฒนาการของรถไฟที่นี่ก็มีครบครันครับก่อนที่จะไปยังร้านที่สามในทริปนี้
Nikuryori Kanae (Kyoto,Japan)
แวะมาร้านดังในโลกโซเซี่ยล สาเหตุนะหรือเดาไม่ยากครับ ร้านนี้อาจจะเป็นร้านที่รางวัลต่างๆน่าจะน้อยที่สุดในทริปนี้ แต่เป็นร้านที่ดีเลยครับ ราคาไม่สูง(มากนัก) มีมื้อกลางวัน และสามารถจองหนึ่งท่านได้ สำหรับท่านที่เพื่อนร่วมกรุ๊ปไม่ทานเนื้อนับว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเลยครับ
โดยอาหารที่ร้านนี้นั้นมีเพียงคอร์สเมนูราคาเริ่มต้นที่22,000เยนจะมีเนื้อวัวเป็นส่วนประกอบทุกจาน เราจะไม่เพียงมีแต่เนื้อเท่านั้นยังมี ส่วนต่างๆของวัวให้ได้ลองอีกด้วยไม่ว่าจะเป็นลิ้นหรือกระบังลม ซึ่งผมว่าอาหารของที่นี้นั้นมีสไตล์เป็นเอกลักษณ์ที่หลายท่านอาจจะชอบ เพราะเเม้จะเป็นเนื้อทุกจานแต่อาหารที่นี้ก็ไม่ได้รู้สึกหนักเเน่นท่อง หรือเลี่ยนแต่อย่างใด ด้วยการเบรครสอย่างน่าสนใจของวัตถุดิบต่างๆ ที่ใส่มาอย่างสลับซับซ้อนและมีชั้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบที่ใช้ทั้งในอาหารญี่ปุ่นและอาหารตะวันตก ทำให้กลิ่นอายอาหารของที่นี้นั้นมีความเป็นตะวันตกอยู่ไม่น้อย ที่นี้ทำให้ผมรู้สึกว่าเนื้อที่ไม่ปรุงรสหนักๆก็อร่อยเหมือนกัน
สำหรับเชฟที่ร้านนี้นั้นคือ พี่น้อง Ryosuke and Kanae เชฟสลับทำงานอย่างรู้ใจ รอยยิ้มของเชฟที่ปรุงอาหารไปยิ้มไปนั้นพาใจละลาย คิมิโนโต๊ะได้อย่างง่ายๆ นอกจากรอยยิ้มพิมพ์ใจของเชฟแล้วอาหารมีอะไรบ้างตามไปชมจากลิงค์กันได้ครับ
Score:7.75/10
https://www.facebook.com/eatliketheboss/posts/pfbid0B8mg8JdcRBrW1rBEtXqbzZSHewhyXd1UjQzfSjfNVQ7FMG5ssmjiEaHkGLqFBXeQl
[CR] บอสพาชิม In Kyoto : Kyotoก็แค่ปากซอย สามวันสองคืนในเกียวโต ตะลุยเก็บดาวร้านMichelin (แถมรีวิว Kyoto Ekiben)
โดยเริ่มจากนั่งเครื่องบินไฟลท์ red eye มาสว่างตอนเช้าที่คันไซเลยครับ
ที่นั่งนอนสบาย
อาหารเช้าบนเครื่องเป็นไกเทริยากิครับ
ขาเข้าเมืองนั้นผมนั่ง Haruka express จากสนามบิน Kansai ตรงเข้ามายังเกียวโตเลยครับ ตัวรถนี่เป็นลายคิตตี้น่ารักมากครับ สามารถจองได้ที่ Website https://www.traveloka.com/ โดยเลือกจุดหมายปลายทางของเรา ทางเว็บจะออกมาเป็นเว้าทเชอร์ให้ เราสามารถนำไปแลกได้ที่ตู้หน้าทางเข้าที่สถานีได้เลยครับสะดวกมากมาย
ถึงเกียวโตแล้ว
โดยทริปนี้ผมเลือกพักที่ Onyado Nono Kyoto Shichijo Natural Hot Spring
ที่พักประจำของผมเวลามาเกียวโต โรงแรมเป็นตึกทันสมัยเลยแต่ตบแต่งแบบเรียวกังญี่ปุ่นเลย ต้องถอดรองเท้าตั้งเเต่ทางเข้าเลยครับ การเดินในรรต้องเป็นเท้าเปล่าหมด โรงแรมนี้ยังมีขนมเเจกฟรี กาแฟฟรี และออนเซนด้วย เป็นตัวเลือกที่ดีในการมาหาความสงบนะครับ
พอเช็คอินโรงแรมเสร็จผมก็เดินทางไปยังร้านอาหารเเรกในทริป
Kiyama🌟 (Kyoto,Japan)
ผมค่อยๆเดินเรียบกำแพงวังจากสถานี marutamachi ไปยัง kiyama ร้านอาหารที่เป็นตัวเลือกเเรกของผมเมื่อมายังเกียวโต เหตุผลง่ายๆ อาหารที่นี้มีราคาย่อมเยาว์มากโดยเฉพาะมื้อกลางวัน (15,000 เยน )และยังมีคุณภาพที่สูง ได้ทั้งMichelin star 1ดาว และ Tabelog silver รวมทั้งยังจองโต๊ะได้ง่ายอีกด้วย Kiyama จึงเป็นตัวเลือกแรกๆของผมเมื่ออยากแนะนำร้านอาหารสักร้านให้ใครเมื่อมายังเกียวโต
ประโยคแรก 15,000 เยน กับอาหารKaiseki ในยุคหลังโควิดนี่ได้ขนาดนี้จริงๆหรือ นี่น่าจะเป็นร้านที่ผมรู้สึกคุ้มค่าที่สุดที่ได้กินที่ญี่ปุ่นหลังโควิดเลยครับ สิ่งนึงที่เปลี่ยนแปลงไปหลังโควิดก็คือ Kiyama เช่นเดียวกับหลายๆร้านในเกียวโต ที่เริ่มห้ามการถ่ายรูปละครับ ซึ่งหากไม่นับในจุดนี้ การบริการของทางร้านมีความเป็นกันเองดีมาก เชฟสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีพอใช้ได้ เค้าเตอร์ของผมในวันนั้น ได้รับการดูแลโดยเชฟเจ้าของร้าน Yoshiro Kiyama อดีตหัวหน้าพ่อครัวของห้องอาหารระดับตำนานที่ปั้นยอดฝีมือมาหลายคนแล้วอย่าง Wakuden ซึ่งเชฟหนุ่มในวัยสี่สิบนิดๆนั้นเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใสอารมณ์ดีๆมากๆ ช่วยสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายให้กับมื้ออาหารนี้ได้เป็นอย่างดีครับ
อย่างเเรกที่ต้องพูดถึง Kiyama คือ Ichiban dashi แสนขึ้นชื่อที่ทำกันสดๆต่อหน้า เราจะได้ชิมปลาเเห้งทั้งสามชนิดที่ขูดกันสด คัทสึโอะตากแห้งอายุ 1ปี โบนิโตะอายุ3ปี แล ทูน่า2ปี แต่ละอันนั้นรสไม่เหมือนกัน ก่อนที่เชฟจะนำไปต้มกับน้ำบาดาลจากบ่อของทางร้าน ออกมาเป็นดาชิรสกลมกล่อมให้เราลองก่อนอาหาร ที่กินเปล่าๆก็อร่อยอย่างไม่น่าเชื่อแล้ว โดยดาชินี้ละเป็นที่เป็นหัวใจความอร่อยของอาหาร Washoku
มื้ออาหารที่นี่ อาจจะไม่มีวัตถุดิบเลิศเลอด้วยราคา แต่เชฟสามารถเอาวัตถุดิบที่น้อยมาทำออกมาให้มากได้ดี วัตถุดิบง่ายๆอย่างปลาซาบะ ปลาหมึกหรือหอยฮามากุรินั้น ล้วนเเต่เป็นของดีที่ไม่ใช่ของราคาแพง แต่น่าสนใจ เราจะได้กินผักป่าที่มีเอกลักษณ์หลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นNanohana ที่เสริฟ์มาในซุปปลาไทรสเบาๆกับหน่อไม้ฟรั่งขาวตัวเเทนเเห่งฤดูใบไม้ผลิ หรือจะเป็นยอดอ่อนเฟริ์นสามชนิด zenmai , kogomi และyomogi ที่แต่ละตัวล้วนมีเท็กเจอร์เป็นเอกลักษณ์ เสริฟ์มากับซอสงารสเบา
จานที่ผมชอบที่สุดและยังคงประทับใจถึงตอนนี้คือปลาซาวาระ ที่เป็นจานที่รสเข้มข้นที่สุดในมื้อนี้ แต่กลับเป็นจานเบรคให้มื้ออาหารรสเบามื้อนี้ได้อย่างยอดเยี่ยมเชฟนำปลาเนื้อมันตัวนี้ไปย่างกับซอสมอลต์ข้าวดอง ที่ให้รสหวานอมเปรี้ยวเข้ากับปลาเนื้อมัน ที่ช่วยประสานให้เข้ากับหน่อไม้ภูเขาหรือudo ดองรสฉุนเปรี้ยวดองดับความมันของปลาได้อย่างลงตัว
ซุปฮามากุริกับทาเคะโนะโกะหรือหน่อไม้สดเกียวโตนั้น ทำออกมาได้ดีมาก ฮามากุริแม้ขนาดจะไม่ใหญ่แต่เป็นของดี เนื้อหวานหนึบไม่เหนียว เท็กเจอร์ของมันตัดกับ ทาเคะโนโกะที่ถูกต้มกับซุปอิชิบังดาชิด้วยไฟอ่อนๆจนเข้าเนื้อแต่ยังคงกรอบ ก่อนตัดรสด้วยfuki หรือ Japanese butterbur ที่ฉุนๆนิด
จานหลักของอาหารไคเซกิที่หลายคนมักจะรู้สึกเบื่อ แต่ที่คิยามะนั้นเราสามารถเลือกได้หลากหลายเมนูถึงสี่อย่าง ไม่ว่าจะเป็นข้าวปลาหมึกกับยามะอิโมะ ข้าวไข่คนกับไข่ปลาไท หรือจะเป็นข้าวไข่ไก่ดิบที่เสริฟ์มาพร้อมกับชิริเมนหรือปลาข้าวสารทำเองของทางร้าน
ถ้าไม่ทานข้าวที่หุงด้วยหม้อทองเเดงที่เชฟคิยามะบรรจงตักให้เองทุกถ้วย ก็สามารถลองเส้นหมี่ขาวในน้ำซุปหอยก็ได้ แต่ถ้าหนังท้องหนาอยากลองหมดก็ไม่ผิดอะไร ไม่อิ่มยังสามารถเติมได้อีก ใครบอกมากินไฟน์ไดน์ละไม่อิ่มตีมือเลยนะ
ส่วนตัวผมนั้นชอบรสความซ่าของซานโชสดที่ขับรสหวานของปลาข้าวสารออกมาได้อย่างละมุน ยิ่งพอกินกับไข่เเดงดิบละข้าวสวยร้อนๆเเล้วยิ่งเข้ากัน จนต้องขอเติม แต่กลับไม่ค่อยชอบเส้นหมี่ขาวที่ส่วนตัวรู้สึกว่ารสของซุปหอยนั้นเบาไปนิดจนกลิ่นแป้งในเส้นดูเด่นชัดไป
เราปิดท้ายมื้อด้วยส้มดีๆอย่าง Kawachi bankan และมัทฉะเป็นการจบมื้อเที่ยงที่ยอดเยี่ยมที่ Kiyama
การทำอาหารที่ยอดเยี่ยมนั้นควรค่าเเก่การชื่นชม มื้ออาหารที่เงียบสงบเเละเรียบง่ายจาก Yoshiro Kiyama ที่เเม้จะเงียบครีมแต่ก็มีรอยยิ้มออกมาอยู่เรื่อยๆ นั้นออกมาดีมากๆ ยิ่งเมื่อคำนวนเรื่องราคาทำให้ Kiyama คงเป็นร้านที่ผมกลับมาอย่างแน่นอน และอยากแนะนำให้ทุกคนมาลองกัน
Score: 9/10
ทานเสร็จก็เเวะเดินช็อปปิ้งเล็กน้อยแถวโรงแรมครับ ก่อนจะไปยังสาเหตุที่ทำให้มายังเกียวโตในคราวนี้ ร้าน Ogata
Ogata Honten (Kyoto,Japan )
Review ในวันนี้เป็นหนึ่งใน Top 10 ร้านอาหารในญี่ปุ่น หนึ่งในสุดยอดร้านอาหาร Kaiseki จุดสูงสุดของ washoku ตำนานของ Kyotoryori อย่าง Ogata Honten เต๊นๆๆๆๆ
ผมจองตั๋วเครื่องบินเพราะร้านนี้เลย เอาจริงๆคือผมจอง Noma kyoto ไม่ได้ แต่ Ogata ให้ที่มาแล้ว ไหนๆก็ไหนๆ ไปก็ได้ประกอบร้านอื่นยัดๆเข้าไปออกมาเป็นอีกทริปกินทั้งๆที่พึ่งกลับจากโตเกียวมาสัปดาห์เดียว ความสุดยอดของโอกาตะนั้นOgata เป็นหนึ่งในร้านที่คะแนนสูงที่สุดในTabelog ด้วยคะแนน 4.58 , OAD top100 Asia , Michelin star 2*
Toshiro ogata นั้นเริ่มต้นเส้นทางอาชีพเชฟเมื่อสมัยมัธยม เมื่อเขาได้ทำงานพาร์ทไทม์ ที่เรียวกังในเกียวโต ที่นั่นเขาได้รับการชักชวนให้เข้าทำงานที่ร้านอาหารระดับตำนานของเกียวโตอย่าง wakuden ร้านที่ปั่นยอดฝีมือมาแล้วมากมาย เขาใช้เวลาที่ wakudenกว่า 13ปี ก่อนจะออกมาเปิดร้านของตัวเองในที่สุด โดยตำแหน่งสุดท้ายของ Ogataซังคือหัวหน้าเชฟที่ Wakuden
ต้องยอมรับว่าอาหารของเชฟโอกาตะ นั้นมีเอกลักษณ์และสไตล์เฉพาะตัวจริงๆ และทำออกมาได้ยอดเยี่ยมมากๆ อาหารของที่นี้มีความลื่นไหล นุ่มนวล มีส่วนประกอบจากของจานที่ทำจากการต้ม นึ่ง หรือใช้น้ำมากกวาไคเซกิปกติ แต่ในจานที่เป็นของย่างทางร้านก็ทำได้ไม่ขาดตกบกพร่อง ที่ผมว่าดูจะด้อยกว่าจานอื่นเห็นจะเป็นของทอดที่ดูขาดความโดดเด่นเเละเอกลักษณ์ไปบ้าง การปรุงรสที่น้อยแต่ทว่ามาก เน้นการจับคู่วัตถุดิบตามธรรมชาติเพื่อดึงความอร่อยของวัตถุดิบ โดยรวมแล้วมื้ออาหารที่นี้เป็นหนึงในมื้ออาหารที่อร่อยที่สุดที่ผมเคยทานในญี่ปุนอย่างไม่ต้องสงสัย
ในเรื่องการบริการอาจจะมีความช้าบ้างเนื่องจากพนักงานดูขาดเเคลน เชฟเป็นคนขรึม พูดภาษาอ้งกฤษไม่ได้ เเต่ทว่าลึกๆมีมุขและอารมณ์ขันอยู่ไม่น้อยครับ เชฟดูค่อนข้างเปิดกว้างและต้อนรับชาวต่างชาติ ผมแนะนำให้สั่งสาเกโดยเชฟโอกาตะจะเลือกเเก้วจากคอลเลคชั่นเเก้วโบราณของทางร้านให้ตามบุคคลิกของแต่ละคน อาหารในมื้อนี้จะมีอะไรบ้างไปชมกันครับตามลิงค์ครับ
Score:9.25/10
https://www.facebook.com/eatliketheboss/posts/pfbid02SnCNP3ppotutSgLgvgiSUrBrTC7nvznvMhw2QLBCM3HPmwnpC8LnEaZR3ojrUmUcl
วันรุ่งขึ้นช่วงเช้าผมเเวะพิพิธภัณฑ์ รถไฟของเกียวโตครับ เป็นอีกหนึงที่ๆผมว่าทำออกมาได้ดี สามารถสนุกสนานทั้งคนที่ไม่อินกับรถไฟ หรือจะเด็ก หรือถ้าอยากได้ความรู้เรื่องวิวัฒนาการของรถไฟที่นี่ก็มีครบครันครับก่อนที่จะไปยังร้านที่สามในทริปนี้
Nikuryori Kanae (Kyoto,Japan)
แวะมาร้านดังในโลกโซเซี่ยล สาเหตุนะหรือเดาไม่ยากครับ ร้านนี้อาจจะเป็นร้านที่รางวัลต่างๆน่าจะน้อยที่สุดในทริปนี้ แต่เป็นร้านที่ดีเลยครับ ราคาไม่สูง(มากนัก) มีมื้อกลางวัน และสามารถจองหนึ่งท่านได้ สำหรับท่านที่เพื่อนร่วมกรุ๊ปไม่ทานเนื้อนับว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเลยครับ
โดยอาหารที่ร้านนี้นั้นมีเพียงคอร์สเมนูราคาเริ่มต้นที่22,000เยนจะมีเนื้อวัวเป็นส่วนประกอบทุกจาน เราจะไม่เพียงมีแต่เนื้อเท่านั้นยังมี ส่วนต่างๆของวัวให้ได้ลองอีกด้วยไม่ว่าจะเป็นลิ้นหรือกระบังลม ซึ่งผมว่าอาหารของที่นี้นั้นมีสไตล์เป็นเอกลักษณ์ที่หลายท่านอาจจะชอบ เพราะเเม้จะเป็นเนื้อทุกจานแต่อาหารที่นี้ก็ไม่ได้รู้สึกหนักเเน่นท่อง หรือเลี่ยนแต่อย่างใด ด้วยการเบรครสอย่างน่าสนใจของวัตถุดิบต่างๆ ที่ใส่มาอย่างสลับซับซ้อนและมีชั้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบที่ใช้ทั้งในอาหารญี่ปุ่นและอาหารตะวันตก ทำให้กลิ่นอายอาหารของที่นี้นั้นมีความเป็นตะวันตกอยู่ไม่น้อย ที่นี้ทำให้ผมรู้สึกว่าเนื้อที่ไม่ปรุงรสหนักๆก็อร่อยเหมือนกัน
สำหรับเชฟที่ร้านนี้นั้นคือ พี่น้อง Ryosuke and Kanae เชฟสลับทำงานอย่างรู้ใจ รอยยิ้มของเชฟที่ปรุงอาหารไปยิ้มไปนั้นพาใจละลาย คิมิโนโต๊ะได้อย่างง่ายๆ นอกจากรอยยิ้มพิมพ์ใจของเชฟแล้วอาหารมีอะไรบ้างตามไปชมจากลิงค์กันได้ครับ
Score:7.75/10
https://www.facebook.com/eatliketheboss/posts/pfbid0B8mg8JdcRBrW1rBEtXqbzZSHewhyXd1UjQzfSjfNVQ7FMG5ssmjiEaHkGLqFBXeQl
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้