[CR] No.59 The Crying Game : เกมรัก ลวงร้าย หักแผนล่า สุมไฟสวาท


หลังจากปฎิบัติการลักพาตัว โจดี้  ทหารอังกฤษนายหนึ่งของกลุ่ม IRA  ได้สำเร็จ เขาก็ถูกนำตัวไปคุมขังยังกระท่อมกลางป่า ภายใต้การควบคุมของ เฟอร์กัส 1 ในสมาชิกผู้ก่อการร้ายที่ภายนอกเข้มแข็ง แต่ภายในมีจิตใจที่อ่อนโยน ในระหว่างการเจรจาต่อรอง เฟอร์กัส กับ โจดี้ ก็มีโอกาสได้ทำความรู้จักและเริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น วันหนึ่ง โจดี้ ก็ได้หยิบภาพ ดิล  แฟนสาวของเขาให้เฟอร์กัสดู พร้อมกับขอร้องเขาให้ช่วยแวะไปเยี่ยมเธอด้วย หากเขาถูกลอบสังหารในกระท่อมหลังนี้ เฟอร์กัส จะตัดสินใจอย่างไรต่อไปกับเกมอลวนของคนอลเวงครั้งนี้

ฉากเปิดตัวต้นเรื่องทำได้น่าสนใจเลย มีกลิ่นอายของหนังสายลับยุค 80 - 90's ฟุ้งกระจายไปทั้งเรื่องที่ขณะนั้นโลกกำลังอยู่ในช่วงสงครามเย็น ตัวหนังจึงมีการจำลองสถานการณ์โดยอ้างอิงมาจากเหตุการณ์สำคัญที่เป็นหน้าประวัติศาสตร์โลกมากมาย อย่างเช่น เหตุการณ์ทำลายกำแพงเบอร์ลิน ในปี 1989 การก่อตั้งหน่วยปฎิบัติการพิเศษที่ถูกจัดตั้งขึ้นมากมาย ทั้งฝ่ายรัฐบาล และ ฝ่ายองค์กรใต้ดิน ปฎิบัติการสอดแนมฝ่ายตรงข้ามเพื่อล้วงข้อมูล การเอื้อหนุนผลประโยชน์อื่นในการคานอำนาจระหว่างกัน ตัวละครแต่ละฝ่ายมีการชิงไหวชิงพริบทำยังไงก็ได้ไม่ให้อีกฝ่ายจับได้เด็ดขาด ซึ่งช่วงนี้เดินเรื่องสนุก ชวนติดตามไปกับปมที่เกริ่นนำได้ดี ซึ่งต่อมา Plot เหล่านี้ได้กลายเป็น Inspiration ให้แก่หนังเรื่องอื่นตามมา เช่น Mission impossible , Jack Ryan หรือ Jack Reacher เป็นต้น ก่อนที่จะพลิกมาเป็นอีก Feel นึงในโทน Romance ตามหาความรักเธอกับฉัน ขณะเดียวกันก็มีปมที่ถูกวางไว้ค่อย ๆ เปิดเผยออกมา ชวนลุ้นระทึกไปด้วย ซึ่งตลอดเวลาที่ดูเหมือนเรากำลังดูหนัง 2 เรื่องที่มีแนวแตกต่างกันเอามาประกบรวมกัน แล้วดันสนุกเฉย

Location แต่ละที่ยอมรับว่าทีมงานตาถึงดี เข้าใจเลือกให้เข้ากับบรรยากาศของเรื่องที่เป็น Spy โลกเทา ๆ ผสมกับความหวานของกลิ่น Romance แต่ละ Situation ที่เราเห็นแต่ละ Scene สามารถสื่อสารกับคนดูได้ว่าเกิดอะไรขึ้นโดยไม่ต้องบอกกล่าว เช่น ฉากสวนสนุกต้นเรื่อง เหมือนงานวัดบ้านเรา สไตล์ลูกทุ่ง หรือ ฉากฐานลับ ใช้สถานที่ชานเมือง ให้อารมณ์ Country ความเป็นผู้ดีเมืองกรุง โทนเรื่องมีความ Serious สลับกับความ Romance ทำให้ดูสบายผ่อนคลายบ้างเป็นระยะ แต่ฉาก Final Scene การคลี่คลายปมเจ้าปัญหาค่อนข้างอ่อนแรงลงไปเยอะ เล่นจบง่ายไปหน่อย เพราะ Scene สำคัญได้ปล่อยไม้ตายเด็ดที่สร้างความตะลึงออกไปก่อนแล้ว จึงน่าเสียดายแทนเหมือนกัน แต่ภายในเวลา 1 ชั่วโมง 52 นาทีที่ได้รับชม ผู้กำกับ Neil Jordan แกรักษาการนำเสนอ Concept ไว้อย่างซื่อตรง ถึงแม้ว่าระหว่างทางการเดินเรื่องที่มีจังหวะลูกล่อลูกชน แพรวพราว เลี้ยวไปหักมา ขุดฝังซ่อนปมไว้ก่อนแล้วค่อย ๆ เฉลยออกมา แต่ยังคงความ Classic ผู้ดีตีนแดงของภาพยนตร์สมัยก่อนไว้ได้อย่างงดงาม

ผลงานของกำกับควบด้วยการเขียนบทจากผู้กำกับชาวไอร์แลนด์มากฝีมือแห่งยุค 90 อย่าง Neil Jordan ผู้เคยฝากผลงานอันลื่อลั่นมาจาก Interview with the vampire : the vampire chronicles ( 1994 ) , The end of affair (1999) , Breakfast on Pluto (2005) และ Greta ( 2018 ) ผลงานของเขาส่วนใหญ่ได้รับคำวิจารณ์ดี คงความเอกลักษณ์สไตล์ผู้ดีอังกฤษที่ดูง่าย เข้าใจง่ายอยู่ครบถ้วน ซึ่งในช่วงยุค 90 ถือว่าช่วงท็อปฟอร์มของเขาก็ว่าได้ เพราะที่เราเติบโตมาก็มาจากหนังพวกนี้แหล่ะ เรื่องนี้เข้าชิงรางวัลตามเทศกาลภาพยนตร์มากมาย จุดพีคคือการได้รางวัลออสการ์สาขา บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เมื่อปี 1993 ไปครอง แถมสร้างชื่อเสียงในฐานะผู้กำกับยอดเยี่ยมอีกด้วย ก่อนจะแผ่วปลายลงในช่วงยุค 2000 เป็นต้นมา

นักแสดงนำหลักจะมีแค่ 4 คน ประกอบด้วย 1. พระเอก Stephen Rea ดาราคู่บุญจาก V for vendetta ( 2005 ) รับบทเป็น เฟอร์กัส สมาชิกหน่วย IRA ( กองทัพสาธารณรัฐไอซ์แลนด์ ) ถ่ายทอดบุคลิกนิ่ง เคร่งครึม ยอดนักรักได้เนียนดี มีเสน่ห์มัดใจสาวแท้ สาวเทียม และ เพศชายด้วยกันมาก ผมว่าสมัยก่อนลุงแกหล่อเหมือนกันนะเนี่ย 2. Miranda Richardson จาก Sleepy Hollow ( 1999 ) รับบท จู๊ด สมาชิกหน่วย IRA เช่นเดียวกับพระเอก แสดงได้แสบ ร้ายกาจ เจ้าวางแผนอย่างน่ากลัว เป็นตัวสำคัญที่เดินให้เรื่องสนุกขึ้น 3. ดิล รับบทโดย นางเอกของเรื่อง อย่าง Jay Davidson จาก Stargate ( 1994 ) เรื่องนี้ Debut ครั้งแรกของเธอ แสดงดีมาก เคมีเข้ากับ Stephen ไม่เคอะเขินเลย ถ่ายทอด Detail ตัวละครได้ลึก คมคายเหมือนมืออาชีพ แค่ Scene เดียวโลกต้องตะลึง มีความสวย Sexual ชวนหลงใหลสุด ( ณ ตอนนั้น ) 4. ลุง Forest Whitaker ดาราอาวุโสจาก The last king of scotland ( 2006 )  รับบทเป็น โจดี้ นายทหารอังกฤษ เป็นแขกรับเชิญผู้ทรงเกียรติ์ มาน้อยแต่ให้เยอะ เป็น keywords สำคัญที่ขาดไม่ได้อีกด้วย

สรุป ภาพรวมชอบ มีเสน่ห์ให้น่าค้นหามาก เพราะ หนังจัดส่วนผสมระหว่างความเป็น Crime + Mystery + Romance ผลลัพธ์ที่เข้ากันได้ลงตัว จึงให้ความรู้สึกดื่มไวน์ผสมกลิ่นองุ่นเข้าไป ให้รสชาติหวานอมเปรี้ยว กลมกล่อมด้วยมึนเล็กน้อยจากแอลกอฮอล์ถึงแม้ว่าจะดูไม่ค่อยเป็นเนื้อเดียวกันเท่าไหร่ ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่ามันคือเสน่ห์ของคนทำหนังยุคเก่า 90's ที่เคารพขนบธรรมเนียมดั้งเดิมอย่างซื่อตรง เป็นช่วงก่อนเทคโนโลยีจะทันสมัยในปัจจุบัน แต่มีข้อดีของหนังสมัยก่อนมี คือ ความสมจริง จากการคิดค้นจากวัสดุอุปกรณ์มาประดิษฐ์เป็นเครื่องมือที่สร้างฉาก หรือ สร้าง Effect ต่าง ๆ ขึ้นมาเอง ทำให้เวลาดูฉาก Action เอย ระเบิดเอย มันดู Real ดูจริงใจกว่าเห็นได้ชัด จึงกลายเป็นจดหมายเหตุสำคัญที่ต่อให้เทคโนโลยีก้าวหน้าแค่ไหนก็ทดแทนความเป็น Original นี้ไปไม่ได้ การดำเนินเรื่องเดินเป็นเส้นตรง ดูง่าย มีการสลับแนวเป็น 2 Genre เหมือนเรื่อง คล้ายกับ Paris,texas ( 1984 ) Part แรกเป็นแนวสายลับ สืบสวน อิงสงครามกลางเมือง  Part 2 จะเป็นแนว Romance ข้าวใหม่ปลามัน ผสม Drama ปมความหลังของแต่ละคนแทรกเข้าไปมาประติดประต่อกันอย่างมีเหตุผล และ ชวนให้คนดูขบคิดสงสัยกันต่อเองเล่น ๆ อีกด้วย สำหรับผมชอบ Part แรกมากกว่า เพราะเป็น Part ที่ลงตัวและสนุกที่สุดแล้ว

ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม และ ติดตามช่องทาง Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
ชื่อสินค้า:   Review By EMCONCEPT
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่